“เมื่อลูกโดนฆ่า จะให้คนเป็นพ่อ อยู่เฉยๆ ใช้ชีวิตปกติ ได้ไงวะ”
1.
ฮวน โฮลกาโด (Juan Holgado) ชอบทีมบาร์เซโลนา และอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 1995 ความฝันของเด็กหนุ่มคนนี้ได้สิ้นสุดลง
เมื่อเขาถูกฆาตกรรม
เวลาตี 4 ครึ่ง ของวันดังกล่าว โชเฟอร์แท็กซี่ขับรถเข้ามาในปั๊ม เพื่อเติมน้ำมัน แต่กลับไม่พบใคร เขาสังเกตไปที่เคาน์เตอร์ เพื่อมองหาคนเปิดหัวปั๊มจ่าย แต่ไม่พบ
อะไรบางอย่างดูชอบกล
ประตูพังยับ พวกนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่วางขายในร้านสะดวกซื้อกระจุยกระจาย และมองลึกลงไป ตรงกำแพง โชเฟอร์ก็เห็นรอยเลือด
จึงรีบวิ่งไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อแจ้งตำรวจ
นักสืบและทีมกู้ภัยรุดมายังจุดเกิดเหตุ พวกเขาพบร่างของฮวนนอนจมกองเลือดอยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงิน เด็กหนุ่มถูกแทงด้วยของมีคม จนมีแผลทั่วร่างกว่า 30 แห่ง ลมหายใจรวยริน อาการสาหัส เจ้าหน้าที่รีบนำร่างส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ทันการณ์
ภาษานักข่าวอาชญากรรมไทยเรียกว่า ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา นั่นก็คือ ตี 4.45 น.
คนร้ายได้เงินไปเพียงไม่กี่พัน กับ 1 ชีวิตที่จากไป
ฟรานซิสโก โฮลกาโด (Francisco Holgado) ทำงานเป็นพนักงานธนาคาร เมื่อทราบข่าวว่าลูกชายสุดที่รักถูกฆาตกรรมโหด เจ้าตัวถึงกับช็อก แล้วพูดออกมาว่า
“ผมไม่เชื่อว่า เรื่องเลวร้ายนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง”
แต่ดูเหมือนฝันร้ายที่ฟรานซิสโกพบเจอ
เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น…
2.
ตำรวจทำงานสะเพร่าในการตรวจที่เกิดเหตุฆาตกรรม แม้พวกเขาจะพบลายนิ้วมือน่าสงสัยกว่า 23 แห่งในนั้น แต่เจ้าหน้าที่กลับทำงานไม่ละเอียด ไม่ได้เก็บหลักฐาน แถมยังปล่อยให้นักข่าวท้องถิ่นเข้าไปในนั้น จนข้อมูลที่จะไขคดีถูกทำลาย
กระนั้นนักสืบก็จับกุมตัว 4 ผู้ต้องสงสัย ที่มีประวัติติดยา มาดำเนินคดี แต่เพราะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่แน่ชัด ศาลจึงให้ประกันตัวไป แล้วนัดวันพิจารณาคดีในเวลาต่อมา
ดูเหมือนทุกอย่างจะคลี่คลาย แต่ฟรานซิสโกกลับไม่แน่ใจ เพราะเจ้าหน้าที่ทำงานไม่ละเอียด ไม่รอบคอบ จนดูเหมือนจะไม่มีหลักฐานเอาผิดใครได้
นี่จึงทำให้ ชายหนุ่มวัย 53 ปี ตัดสินใจว่า เราไปหาหลักฐานให้ตำรวจเลยดีกว่า
นั่นจึงนำไปสู่หนทางสุดบ้าบิ่น โดยการปลอมตัวเข้าไปสืบข้อมูลในวงการยาเสพติด โสเภณี และอาชญากร เพื่อหวังว่าจะมีใครสักคน พูดเรื่องการฆาตกรรมลูกชาย
“ผมก็แค่คนธรรมดา ที่ถูกบีบให้ทำอะไรสุดขั้ว”
หลายเดือนหลังลูกตาย ฟรานซิสโกจึงเริ่มกิจวัตรประจำวันสุดพิศวง
เขาจะขึ้นรถเมล์ตอน 6 โมงเช้า เพื่อไปทำงานธนาคาร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง โดยระหว่างนั่งไป เจ้าตัวจะหลับเอาแรงเป็นประจำ เมื่อถึงที่หมาย ฟรานซิสโกก็จะเป็นพนักงานธนาคารจนเลิกงานช่วงบ่าย ก่อนกลับมาบ้าน เพื่อเตรียมปลอมตัว เข้าสู่โลกราตรี ที่ซึ่งอาชญากรโบยบิน
เขาถอดสูทออก แล้วใส่ชุดสีดำ พร้อมแว่นตาดำ สวมวิกผม จากนายธนาคาร แปรเปลี่ยนเป็นเหมือนพ่อค้ายารุ่นเก๋า จากนั้นจึงเริ่มไปนั่งตามบาร์ในย่านเสื่อมโทรม คอยคุย คอยถามแขก ซึ่งมีทั้งคนติดยา คนไร้บ้าน แมงดา โสเภณี ถึงคดีของลูกตัวเอง
จนถึงช่วงเช้า เขาจึงกลับบ้าน แล้วอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนชุด กลับมาเป็นพนักงานธนาคารเหมือนเดิม
กิจวัตรนี้กินเวลาเป็นปี ฟรานซิสโกต้องไปนั่งที่บาร์ จนคนคุ้นหน้า บางทีก็ดื่มกินกับพ่อค้ายาบ้าง บทสนทนาเป็นหลากเรื่องสารพัด
จนเมื่ออีกฝ่ายไว้ใจ
ความจริงก็ค่อยๆ เปิดเผย
3.
แท้จริงแล้ว ชีวิตของฟรานซิสโก ค่อนข้างจะมีชื่อเสียง เพราะหลังฮวนตาย คนทั้งสเปนต่างจัดกิจกรรม เดินประท้วง เรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ฟรานซิสโกจึงได้ออกโทรทัศน์ ลงหนังสือพิมพ์ หน้าตาเลยมีคนรู้จักในสื่อและสังคม
แต่ในโลกกลางคืน ที่เขาปลอมตัวอย่างดี โดยมีที่อัดเสียงใส่ไว้ในถุงเพื่อเก็บข้อมูลในคดี แม้จะเป็นพฤติกรรมเสี่ยงตาย และหากพวกพ่อค้ายาจับได้ เขาต้องโดนฆ่าทิ้งแน่ๆ
อย่างไรก็ดีในบาร์แห่งนั้น กลับไม่มีใครจำได้ว่ากำลังคุยกับพ่อที่ลูกถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม พวกเขารู้เพียงว่าอีกฝ่ายมีชื่อเรียกว่า เปเป้ (Pepe) เท่านั้น
ข้อมูลมากมายหลั่งไหล แต่เขาต้องกรอง บางอย่างน่าเชื่อ บางเรื่องเหลวไหล เขามุ่งเป้าไปที่ 4 ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ และเริ่มขยับขยายคนรู้จัก จนไปพบกับอะเซนซิโอ (Asencio) ซึ่งถูกตั้งข้อหาร่วมฆาตกรรมฮวน โดยเขาเป็นพ่อค้ายารายย่อย
ทั้ง 2 พบและคุยกันจนสนิทใจ แล้วนั่นทำให้เปเป้ได้ขยับฐานะ ไปขับรถให้กับอะเซนซิโอ เพราะอีกฝ่ายขับไม่เป็น
ฟรานซิสโกในคราบเปเป้ ได้ล่วงรู้ชีวิตทุกอย่างของพ่อค้ารายนี้ เขามีลูกสาวที่อยู่กับเมียเก่า และพยายามดิ้นรนให้มีชีวิตรอดในโลกสุดอันตราย ทั้งการเร่งขายยาให้รวยเร็ว เพื่อครอบครัวจะได้อยู่สุขสบาย และออกจากวงการโดยไว
กระนั้นอะเซนซิโอ ก็เหมือนอาชญากรทั้งหลาย มีความอันตราย และติดยาด้วย
ครั้งหนึ่งผู้ต้องสงสัยรายนี้ เมายา และระหว่างนั่งรถไป เห็นกระต่ายวิ่งตัดหน้ารถ เขาสั่งให้เปเป้จอด ก่อนที่จะลงไปล่าสัตว์ตัวนี้ โดยหายไปเสียนาน จนฟรานซิสโก ที่ปลอมตัวอยู่ ต้องลงไปดู ก่อนจะเห็นว่าที่ฆาตกรฆ่าลูกตัวเอง ตกลงไปในบึงและกำลังจะจมน้ำ
นั่นเป็นโอกาสทอง ที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายตาย ให้มันสาสมกับที่ทำกับฮวนอย่างโหดเหี้ยม
แต่เปเป้กลับเข้าไปช่วย ดึงอะเซนซิโอขึ้นมา
“ผมปลอมตัว เพื่อความยุติธรรม ไม่ใช่ต้องการล้างแค้นให้ลูกของตัวเอง”
นั่นนำไปสู่ความไว้ใจระหว่างกันและกัน จนมีข้อมูลเพิ่มเติมจากปากพ่อค้ายารายย่อยยืนยันว่า ผู้ต้องสงสัยอย่างน้อย 2 ราย น่าจะรู้เห็นในการฆ่าฮวน เพราะมีคนเห็นพวกเขาเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดในวันเกิดเหตุ ไปเผาทิ้ง รวมถึงนำทรัพย์สินที่ได้จากการปล้น ไปแบ่งกันด้วย
ส่วนตัวอะเซนซิโอนั้น แม้จะไม่เคยรับว่าฆาตกรรม แต่ครั้งหนึ่ง เขากลับเอ่ยขึ้นมาว่า “กูอยากจะฆ่าปิดปากไอ้ฟรานซิสโกวะ”
นั่นทำให้เปเป้ต้องรีบออกตัวว่า “นายไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
และนั่นนำไปสู่คำสั่งสุดแปลก ก็คือเปเป้ต้องไปฆ่าฟรานซิสโก
“ผมรับคำสั่งให้ไปฆ่าตัวผมเอง”
แน่นอนว่าฟรานซิสโกไม่ได้ทำตามอะเซนซิโอ
4.
ผ่านไปหลายเดือน ข้อมูลที่ได้จากการปลอมตัว ถูกเก็บไว้ในเครื่องอัดเสียง มีหลักฐานมากมายมหาศาล และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งตอนเปเป้ขับรถให้อะเซนซิโอ ถ้อยคำมากมาย ถูกพ่นออกมา แล้วเครื่องเก็บไว้ได้หมด นับว่างานของฟรานซิสโกทำได้ยอดเยี่ยมกว่าตำรวจยิ่งนัก โดยเจ้าหน้าที่ไม่เคยรู้เห็นการปลอมตัวดังกล่าวด้วย
ครั้งหนึ่งตำรวจบุกกวาดล้างจับกุมพ่อค้ายารายย่อย ซึ่งฟรานซิสโกอยู่ในวงล้อมด้วย ขณะที่อาชญากรวิ่งหนี เขาพยายามหลบมุม จนเมื่อเจ้าหน้าที่ไปพบ จึงถอดแว่นตาดำและวิกผมออก ทำเอาทางการถึงกับอึ้ง
“คุณมาทำอะไรที่นี่” นักสืบสงสัย
“แล้วคุณล่ะ มาทำอะไร” เขายอกย้อนกลับ
ในที่สุดก็ถึงวันนัดพิจารณาคดีที่ศาล ผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ปรากฏตัว เช่นเดียวกับฟรานซิสโก แต่ความพิเศษเกิดขึ้น สร้างความแปลกใจกันทั้งห้อง เพราะเขาได้มอบเทปบันทึกเสียงให้แก่ศาล อัยการถึงกับอ้าปากค้าง ทนายของจำเลยรู้สึกช็อก
และแน่นอน อะเซนซิโอด้วย
กลายเป็นว่าโชเฟอร์นาม เปเป้ที่ขับรถให้เขามาหลายเดือน คือพ่อของฮวน บุตรที่เขาถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมไป
“นี่คือช่วงเวลาที่ผมจะไม่มีวันลืม ตอนเห็นหน้าพวกมัน ตอนผมพูดถึงเทปอัดเสียง เหมือนในหนังฮอลลีวูดมากๆ”
พลันที่สื่อรู้ข่าว พวกเขาก็เขียนยกย่องฟรานซิสโก ในฐานะวีรบุรุษ ที่ปลอมตัวเข้าสู่โลกมิจฉาชีพ เพื่อเอาหลักฐาน เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกชายซึ่งถูกฆ่า
แต่ทั้งหมดนี้ คนเป็นพ่อต้องแลกมาด้วยอะไรหลายอย่าง ที่จบลงความร้าวรานของครอบครัว
แท้จริงแล้ว ชีวิตแต่งงานระหว่างฟรานซิสโกกับภรรยา ระหองระแหงมาหลายเดือน จนเมื่อฮวนตาย มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของบทอวสานแห่งชีวิตคู่
ยิ่งข่าวการปลอมตัวของสามีเพื่อหาหลักฐาน โด่งดังไปทั้งสเปน จนมีการไปสร้างละคร และชื่อเสียงมากมาย พร้อมนักข่าวและประชาชนที่เข้ามาทักทาย ยิ่งทำให้คู่ชีวิตฟรานซิสโก ไม่พอใจอย่างมาก เธอไม่อยากได้ชีวิตนี้ แค่ต้องการให้ผู้ต้องหาถูกลงโทษเท่านั้น และเห็นว่าพฤติกรรมของฟรานซิสโกอันตราย และทำให้ครอบครัวเสี่ยงโดยใช่เหตุ
ในที่สุดชีวิตคู่ก็จบสิ้น ทั้งคู่หย่าขาดกัน ส่วนลูกๆ อีก 2 คน ตัดสินใจไปอยู่กับแม่ เพราะไม่อาจรับพฤติกรรมของพ่อได้ไหว
“เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อฮวน โดยลืมพวกเราไป”
ด้านเพื่อนฝูงของฟรานซิสโก ก็บอกว่า หลังความตายของลูก ทำให้ฟรานซิสโกเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เขาหมกมุ่นกับคดีนี้ จนลืมทุกอย่าง เพิกเฉยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
หากถามว่ามันคุ้มค่าไหม
ขอให้พิจารณาจากคำพิพากษาในคดีนี้ ซึ่งต่อมาศาลตัดหลักฐานที่ฟรานซิสโกหามาได้ แม้สื่อจะยกย่อง สังคมจะเชิดชูในความกล้าหาญ แต่ตามกฎหมาย การอัดเสียงโดยไม่ได้รับความยินยอม ไม่อาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีได้ นั่นทำให้ผู้พิพากษาต้องพินิจข้อมูลที่ตำรวจเก็บมา ซึ่งไม่แน่ชัด ไม่มีอะไรโยงไปถึงผู้ต้องหาทั้ง 4 ได้
ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
กลายเป็นว่าทุกอย่างที่ฟรานซิสโกทำมา แม้จะได้รับการยกย่องแค่ไหนก็ตาม
มันกลับไม่นำไปสู่อะไรเลย ฆาตกรที่ฆ่าฮวน ยังไม่ถูกดำเนินคดี
แต่เขายังคงมุ่งมั่นต่อ ไม่คิดยอมแพ้
5.
การมีชื่อเสียง ทำให้ฟรานซิสโกใช้พลังตรงนี้เรียกร้องต่อสังคม เขากับทนายยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลยืนกรานคำตัดสินเหมือนเดิม และไม่อาจใช้หลักฐานที่พ่อของฮวนหามา ประกอบการพิจารณาได้
อย่างไรก็ดี เขาไม่ยอมแพ้ ดิ้นรนของให้ศาลฎีกาตัดสิน แต่ผู้พิพากษาไม่รับคำร้อง ฟรานซิสโกไม่รามือ เขาพยายามเรียกร้องชิงพื้นที่ให้สื่อสนใจ โดยในปี 2009 หรือ 14 ปีที่ฮวนถูกฆ่า เจ้าหน้าที่เตรียมยุติการสืบสวน แต่เมื่อผู้เป็นพ่อวิ่งลงไปในสนามฟุตบอลที่มีการแข่งขันอยู่ เพื่อชูป้ายทวงความยุติธรรมให้ลูกชาย มันเลยกลายเป็นข่าวใหญ่ในสเปน
เหล่านักฟุตบอลต่างหยุดเตะ แล้วประคองเขาออกจากสนาม ด้วยความเข้าใจ
“ความเจ็บปวดของคนเป็นพ่อต่อเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก และเราอยู่เคียงข้างเขา”
ความพยายามของฟรานซิสโก ดำเนินต่อเนื่องไปหลายปี นั่นทำให้ในปี 2015 ทางรัฐมนตรียุติธรรมตัดสินใจเรียกเขาไปพบ ซึ่งชายชราได้ประกาศเดินเท้าจากบ้านเกิดไปเมืองหลวง เป็นระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
สื่อกลับมาให้ความสนใจชายชรา ซึ่งอยู่ในวัย 71 ปีอีกครั้ง ครั้งนี้ศาลฎีกายินยอมพิจารณาคดี โดยย้ำว่าเทปอัดเสียงไม่อาจเอามาใช้ได้ เพราะผิดหลักกฎหมาย แต่ศาลยินยอมให้ใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอกับการสืบสวนรูปแบบใหม่มาประกอบการพิจารณาแทน
แต่เพราะตำรวจเก็บหลักฐานไม่รอบคอบ ดีเอ็นเอจึงไม่นำไปสู่การเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาทั้ง 4นั่นทำให้ในปี 2016 ศาลจึงคงคำตัดสินเดิมไว้ว่า ไม่มีใครถูกดำเนินคดีของฮวน
ทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปสู่ปลายทางเพื่อพบกับความอยุติธรรม
แม้จะช้ำ เศร้าและเจ็บปวด เพราะทุกอย่างที่ชายชราคนนี้ทำมาตลอดหลายปี สูญเปล่า แถมครอบครัวแตกร้าว เมียหย่า ลูกทิ้ง เพื่อนฝูงที่พยายามบอกให้เขาปล่อยวาง ก็ค่อยๆ จางหาย
“แต่ผมไม่คิดยอมแพ้”
ทุกวันนี้ฟรานซิสโก จะตื่นตอน 6 โมงเช้า เดินทางไปหลุมศพลูกทุกวัน นำดอกไม้ไปเปลี่ยน แล้วก็ยังคงหาข้อมูลทางคดี ตรวจสอบทุกแง่มุม โดยหวังว่าเทคโนโลยีการสืบสวนสมัยใหม่ จะนำไปสู่การดำเนินคดีกับฆาตกรได้
ชายชราพบว่า บางทีอะเซนซิโอ ซึ่งเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น แต่ไม่เคยรับสารภาพว่าฆ่าฮวน เช่นเดียวกับจำเลยรายอื่นๆ อาจเป็นแพะ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแทงลูกเลย นั่นทำให้ฟรานซิสโก เริ่มมองว่า บางทีมันอาจจะมีผู้ก่อเหตุตัวจริงที่ยังลอยนวลอยู่ เพราะตำรวจทำงานผิดพลาด มักง่ายจับกุมเอาอย่างลวกๆ ซึ่งจำเลยทั้ง 4 ต่างต้องทุกข์ทนต่อคดีนี้เช่นกัน
นี่จึงเป็นแรงส่งให้ฟรานซิสโกผลักดันในคดีนี้ต่อไป
“มันต้องมีหนทางอื่น ในการพิสูจน์เรื่องนี้ และผมจะหามันให้พบ”
ทุกวันนี้ แม้สุขภาพจะทรุดโทรม แต่แววตาชายชรายังมุ่งมั่น และมีความหวังว่าก่อนตาย คนที่ฆ่าฮวน จะต้องถูกดำเนินคดี
เขาย้ำกับนักข่าวที่สัมภาษณ์ถึงการรอคอยอันยาวนาน นับตั้งแต่วันที่ลูกถูกฆาตกรรม วันที่ต้องปลอมตัวหาข้อมูล วันที่พ่ายแพ้ ศาลยกฟ้อง ครอบครัวแตกสลาย แต่เขาไม่มีวันพังทลาย อายุอาจเพิ่มขึ้น ล้มมาหลายครั้ง แต่ก็ลุกเร็วเสมอ เพราะหัวใจยังคงหนักแน่นเหมือนเดิม และจะไม่มีวันท้อถอยโดยเด็ดขาด ด้วยเหตุผลเดียว นั่นก็คือ
“เพื่อความยุติธรรมให้กับลูก ผมจะไม่มีวันหยุด จนกว่าจะได้รับสิ่งนี้”
อ้างอิงจาก