เหนือ—จักรกฤษณ์ อนันตกุล คือกราฟิกดีไซเนอร์ไทยที่มีผลงานปรากฎต่อสายตาชาวโลกมามาก ทั้งในนิตยสารของอังกฤษ (Monocle) ออสเตรเลีย (Desktop Magazine) รวมถึงโปรเจกต์เจ๋งๆ ในเยอรมัน ไต้หวัน และสิงคโปร์ ฯลฯ สำหรับคนไทยเราเองน่าจะคุ้นกับคาแรคเตอร์ JK’SMONZ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา
ล่าสุดเขากระโดดไปสู่งานแอนิเมชั่นบ้าง กับ mv เพลง THE FLOWERS ของ Polycat ที่ทำออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น ในสไตล์ที่สมเป็นเขานั่นคือคาแรคเตอร์ดีไซน์สนุกๆ ในสีสันป๊อปๆ ที่แปลงเอามาจากความเศร้าหรือความดาร์กในตัวเอง
แต่ในวันนี้เราไม่ได้จะมาคุยกับเขาเกี่ยวกับงานออกแบบแค่อย่างเดียว เพราะล่าสุดที่ได้พูดคุย เราพบว่าเหนือกำลังพบจุดเปลี่ยนบางอย่างในชีวิต ที่ทำให้เขาที่เคยติดอยู่ในโลกสีหม่น ได้พบโลกที่สว่างขึ้นจากการหันหน้าเข้าหาพระเจ้า
ทั้งยังรับเด็กฝึกงานมาช่วยกันทำงานที่ไม่เคยทำเช่น หนังสือภาพสำหรับเด็กในโบสถ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความสุขที่เขาแจกจ่ายและได้รับจากงานของตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำได้—แม้แต่การตีพิมพ์ผลงานในนิตยสารระดับโลกก็เถอะ (โอเค ใครที่เริ่มเควสชั่น ไปอ่านพร้อมๆ กัน)
Life MATTERs : อะไรที่ทำให้คุณรับเด็กฝึกงาน
เหนือ : ช่วงนี้เราทำงานเกี่ยวข้องกับโบสถ์และเด็กๆ แถวบ้าน เราก็ถามเขาว่าถ้ามาทำงานแบบนี้โอเคไหม ถ้าน้องโอเคก็มาทำงานด้วยกัน ส่วนหนึ่งเรารับคนที่รู้จักเราอยู่แล้ว เพราะว่าเขาจะรู้พื้นชีวิตว่าเราเป็นอย่างไร เรากลัวว่าถ้ารับคนที่ไม่รู้จักมา เขาจะผิดหวังกับงานที่ชวนมาทำ เลยเลือกคนใกล้ตัว ที่เขาเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
Life MATTERs : สิ่งที่คุณทำอยู่คืออะไร
เหนือ : เราเป็นคริสเตียน และทำงานให้กับโบสถ์ที่เราสนิท ซึ่งที่นั่นจะจะมีเด็กแบบต่างๆ เข้ามา เป็นเด็กในซอยหรือในละแวกนั้น ที่เขาต้องการความรัก ในวันอาทิตย์เราก็จะทำกิจกรรมกันที่โบสถ์ ปิดเทอมก็ช่วยสอนเขา ให้ได้เห็นชีวิต ได้เล่น ได้เรียนพระคัมภีร์ ทุกเดือนเราจะไปเจอเด็กบางส่วนที่สถานพินิจเด็ก เพื่อให้กำลังใจเขา ไปให้เขาเห็นว่าชีวิตมันไม่ได้จำเป็นต้องทำแบบที่โลกเป็น
สำหรับผมเมื่อเรามีพระเจ้า เราเห็นความสว่างว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนใคร หรือมีเหมือนใคร เมื่อก่อนเราทำงาน เรามีชื่อเสียงเงินทอง แต่กลับเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความสุขในชีวิต เป็นคนซึมเศร้า สมมติเราดีใจมากๆ สามวันผ่านไปเราก็เสียใจมาก ก็เลยเกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมา จนในที่สุดมันก็เป็นเรื่องของศรัทธา เราเริ่มพบว่างานที่เราทำ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แล้วเราจะทำอะไรเพื่อคนอื่นได้บ้างล่ะ
เราก็เลยพยายามเก็บสิ่งที่ดีของเราไว้ โดยที่ค้นหาว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง อย่างที่เมืองนอกก็มีนะ ชื่อว่า The Bible Project เป็นการ์ตูน เป็นแอนิเมชั่น คนที่เป็นคริสเตียนเขาก็มาช่วยกันทำภาพประกอบ เพื่ออธิบายถึงพระคัมภีร์เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจ
Life MATTERs : พอเริ่มทำงานเพื่อศาสนาควบคู่ไปด้วย คาแรคเตอร์ในงานเปลี่ยนไปบ้างไหม
เหนือ : จริงๆ มันก็เป็นเรื่องของความรัก เรื่องของความสดใสที่มองแล้วมีความสุข แต่ความสามารถของเราคือทำให้มันเข้าใจง่ายขึ้น ให้รู้สึกว่าใกล้คนดูมากขึ้นเท่านั้นเอง อย่างการทำอุปกรณ์ประกอบการสอนเด็ก เราก็ดีไซน์วิธีการสอนให้มันเป็นเกม มีการดีไซน์ภาพ เช่น เราเล่าเรื่อง 7 วันทรงสร้าง ใน 7 วันนี้ เราจะทำเป็นการ์ดแล้วก็สลับๆ เอาให้เขาเรียง ตอนแรกก็คิดว่ามันจะยากเกินไปหรือ สำหรับเด็กช่วงอายุ 6-8 ขวบ แต่พวกเขาก็ทำได้
บางครั้งเราก็ทำเป็นสมุดระบายสี สร้างมิติด้วยการซ้อนทับกัน ปรากฎเขาก็ไม่รู้ว่าต้องระบายยังไง มันก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าในบางงาน เราต้อง simplify ให้มันลดความซับซ้อนหน่อย เด็กก็จะไม่เหนื่อยเร็ว ดังนั้นไม่ใช่แค่เด็กที่เรียนรู้ เราก็ได้เรียนรู้จากเขาไปด้วย
สมมติมีคนบอกว่าเด็ก 6 ขวบ จะมีความสนใจอยู่ที่ประมาณ 6 วินาที ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อ แต่เราก็สังเกตจากการที่เราใช้แผ่นภาพสอน ก็จะเห็นว่าเด็กพยายามจะเปิดแผ่นต่อไปเร็ว ๆ แล้วพอโตขึ้นมาหน่อย เด็กก็จะอยู่กับมันได้นานมากขึ้น พอเราได้ทำงานตรงนี้เราก็ได้ผลตอบรับในการที่จะทำงานต่อไปเช่นกัน
Life MATTERs : สำหรับงานสายคอมเมอร์เชียล คุณรันโปรเจกต์ไหนอยู่บ้าง
เหนือ : ตอนนี้มีโปรเจกต์ประมาณ 9 ตัวครับ อย่างล่าสุดกับ mv ของ Polycat เราก็วางเป้าหมายไว้ว่าอีกหน่อยจะทำแอนิเมชั่นต่อยอดจากงานของเราเองด้วย นั่นก็คืองานคาแรกเตอร์ดีไซน์ JK’s MONZ เราก็แพลนไปต่างประเทศด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เราก็ไปคอลแล็บกับค่ายเพลงที่ฝรั่งเศส แล้วเราก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าปีหน้าเราจะไปงานคาแรคเตอร์ดีไซน์ที่ต่างประเทศให้ได้
คือวางแผนไว้ และทุกอย่างมันมีเป้าหมายชัดเจน ว่างานของเราจะเป็นเรื่องของความสนุก สดใส แฮปปี้ ความรัก และให้งานเป็นทูต อาจจะสอดแทรกเรื่องราวของพระเจ้าอยู่ในนั้นบ้าง ซึ่งบางครั้งคนถามว่าทำไมงานน่ารักจัง เราก็ไม่รู้แฮะ มันออกมาจากข้างในมากกว่า พองานออกไปมันก็จะสะท้อนกลับมาอีกที
ดังนั้นเราก็ทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เราทำงานตั้งแต่ 10 โมง วันไหนต้องเข้าโบสถ์ก็เลิก 5 โมงแล้วไปโบสถ์กัน น้องๆ ฝึกงานก็ไปด้วย

‘Boussole Records Volume IV’ sort aujourd’hui / via facebook.com/boussolerecords
Life MATTERs : เหนื่อยไหมที่ต้องทำอีกงานหนึ่งซ้อนขึ้นมา ซึ่งถ้าจะว่าไปก็คือไม่มีเงินเป็นค่าตอบแทน
เหนือ : ไม่เหนื่อยนะ เพราะว่าความรักมีพลัง เปรียบเทียบง่ายๆ อย่างเวลาเรามีความรัก เราก็จะมีแรงที่จะทำ โดยที่เราไม่ได้ใช้กฏเกณฑ์อะไรมากั้นตัวเอง เราอยากทำจากข้างใน เหมือนกัน เวลาที่เรารักพระเจ้า ชีวิตมันก็จะดำเนินไป แล้วเราจะรู้สึกไม่เหนื่อย ที่จริงอาจมีบ้างที่รู้สึกเหนื่อย แต่ทุกครั้งที่เปิดพระคัมภีร์ เราก็ดีขึ้น คือมันเป็นสิ่งที่อธิบายยาก แต่ทุกครั้งที่เปิดพระคัมภีร์ พระเจ้าก็จะตอบเรา
Life MATTERs : มีศิลปินคริสเตียนที่ทำงานให้ศาสนาอย่างนี้เยอะมากไหม
เหนือ : น่าจะมีอยู่เยอะ ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจยาก แต่ถ้าพูดถึงคริสเตียนคือมีอาร์ติสต์เยอะมากที่เขาหันมาทำงานด้านศาสนา ตอนนี้ก็มี kickstarter ที่ทำภาพประกอบพระคัมภีร์ขึ้นมา เป็นเล่มใหญ่มาก เพราะเขาอยากให้วัยรุ่นดูภาพและเข้าใจง่ายขึ้น ประกอบกับการอ่านพระคัมภีร์ไปด้วย
แล้วก็มีวงดนตรีที่ดังมากๆ ชื่อว่า Hillsong โดยมีภาพยนตร์สารคดีที่เขาทัวร์รอบสหรัฐอเมริกา เราจะเห็นว่ามันเหมือนเป็นชีวิตเขา ที่นมัสการพระเจ้า พูดถึงพระเจ้า ร้องเพลงพระเจ้ากันเป็นเรื่องปกติ จริงๆ แล้วพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงคนๆ นั้นหรอก คือหมายถึงคนเราจะมีข้อดีในตัวเองตั้งแต่เกิด
เพียงแต่จิตวิญญาณของเราหลับไป เมื่อเรารู้จักพระเจ้า จิตวิญญาณของเราก็จะตื่น เพราะคาแรคเตอร์ของคนเราถูกสร้างมาไม่เหมือนกัน มีประสบการณ์ชีวิตไม่เหมือนกัน
Life MATTERs : เหมือนว่าคุณเพิ่งพบจุดเปลี่ยนนี้ได้ไม่นาน?
เหนือ : เรานับถือคริสต์มาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อก่อนเราไม่ค่อยอะไรกับศาสนา ออกแนวต่อต้านด้วยซ้ำ จนเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เรียนออกแบบ เรียนศิลปะ แล้วรู้สึกว่าทำไมทุกอย่างในชีวิตมันเป็นระบบมาก ตั้งแต่กินข้าวแล้วถ่ายออก มีแฟน มีลูก ต้นไม้โตแล้วตาย ทุกอย่างมีระบบที่สวยงาม คงต้องมีดีไซเนอร์ที่เก่งมากๆ พอเราเชื่อก็เหมือนคนมีความรักอย่างที่บอกนั่นแหละ
สังเกตว่าคนที่เป็นคริสเตียนจะพูดเชิญชวนให้คนอื่นมารู้จักพระเจ้า บางครั้งเขาก็อาจจะโดนต่อว่ากลับมา แต่นั่นเพราะเขามีความรักเยอะมากจนล้นออกมานั่นเอง
Life MATTERs : ตอนนี้คุณมีความคาดหวังอะไรกับงานของตัวเองอีกบ้าง
เหนือ : ตอนนี้เราทำงานทุกอย่างถวายพระเจ้า เราไม่อยากยกตัวเองขึ้นมา มันจะเหมือนกับว่าเป็นรูปเคารพอันนึง เราคิดเสมอว่าเวลาที่ได้งานมานั่นคือโอกาสที่พระเจ้าให้มา ฉะนั้นเราก็ทำงานให้เต็มที่ที่สุด งานที่เขามาเลือกที่ตัวเรา เราก็จะทำเต็มที่ ใส่ความรักลงไป ให้คนที่ดูได้ความรักกลับไป เราคิดเท่านี้
Life MATTERs : ก่อนหน้านั้น ในตอนที่คุณเศร้าๆ อยู่ แต่ก็ดูเหมือนว่างานก็ยังมีความสนุกอยู่ มีการจัดการตรงนี้อย่างไร
เหนือ : อารมณ์เศร้ามันจะเข้ามาตอนที่เราประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่เราทำงาน เราแฮปปี้กับงาน มีความสุขกับการทำงาน แต่พอเรามีชื่อเสียงหรือต้องไปที่อื่น มันกลายเป็นว่าเราเศร้า เมื่อก่อนเราเลยไม่ค่อยอยากออกไปไหน หรือไปพบปะใครเท่าไหร่ เหมือนต้องเซฟตัวเอง เพราะเรารู้ว่าเราจะเศร้า
อย่างเวลามีคนมาชื่นชมยินดี แล้ววันต่อไปมันก็กลับมาเหมือนเดิม เรารู้สึกว่าพวกนี้มันไม่ยั่งยืน เราก็เลยมีความสุขในตอนที่ลงมือทำงานมากกว่า การไปออกงานต่างๆ ถ้าทำงานเพื่อตัวเองเพื่อเงินทอง มันก็แค่นั้น แล้วเราก็ถามตัวเองว่า ทำได้แค่นี้เหรอ เราทำอะไรได้มากกว่านั้นหรือเปล่า ถ้ามีชื่อเสียง เราก็ต้องมีมากขึ้นๆ เราก็ต้องวิ่ง ต้องแข่งกันมาก เพื่อนที่เคยเป็นเพื่อนเราก็ต้องแข่งกันไปเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่แฮปปี้กับตรงนี้มากๆ นั่นแหละ ในที่สุดเราก็ดีขึ้น
Life MATTERs : ทางด้านการออกแบบล่ะ คุณมีวิธีคิดในการสร้างคาแรคเตอร์แต่ละตัวอย่างไร
เหนือ : เราตั้งกฎให้ตัวเอง ไม่อิสระจนเกินไป จะให้งานมันเป็นงานที่เราเรียนรู้ เราอยากได้รูปทรง ซึ่งเรามีวัตถุดิบเท่านี้ มีแค่วงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สมมติเราจะสร้างสิงโตสักตัวออกมาอย่างไร มันก็จะไม่เหมือนสิงโตซะทีเดียว แต่มันจะประกอบความคิดของเราขึ้นมา เลยกลายเป็นความสนุกของเรา ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้คาแรคเตอร์ดูแปลกประหลาดไป เราไม่ได้จะทำให้เหมือน แต่เราแค่อินสไปร์มาจากสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วเราก็เอาวัตถุดิบที่เรากำหนดไว้ต่อมันไปเรื่อยๆ เหมือนต่อเลโก้
Life MATTERs : พอลองทำเป็นแอนิเมชั่นอย่างใน mv ของ Polycat คุณทำงานยากขึ้นไหม
เหนือ : จริงๆ มันมีวิธีคิดนิดนึงคือ พอเรารู้ขั้นตอนการทำ รู้ว่าต้องจัดไฟล์อย่างไรให้สะดวกต่อการใช้งานแบบนั้นๆ ตอนเราทำให้แมกกาซีน เราก็ดูว่าตอนนี้เขามีชาแนลต่างๆ ทั้งอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก แล้วถ้าภาพประกอบมันสามารถเคลื่อนไหวได้ เป็น animation gif ล่ะ เราจะคิดว่าภาพๆ นั้นควรดีไซน์ออกมาอย่างไร เหมือนเอาความชอบของตัวเองมาผสมรวมกัน ให้คนที่เขามาให้เราทำไปเผยแพร่ในชาแนลของเขาได้
เราจะทำงานให้เร็วที่สุด วางแผนก่อน คอมโพสิชั่นแบบนี้ ต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง เราวิเคราะห์สิ่งที่ต้องทำออกมา มันก็เลยจะไม่ยากเท่าไหร่ อีกอย่างเราชอบดนตรี ชอบคอนเสิร์ตอยู่แล้ว เคยกำกับเอ็มวีให้ตุ๊กตา เดอะวอยซ์ตอนที่เขาออกอัลบั้มกับสมอลล์รูม เคยกำกับคอนเสิร์ต 3-4 คอนเสิร์ตได้
คือเราไม่รู้ด้วยว่ากำกับอย่างไร แต่เราชอบดูคอนเสิร์ต ก็คิดอาร์ตไดเร็กชั่นก่อน เราอยากให้คนดูรู้สึกอย่างไร เราต้องการอะไรจากคอนเสิร์ต ก็ดีไซน์ออกมา ตอนแรกเขาไม่ได้ให้เราดีไซน์ด้วย แต่พอเห็นเรามีแพชชั่น เขาก็ให้ทำทั้งหมดเลย พอทำอีกคอนเสิร์ตนึงก็ดึงน้องๆ เข้ามาช่วย คือเราคิดคอนเซปต์แล้วก็ให้เขาทำ
ตอนนั้นทำร่วมกับ Eyedropper Fill ซึ่งตอนนั้นเขายังเรียนอยู่เลย แต่เราชอบงานเขาเลยชวนมาทำ พอจบงานนี้เราก็ไปเป็น curator คอนเสิร์ตอัสนี-วสันต์ เราก็เลือกศิลปินต่างๆ เข้ามาทำเพลงที่เขาเลือก เหมือนเราเป็นออแกไนซ์จัดการต่างๆ ก็ทำให้เราเรียนรู้มาเรื่อยๆ จนเราได้มาร่วมงานกับที่ต่างประเทศ คือเขากำลังทำคอนเสิร์ตให้กับ U2 เลยได้รับโอกาสนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เราชอบมัน งานทุกวันก็เกิดจากการที่เราเล่นมัน แต่ไม่ได้เล่นแบบทิ้งขว้าง เล่นแบบทำให้มันเกิดขึ้นจริง
Life MATTERs : แปลว่าพาร์ตที่ติสต์ๆ เหมือนเดิมก็ยังมีอยู่ เพียงแต่เพิ่มพาร์ตที่ทำเพื่อพระเจ้าขึ้นมา
เหนือ : ใช่ มันเป็นพาร์ตที่เราทำอะไรเพื่อคนอื่นมากขึ้น ในอนาคตเราก็อยากที่จะแบ่งกำไรที่ได้ ไปทำโปรดักต์ให้กับเด็กด้อยโอกาสด้วย คือทำธุรกิจมันก็ต้องมีกำไรแหละ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอามากหรือน้อย และสามารถเอาไปให้คนอื่นได้อีกหรือเปล่า
ซึ่งนี่ดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับเรานะ เพราะต้องใช้เงินเยอะ แต่ถ้ามีโอกาส ก็อยากจะทำแบบนั้น ตอนนี้ก็พยายามอยู่ เพราะเราเข้าใจเด็กเหล่านั้น ครอบครัวเราก็ไม่ได้สมบูรณ์เหมือนกัน
เราว่าการทำให้คนอื่นมันได้ความสุขทั้งสองฝ่าย อย่างงานของเรามันเป็นโปรดักต์ เป้าหมายของเราก็คือให้มันไปถึงคนมากขึ้น ให้เขาได้กอดเวลาที่เขาเศร้า ได้มองมันแล้วยิ้ม เพราะเวลาที่เด็กกอดตุ๊กตาตัวนั้นเขาก็จะรู้สึกว่ามีคนที่รักเขา เท่านั้นเอง