เราเชื่อว่าศิลปินแต่ละคนล้วนมีแรงบันดาลใจที่แตกต่างกันไป แม้หัวข้อกว้างๆ จะเหมือนกัน—ธรรมชาติ ศาสนา ความสัมพันธ์ ครอบครัว แต่ในส่วนของรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคที่ใช้ การสื่ออารมณ์ บริบท หรือแม้กระทั่งสีที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเหมือนกัน
อาจเว้นเพียงแรงบันดาลใจที่เรียกว่า ‘แม่’ ซึ่งแม้เทคนิค การสื่ออารมณ์ บริบท หรือสีที่เลือกใช้จะไม่เหมือนกัน แต่ทุกผลงานที่มีแม่เป็นมิวส์ (muse) ย่อมสื่อถึงความสัมพันธ์แม่-ลูกอันสวยงามและลึกซึ้งไม่ต่าง และต่อไปนี้คือผลงานที่ว่า
1. Albrecht Dürer
Albrecht Dürer คือหนึ่งในศิลปินตัวท็อปของยุค German Renaissance เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานภาพพิมพ์ไม้ ฉากประดับแท่นบูชา และภาพวาดหลากหลายเทคนิค แต่วันนี้เราอยากพูดถึงภาพสเก็ตช์ด้วยแท่งถ่านอันแสนเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งนางแบบไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก Barbara Holper แม่ของดือเรอร์นั่นเอง
ศิลปินชาวเยอรมนีวาด Portrait of the Artist’s Mother at the Age of 63 ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1514 —สองเดือนก่อนแม่ของเขาสิ้นใจด้วยโรคภัยที่รุมเร้า ดังสะท้อนให้เห็นบนใบหน้าซูบผอมและดวงตาเลื่อนลอยของเธอ
ดือเรอร์รักและสนิทกับแม่มาก รวมทั้งเป็นผู้ดูแลเธอในช่วงบั้นปลายของชีวิต หลังแม่จากไป เขาเขียนบันทึกไว้ว่า “แม่ผู้เคร่งศาสนาของผมให้กำเนิดและเลี้ยงลูก 18 คน แกเผชิญโรคระบาดและความเจ็บปวดที่แปลกประหลาดและรุนแรงมานักต่อนัก ทั้งยังทุกข์ทรมานจากความยากแค้น การดูถูก ความเกลียดชัง ถ้อยคำเย้ยหยัน ความน่ากลัว และความลำบากนานา แต่กระนั้นแม่ก็ไม่มีความชั่วร้ายอยู่ในตัวแม้แต่น้อย แม่กลัวความตายอย่างยิ่ง แต่แม่เคยพูดว่า แกไม่กลัวที่จะไปพบพระเจ้า
“แม่ตายอย่างทรมาน ผมคิดว่าแม่เห็นอะไรบางอย่างที่น่าสยดสยอง เพราะแกร้องขอน้ำมนต์ ทั้งที่ไม่เอ่ยปากพูดมานานสองนานแล้ว ทันทีที่แม่หลับตาลง ผมเห็นความตายจู่โจมที่หัวใจของแม่ถึงสองครั้ง และผมเห็นว่าแม่จากไปพร้อมความเจ็บปวด ผมสวดมนต์ให้แม่ ผมรู้สึกเศร้าโศกเกินบรรยาย หวังว่าพระเจ้าจะเมตตาแก”
อ่านแล้วเราไม่แปลกใจสักนิด ที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์บางคนยกย่องให้ภาพลายเส้นสีขาวดำนี้เป็นผลงานที่สื่อสารอารมณ์ได้ดีที่สุดของดือเรอร์
2. Rembrandt van Rijn
คนส่วนมากคงจดจำ Rembrandth van Rijn หนึ่งในตัวพ่อแห่งยุค Dutch Golden Age จากภาพวาดสีน้ำมันของเขา เช่น The Night Watch (1642) แต่อีกเทคนิคหนึ่งที่ศิลปินชาวดัตช์ผู้นี้เชี่ยวชาญไม่แพ้กันก็คือภาพพิมพ์โลหะ (etching) ซึ่งเขาเคยใช้สร้างสรรค์รูปพอร์ทเทรตแม่ของตนด้วย
ด้วยลายเส้นอันละเอียดอ่อนและต่อเนื่องราวกับมีชีวิต นักประวัติศาสตร์ศิลป์หลายเชื่อว่าแรมบรันต์ใช้เทคนิค live etching คือให้แม่ของเขานั่งเป็นแบบ แล้วแกะสลักภาพลงบนแผ่นโลหะโดยตรง
ไม่แน่ใจนักว่าแรมบรันต์สนิทกับแม่มากน้อยแค่ไหน แต่ทีแน่ๆ เขาได้รับอิทธิพลเรื่องความเชื่อทางคริสต์ศาสนามาจากแม่เต็มๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในภาพวาดสีน้ำมันหลายต่อหลายชิ้น เช่น Ballam and the Ass (1626) และ Judas Returns the Silver Coins (1629)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ว่ากันว่าแรมบรันต์เลือกใช้แม่เป็นแบบเพราะเขาประสบปัญหาด้านการเงิน แล้วแบบที่ดีที่สุด (และที่สำคัญคือฟรี) จะเป็นใครได้นอกจากคนในครอบครัวอย่างแม่นี่เอง
3. James Abbott McNeill Whistler
ศิลปินชาวอเมริกัน James Abbott McNeill Whistler คือหนึ่งในหัวหอกสำคัญของขบวนการ ‘ศิลปะเพื่อศิลปะ’ (art fort art’s sake) ซึ่งเขาเชื่อว่าศิลปะไม่จำเป็นต้องรับใช้ความเชื่อหรือเรื่องเล่าใดๆ เพียงแค่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของศิลปินยามสร้างสรรค์ผลงานก็พอแล้ว
วิสต์เลอร์เป็นที่รู้จักจากผลงานภาพวาดพอทเทรตและภาพวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืน (nocturnes) โดยผลงานเด่นดังที่สุดคือภาพแม่ของเขา Anna McNeil Whistler นั่งหันข้างแล้วมองตรงไปด้านหน้า มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า วิสต์เลอร์ถูกนางแบบที่นัดไว้เท แม่ของเขาจึงรับเป็นนางแบบจำเป็นให้ลูกชาย ตอนแรกวิสต์เลอร์ให้ผู้เป็นแม่ยืนโพสต์ท่า แต่การวาดกินเวลานานมากจนแม่เหนื่อย ท้ายที่สุดจึงปรับเป็นรูปตอนนั่งแทน
อันที่จริงวิสต์เลอร์ตั้งชื่อผลงานว่า Arrangement in Grey and Black No.1 สื่อถึงการทดลองใช้สีและจัดวางองค์ประกอบ แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ ผู้คนส่วนใหญ่กลับเรียกผลงานนี้ว่า Whistler’s Mother และหยิบยกรูปดังกล่าวไปเป็นตัวแทนของความเป็นแม่ผู้เคร่งครัดในศีลธรรม (puritanical) ทั้งที่วิสต์เลอร์ไม่เชื่อเรื่องใช้ศิลปะเป็นตัวแทนของสิ่งอื่น นักประวัติศาสตร์ศิลป์เชื่อว่า หากศิลปินผู้นี้จะซ่อนเร้นความหมายอื่นใดไว้ในภาพ ก็คงเป็นการอุทิศแด่แม่ผู้ใส่ใจและช่วยเหลือเขามาตลอด เพราะแม้กระทั่งตอนที่วิสต์เลอร์ย้ายไปทำงานที่ประเทศอังกฤษ แม่ก็ยังย้ายตามไปดูแลและเป็นกำลังใจให้เขาด้วย
4. Mary Cassatt
ศิลปินหญิง Mary Cassatt เป็นที่เลื่องลือจากผลงานภาพวาดแม่และลูกน้อยในอิริยาบถต่างๆ อยู่แล้ว จึงไม่แปลกนักที่เธอจะวาดรูปแม่ของตัวเองด้วย
เคแซตถือกำเนิดในอเมริกา แต่ย้ายไปอยู่ปารีส, ฝรั่งเศส ตามคำชักชวนของ Edgar Degas เพื่อไปเข้าร่วมขบวนการอิมเพรสชันนิสม์ (ที่มี Claude Monet อยู่ด้วยนั่นแหละ) ซึ่งพ่อและแม่ของเธอย้ายตามไปอยู่ด้วย เพื่อนสนิทของเคแซตชื่อ Lousine Havemeyer บันทึกไว้ว่า แม่เป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อตัวตนและความสามารถของเคแซตมาก เพราะแม่ของเธอเติบโตในตระกูลชนชั้นกลาง ได้รับการศึกษาอย่างดี เคแซตจึงได้ศึกษาทั้งศิลปะและดนตรีตั้งแต่เด็ก รวมทั้งได้เดินทางไปเปิดหูเปิดตามประเทศต่างๆ อยู่เป็นประจำ
ใน Portrait of the Artist’s Mother ซึ่งแม่ของเธอนั่งเท้าคางและมองตรงมาข้างหน้า เคแซตใช้เทคนิคภาพพิมพ์โลหะ (etching) และแต่งเติมด้วยสีน้ำ โดยภาพนี้เป็นภาพท้ายๆ ของแม่ที่เคแซตวาดเอาไว้ก่อนที่แม่จะจากไป
5. Marilyn Minter
ถือกำเนิดในหลุยส์เซียนาแต่ย้ายมาประจำการอยู่ที่มหานครนิวยอร์ค Marilyn Minter เป็นนักวาดภาพและช่างภาพผู้มีลายเซ็นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เธอสนใจเรื่องร่างกาย ประเด็นเกี่ยวกับเพศและความใคร่ รวมทั้งภาพสไตล์แฟชั่นซึ่งมักเป็นภาพโคลสอัพของใบหน้าที่ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอาง
เมื่อสมัยยังเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี มินเทอร์ถ่ายภาพชุด Coral Ridge Towers ซึ่งติดตามช่วงชีวิตช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของแม่วัย 60 ปีของเธอ—ส่วนใหญ่ในชุดนอน ขณะกำลังสูบบุหรี่ แต่งหน้า หรือลองสวมวิก เมื่อมินเทอร์พรีเซนต์ภาพซีรีส์นี้ในชั้นเรียนถ่ายภาพ เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่ตกตะลึงกับการสะท้อนความเป็นแม่ที่ ‘จริง’ และหลุดออกจากอุดมคติของสังคม แต่สำหรับมินเทอร์แล้ว ‘แม่ก็แค่แม่ ฉันไม่เห็นสิ่งที่คนอื่นเห็น’ เธอกล่าวไว้เช่นนั้น
6. Tierney Gearon
ความใฝ่ฝันสูงสุดของ Tierney Gearon คือการเป็นแม่คน แต่หลังจากให้กำเนิดลูกๆ ที่น่ารัก 4 คน การแต่งงานของเธอก็สิ้นสุดลง เดิมทีเกียร์รอนเป็นช่างภาพโฆษณาอยู่แล้ว เธอจึงใช้ช่วงเวลารอยต่อของความสัมพันธ์นี้ในการถ่ายภาพครอบครัวของตนเอง ซึ่งหนึ่งในแบบที่เธอถ่ายหลายต่อหลายครั้งจนรวมออกมาเป็นซีรีส์ก็คือแม่ของเธอผู้แก่ตัวลงทุกวัน พร้อมกับต่อสู้กับโรคจิตเวชไปด้วย โดยแต่ละภาพเผยให้เห็นแต่ละแง่มุมของผู้เป็นแม่ ทั้งความอ่อนโยน ความเปราะบาง หรือแม้กระทั่งความเป็นเด็กที่แฝงอยู่ในหญิงชรา
เกียร์รอนกล่าวถึงผลงานชุดนี้ไว้ว่า “เมื่อฉันมองย้อนกลับไปที่รูปภาพเหล่านี้ ฉันรู้สึกว่าเกือบทั้งหมดเป็นเหมือนภาพถ่ายจิตวิญญาณของตัวเอง การอยู่กับแม่เป็นประสบการณ์ที่ทั้งเจ็บปวดและเปี่ยมสุข ฉันพยายามนำสิ่งที่ดีที่สุดของแม่มาปรับใช้กับวิธีที่ฉันมองชีวิต
“รูปภาพพวกนี้ไม่ใช่เรื่องราวการป่วยไข้ของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่มันบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างศิลปิน 2 คน—ระหว่างแม่และลูกสาว”
7. Tony Luciani
หลังจากแม่ประสบอุบัติเหตุหกล้มจนกระดูกสะโพกหัก Tony Luciani ไม่อาจทำใจส่งแม่ไปอยู่สถานพักฟื้นได้ เขาจึงตัดสินใจเป็นผู้ดูแลแม่ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของผลงานภาพถ่ายชุด Mamma in the Meantime ที่มี Elia แม่วัย 93 ปีเป็นตัวละครหลัก
อันที่จริงลูเซียนีเป็นศิลปินนักวาดภาพ และจะถ่ายรูปเป็นครั้งคราวเท่านั้น วันหนึ่งเขาซื้อกล้องมาใหม่ ขณะที่กำลังทดลองถ่ายรูปกับกระจกในห้องน้ำ แม่ของเขาก็โผล่หน้าเข้ามา ‘photobomb’ ในรูปของเขา ทั้งคู่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ และนับแต่นั้นลูเซียนีจึงเก็บภาพแม่ของเขาในอิริยาบถต่างๆ อีกทั้งบางรูปยังนำไปรีทัชเพิ่มเติมใน Photoshop อีกด้วย
นัยหนึ่งรูปภาพชุดนี้เหมือนเป็นการบันทึกภาพการแก่ตัวที่มนุษย์ทุกผู้ทุกคนต้องเผชิญ แต่สำหรับลูเซียนีและแม่แล้วมันมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น เพราะแม่ของเขากำลังเผชิญกับภาวะสมองเสื่อม (dementia) ซึ่งทำให้เธอสูญเสียความสามารถที่เคยมี เช่น ทักษะในการพูดภาษาต่างๆ รวมทั้งเริ่มหลงลืมความทรงจำบางอย่าง การถ่ายภาพจึงช่วยให้เธอค้นพบคุณค่าในตัวเอง รวมทั้งปลุกความอ่อนเยาว์และอารมณ์ขันที่เคยมีขึ้นมาอีกครั้ง
โดยลูเซียนีกล่าวไว้ว่า “ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแม่เก็บกดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ไว้มาก โปรเจกต์นี้จึงเป็นข้ออ้างชั้นยอดให้เธอได้ถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้นออกมา”
นี่แหละหนา ความรักของศิลปิน
อ้างอิง