ในยุคสมัยของนักฝัน เรามองเห็นนักลงมือทำจำนวนไม่น้อย ที่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อไปถึงฝันของตัวเอง และในจำนวนนั้น เรามองเห็นชายคนหนึ่งที่ยังคงสนุกกับการทำสิ่งใหม่ๆ ร่วมกับเด็กต่างรุ่น ในช่วงวัยที่หลายคนลงหลักปักฐานกับอีกสเต็ปของชีวิตไปแล้ว แต่ชีวิตของเขาได้มีการจัดลำดับความสำคัญของบางสิ่งอย่างต่างไปจากนั้น เพื่อให้ชีวิตสนุกสดใหม่กว่าที่เคย
อ๋อง—วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ คืออดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร GM และบรรณาธิการบริหารคนปัจจุบันของ a day BULLETIN เจ้าของผลงานเขียนอย่าง ‘ชายหนุ่มผู้ก้มลงถ่ายภาพเท้าตัวเอง’ หรือ ‘สุนทรียะแห่งความเหงา’ ทั้งยังเป็นอาสาสมัครในเวที TEDxBangkok รวมถึงนักพูดในเวทีต่างๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้เสมอ
งานนี้เราจึงไม่พลาดที่จะพูดคุยกับเขาถึงเหตุที่ทำให้ชีวิตวัย 40 ของเขายังคงเต็มไปด้วยการเดินทางโลดโผนของการทำงาน รวมถึงการพานพบกันระหว่างแต่ละเจนเนอเรชั่นที่ต่างก็เรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่เสมอ ในแง่หนึ่งเขาคือผู้ใหญ่ที่อยากพบช่วงเวลาสงบงามในชีวิต อีกแง่หนึ่งเขายังมีหัวใจเยาว์วัยที่พร้อมรับเอาพลังพลุ่งพล่านของเด็กต่างเจนเสมอ—ไปอ่านถ้อยความคิดของเขากัน
Life MATTERs : สำหรับช่วงอายุ 40 ปี เรายังเห็นคุณสนุกกับการทำอะไรต่างๆ มากมาย พลังเหล่านี้มาจากไหน
อ๋อง : หลังๆ มานี้ อยากมีชีวิตที่คุ้มค่า ชีวิตที่นำพาเราไปสู่จุดใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่ชอบอยู่แต่ในคอมฟอร์ตโซน อาจเพราะ ในตอนเด็กทุกสิ่งทุกอย่างมันง่ายหมด ตื่นเช้ามาไปโรงเรียน ม.3 สอบเข้า ม.4 พอเรียนจบ ม.6 ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย พอเรียนจบก็หางานทำ ทุกอย่างมันมีสเต็ปบอกไว้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร ทุกอย่างมันก็ลอยไปตามเส้นทางง่ายๆ
อย่างตอนที่เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ชีวิตก็ผ่านไปวันต่อวัน เป็นชีวิตที่ไม่ต้องตัดสินใจอะไร มันง่ายมาก เหมือนคุณลอยอยู่ในอวกาศ แบบหนัง Gravity แต่พอมาถึงจุดหนึ่งกลับรู้สึกว่าเราอยากทำ มันปรารถนามาก ว่าเราอยากค้นหาอะไรบางอย่าง
ซึ่งเราอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากเด็กยุคนี้ด้วย เวลาเห็นคนนั้นคนนี้ไปทำอะไร เรารู้สึกว่าใจมันฟู รู้สึกว่ามันเจ๋งมาก มีอยู่ช่วงจังหวะหนึ่งตอนที่ ยู—กตัญญู ทำงานกับเราที่นิตยสาร GM แล้วเขาก็ขอลาออก เขาบอกว่าเขาอยากจัดทอล์กโชว์ แล้วตอนนี้เขาก็ทำได้ รุ่นน้องอีกคนหนึ่งก็ไปวิ่งมาราธอน อีกคนก็ทำเพลงอะไรของเขาไป เวลาที่เราอยู่ท่ามกลางน้องๆ เหล่านี้เรารู้สึกว่าชีวิตเราพลาดวัยหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยพลังแบบนี้ เรากลายเป็นคนแก่ที่อยู่แต่ในห้องเล็กๆ
Life MATTERs : ชีวิตในคอมฟอร์ตโซน สำหรับคุณแล้วถือว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร
อ๋อง : เราก็เคยมีความสุขนะ เพราะในแง่หนึ่งมันก็โปรดักทีฟ เขียนบทความอะไรต่ออะไรของเราได้ แต่จริงๆ แล้วเราค้นพบว่ามันยังมีอะไรอีกตั้งเยอะที่เราน่าจะทำได้ จังหวะเดียวกันนั้น ภรรยาผมไปเรียนทำขนมปังมา เวลาเขาทำเสร็จแล้วลองทานมันก็จะแข็งๆ กระด้างๆ ไม่ได้จะอร่อยอะไรมากมาย แต่เขามีความสุข คือเขาทำงานประจำอยู่ แล้วเขาก็มาทำสิ่งนี้ ตอนที่เขาบังคับให้เรากินแล้วตาเขามีความสุข และความมุ่งมาดปรารถนานั้นมันก็สะท้อนมาสู่ตัวเรา
โชคดีที่งานประจำของเราคือการเขียนหนังสือ มันก็สะท้อนไปในงานเราได้ในระดับหนึ่งด้วย คืองานเขียนของเรามันก็จะแข็งๆ แห้งๆ ตรรกะแบบกระด้างๆ ซ้ำๆ จนจุดหนึ่ง เราจะเห็นเจนเนอเรชั่นต่างๆ ที่เขาเคลื่อนตัวผ่านมา แล้วเราก็รู้สึกว่า เออ มันทำแบบนี้ก็ได้นี่หว่า คือไม่ใช่แค่เพื่อนฝูงรอบตัวนะ แต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ทุกคนลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างพร้อมๆ กัน แสดงให้เห็นว่าเขามีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายในชีวิต
คล้ายเวลาดูหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty เราก็จะรู้สึกซึ้งน้ำตาไหล นี่ไม่ได้จะพูดเพื่อเป็นแรงบันดาลใจหรือจูงใจให้เด็กรุ่นนี้ฟังนะ เพราะมันจะดูน้ำเน่า แต่มันเป็นเพียงความรู้สึกอะไรบางอย่างของเราที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น อยากค้นหาพาร์ตอื่นๆ ในชีวิต เราเริ่มมีความคิดอะไรแบบนี้ประมาณ 2-3 ปีนี่เอง
Life MATTERs : ก่อนหน้านั้นคุณไม่เคยมองหาแรงบันดาลใจอื่นๆ นอกเหนือจากงานที่ทำเลยเหรอ
อ๋อง : ก่อนนั้นเราจะจินตนาการถึงชีวิตทั้งชีวิต จินตนาการถึงความสำเร็จแบบมีบ้านหลังใหญ่ๆ มีรถคันใหญ่ มีลูก มีสระว่ายน้ำ มีหมาสองตัวอะไรแบบนี้ เราจะไม่ได้คิดถึงมิติอื่นๆ มากนัก คือตื่นมาก็ทำงานแล้วก็ทำงานให้ดีที่สุด อาจเป็นโชคดีอีกแหละที่เราเป็นนักเขียน เราก็ฟินกับงานที่เราเขียน ถึงแม้หัวหน้า หรือคนอ่านจะไม่ได้ฟินกับเราก็ตาม แต่เราฟินกับสิ่งนี้เพราะเราอยู่กับมันมาตั้งนาน แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังรู้สึกว่าเราทำอย่างอื่นได้นะ ไปทำอย่างอื่นบ้างดีกว่า
Life MATTERs : คิดว่าคุณมองชีวิต ณ ตอนนี้ต่างจากคนอื่นๆ ในเจนเดียวกันไหม
อ๋อง : คือคนอื่นเขาอาจจะมีความสุข ความสำเร็จในแบบอื่นๆ มีชีวิตที่ดีในแบบอื่น เราไม่ได้โชคดีหรือบียอนด์กว่าคนอื่นๆ เลย อย่างเวลาไปเลี้ยงรุ่น เพื่อนก็ขับ Benz , BMW มากัน เรายังขับรถญี่ปุ่นธรรมดาๆ อยู่เลย นึกออกไหม คือด้วยอายุเขาก็เป็นระดับผู้บริหารกันหมดแล้ว คนอื่นมีความสำเร็จของเขา เราก็มีความสำเร็จอยู่กับตรงนี้ แต่ว่าคนเรามันจะอยู่กับที่อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
และในขณะเดียวกัน สมัยนี้เราหาคนมาทำงานยากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะตั้งคำถามกับงาน ตั้งคำถามกับองค์กร กับความสุข ความสำเร็จของตัวเอง ไม่ค่อยมีงานที่พวกเขาพอใจ จะกวาดตามองหาโอกาสอื่นๆ ตลอดเวลา เพราะเขาเปรียบเทียบตัวเอง คุณลองหลับตาจินตนาการถึง 20 ปีก่อน ตอนนั้นพอเราเรียนจบก็แยกย้ายกันไป มีแค่เพื่อนสนิทไม่กี่คนที่เจอกัน กินเหล้ากันทุกวันศุกร์ เราไม่มีโอกาสไปส่องอินสตาแกรมเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันว่าใครทำอะไรอยู่ พอเราเข้าไปอยู่โลกของการทำงานแบบไหน เราก็จะได้เห็นคนแบบนั้นๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เห็นชีวิตคนแบบอื่นๆ เท่าไหร่ เราเลยอยู่แบบนี้ได้นาน
Life MATTERs : เมื่อต้องทำงานที่เจอกับเด็กเจนใหม่เยอะมาก คุณสังเกตเห็นพวกเขาในแง่ไหนบ้าง
อ๋อง : ก็เห็นน้องหลายคนที่บอกว่ายังไม่อยากทำงานประจำ อยากเป็นฟรีแลนซ์สักพักหนึ่ง เพื่อค้นหาตัวเอง เราว่ามันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่เรามองไปถึงเรื่องเวลาในชีวิตมากกว่า
อย่างแถวบ้านเราจะมีร้านขายน้ำเต้าหู้อยู่ร้านหนึ่ง เป็นลุงกับป้า อายุประมาณ 50-60 เขาจะมาขายประมาณ 4-5 โมง แล้วสองสามทุ่มเขาก็ปิดแล้ว ในขณะที่เรากับภรรยาเลิกงาน 6 โมง แต่ยังกลับบ้านไม่ได้เพราะรถติด ต้องนั่งแช่ถึงสองทุ่มค่อยออกจากออฟฟิศ ไปถึงไม่เคยกินน้ำเต้าหู้ร้านนี้ทัน
เรากับภรรยาก็คุยกันว่าเราเรียนกันมากเกินไป เพื่อที่จะออกไปทำงานไกลบ้านเกินไป ซึ่งสิ่งนั้นมันไม่ใช่ตัวเรา อย่างพ่อแม่เราเอง เขาจบ ป.4 ทำงานอยู่ที่บ้าน ขายส่งก๋วยเตี๋ยวให้กับร้านอาหารเล็กๆ ตื่นตีห้า ห่อแพ็คไปส่งตามร้าน ถึงแปดโมงก็ว่างแล้ว กลับมาบ้านนอนดูทีวี ทำอีกรอบนึงตอน 4 โมงเย็น สัก 6 โมงออกไปส่งให้กับร้านที่เปิดขายตอนเย็น ส่วนรุ่นลูกเขาก็ทำงานโดยใช้เวลาอีกแบบ
แต่เจนเนอเรชั่นใหม่ มันก็ไม่ใช่แบบผมแล้ว ผมไม่สามารถเอาตัวเองไปตัดสินรุ่นคุณได้อีกแล้ว ว่า คุณต้องมาทำงานบริษัทนะ เพื่อที่คุณจะได้มาจ่ายภาษีให้พวกผมตอนแก่ มันก็ไม่ใช่ พวกคุณอาจจะต้องไปเริ่มต้นอะไรบางอย่าง ใช้เวลาในแบบของคุณ ผมคิดว่าเจนวายเป็นอีกตลบหนึ่งของรุ่นผมไปแล้ว
Life MATTERs : พอคุณค่อนข้างมองเป็นเรื่องของเจนเนอเรชั่น การทำงานอาสาสมัครเช่น TED Talks ได้เจอเจนเนอเรชั่นที่เด็กกว่าคุณเยอะมาก ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
อ๋อง : จริงๆ มันคือวัยเยาว์ที่เราขาดหายไป ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น เราเป็นแค่เด็กเนิร์ดๆ หลังห้อง ไม่ใช่วัยเยาว์ที่สนุกสนาน ปาร์ตี้ ตอนเด็กๆ เราไม่เข้าชมรม ไม่ได้เป็นอะไรเลย เรียนก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไปเรียนคือไปหาเพื่อน กินเหล้า ดูหนัง ช็อปปิ้ง ไม่ค่อยมีสาระอะไร พอมาเจอแบบนี้ พบว่าคนรุ่นนี้น่าจะเป็นรุ่นที่เห็นอะไรเยอะ มีโอกาสเยอะ ดิ้นรน กระเสือกกระสน ได้ทะเยอทะยานทำอะไรที่เรารู้สึกว่าตอนเด็กๆ ควรทำ
เราพบว่าเราเองก็ควรทำอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน มันเลยเป็นอีกแรงหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราควรทำอย่างอื่นบ้างเถอะ และสิ่งที่เราพบในการทำงานแบบใหม่ วงใหม่ มันจะไม่มีโต๊ะที่นั่งเรียงกันตามตำแหน่งอีกแล้ว ทุกคนจะไปนั่งกองๆ กัน มีกระดาษแผ่นใหญ่ มีโพสต์อิตมาแปะ แล้วถูกรวมเข้ามาด้วยกัน กลายเป็นงาน 1 ชิ้น
งานที่ออกมาแบบไหนดีกว่ากัน ไม่มีใครตอบได้ มันขึ้นอยู่กับทัศนคติ รสนิยม ซึ่งเราสนุกกับการทำงานแบบนี้ คือมันเป็นการทำงานแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เอาคนใหม่ๆ มารวมกัน ตอนแรกๆ ด้วยความที่เราแก่ เราจะรู้สึกว่ามันไม่ได้อ่ะ ความคิดเห็นแบบนี้มันเด็กมากเลย ถ้าเราไปพูดแบบนี้ เราจะเห็นเลยว่าเด็กที่เขาได้ยินเขาจะเสียใจมาก จนมันจะสะท้อนกลับมาที่ตัวเราเองว่า โลกนี้มันไม่ควรจะเป็นแบบที่เราเคยเป็น เราควรจะต้องเปลี่ยนไปเป็นแบบอื่น
เดี๋ยวนี้พอเวลาเจออะไรที่รู้สึกว่ามันไม่ใช่เลย เราก็จะรู้จักหุบปาก ดำดิ่งไปอีกสักแปปหนึ่ง ว่ามันผิดตรงไหน ควรเพิ่มอะไรยังไง แล้วค่อยพูดออกไปว่าพี่รู้แล้วว่าที่พูดมามันถูกมากเลย แต่ควรจะมีอันนี้ด้วยนะ มันเป็นวิธีการพูดอีกแบบนึง ซึ่งเครดิตความคิดมันก็เป็นของเขาอยู่ดี พอเป็นแบบนี้แล้วทุกคนจะมีความสุข
เช่นน้องคนนี้อุตส่าห์แสดงความคิดเห็นออกมา มันกล้ามากเลยนะ ความคิดเห็นของมันต้องได้รับการทะนุถนอมจากเราสิ เราปรารถนามากเลยที่จะให้เขามีความสุขและเติบโตขึ้นไปให้ดีกว่าเรา ซึ่งพอเราปรับวิธีคิด เราพยายามเนียนๆ ไปกับเด็กๆ ผลมันก็ออกมาดีนะ
Life MATTERs : สามารถพูดได้ไหมว่างานหรือความคิดของเจนวาย ก็ควรได้รับคำแนะนำจากคนที่โตกว่าเหมือนกัน
อ๋อง : ก็เป็นไปได้นะ พี่ว่าโลกมันเป็นแบบนี้ก็เพื่อสิ่งนี้ โลกมันเต็มไปด้วยความหลากหลาย ผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ เด็ก มันมีสิ่งนี้เพื่อให้เราสะท้อนกันและกัน คุณจะไม่มีทางรู้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวคุณเองหรอก มันอาจจะมีอัจฉริยะอะไรบางอย่าง คนที่เกิดมาบนโลกเพื่อภารกิจบางอย่าง แต่มันไม่ใช่ทุกคน เราเกิดมาเพื่อเห็นคนอื่นและให้คนอื่นเห็นเรา เราถึงรู้ว่าเราทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ แต่ละเจนเนอเรชั่นมันมีไว้เพื่อสิ่งนี้
Life MATTERs : ดูเหมือนงานที่ทำจะเติมเต็มพลังบางอย่างให้คุณ แต่กลับกันมันทำให้คุณมีเวลาน้อยลง?
อ๋อง : สิ่งเดียวที่เรามีเท่ากันหมดคือเวลา เป็นอะไรที่บีบคั้นมากเลย ไม่รู้ว่าจะดิ้นอกจากวงจรนี้อย่างไร แต่ว่าที่ทำงานเราจะมี work at home ทุกวันพุธ มันก็ได้เวลาขึ้นมาส่วนหนึ่ง ซึ่งเรามีความคิดว่าคนเราควรทำงานแค่สี่วันต่ออาทิตย์ พักสามวัน วันนึงเก็บกวาดบ้าน วันนึงพาพ่อแม่ไปกินข้าว อีกวันนึงพักผ่อน ดูยูทูบ ไถเฟซบุ๊ก
ถ้ามีเวลาพักแค่สองวันมันไม่พอ นอนเล่นโทรศัพท์ก็หมดไปครึ่งวันแล้ว ตอนนี้คือเวลามันน้อยแหละ แต่มันก็หนีไม่ได้ ทุกคนคงเจ็บปวดกับเรื่องเวลา แต่ว่าทำไงได้ล่ะ ถ้าทุกคนพร้อมใจกันลดงานตัวเอง ไม่มีใครเพิ่มขึ้น ไม่มีใครลดลงนั่นแหละ ถึงจะเปลี่ยนได้ แต่ทุกวันนี้โลกมันบีบเราไปหมด ด้วยเงื่อนไขของการแข่งขัน เงื่อนไขของโลกธุรกิจ เงื่อนไขของเวลา
เรามุ่งไปที่งานอย่างเดียว ทั้งที่งานในชีวิตเรามันก็มีหลายอย่าง งานที่ทำเพื่อเลี้ยงชีพ งานที่ทำเพื่อความสุข งานที่แท้จริงของชีวิต มันมีหลายเลเวล เราเคยดูคลิปหนึ่ง ที่เขาเอาหิน เอาทรายมาใส่ไว้ในโหลแก้ว งานที่สำคัญที่สุดคือหินก้อนใหญ่ ต้องใส่ให้หมดก่อนถึงจะเอากรวดเท กรวดมันก็จะไปเติมเต็มช่องว่าง สุดท้ายคุณเอาทรายเท มันก็จะไปแทรกจนเต็มโหล
เปรียบเทียบแล้วมันก็เหมือนการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ถ้าคุณเอาแต่ทรายเท มันก็จะเต็มทันที คุณไม่มีที่ว่างที่จะเอาหินเอากรวดมาใส่ ซึ่งจริงๆ แล้วชีวิตแต่ละคนจะแตกต่างกันตรงที่เรานิยามสิ่งสำคัญในชีวิตต่างกันไป เช่นเพื่อนคนหนึ่งมีลูก เขาบอกว่าพอมีลูกก็จะเอาเวลาทั้งวันให้ลูก
เมื่อก่อนเขาก็เหมือนเราแหละ ความฝันเยอะ แต่พอมีลูกปุ๊บ เขาบอกว่าความฝันเหล่านั้นไม่สำคัญเลย สิ่งเดียวที่สำคัญคือลูก แล้วเขาก็อยู่บ้าน พอเราทวงงานเขาบอกว่าพี่ลูกผมหกล้มคางแตก ต้องพาลูกไปหาหมอ พอบอกมาแบบนี้ เราจะไปทวงงานมันยังไงล่ะ หินของมันคือลูก คุณเป็นแค่กรวด แค่ทราย สิ่งที่ต้องเทหลังจากหิน เขาต้องพาลูกเขาไปเย็บคางก่อน ความสำคัญของสิ่งที่คุณถือจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย พอวันนึงมีสิ่งที่สำคัญกว่า เรามองกลับมาจะรู้เลยว่า ตอนนั้นตัวเองเด็กมาก แล้วคุณค่าที่แท้จริงของคุณคืออะไร มันแล้วแต่คน แล้วแต่วัยด้วย
Life MATTERs : แล้วตอนนี้หินของคุณคืออะไร
อ๋อง : มันมีช่วงนึงที่เราทำงานแล้วเบิร์นเอาต์มากๆ ประมาณช่วงปี 2008 เรารู้สึกว่าที่เราทำมาทั้งหมด มันไม่มีอะไรเลย หนังสือที่ออกมาก็ไม่ค่อยมีใครสนใจอ่าน ชื่อเสียงเราก็ไม่ได้มีมากมายอะไร รู้สึกเหมือนมันเป็น mid-life crisis ในช่วงอายุ 30 กว่าๆ สิ่งที่เราค้นพบคือ พอเราทะเยอทะยานมาถึงจุดหนึ่ง เราที่เคยอยากเป็นเป็นเอก เป็นปราบดา พอถึงจุดนึงมันก็จะเบิร์นเอาต์ ซึมเศร้า ซึ่งที่สุดแล้ว สิ่งที่อยู่กับเรามันคือเรื่องความรักความสัมพันธ์
ในขณะที่เราพยายามที่จะได้รับการยอมรับจากหัวหน้า จากผู้อ่าน ที่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาอ่านแล้วเขาคิดอย่างไร เราเอาตัวเองไปขึ้นอยู่กับอะไรที่มันไกลตัวเรามาก เขาไม่สามารถสะท้อนอะไรกลับมาให้เราได้เลย เราเขียนหนังสือแล้วกลวงเปล่ามากเลย เราเขียนหนังสือเรื่องหนึ่ง ชื่อว่า ‘Aimless Wanderer การเดินทางใต้เงาตึก’ เพราะรู้สึกว่าชีวิตมันคือการเกิดและการตาย แต่ระหว่างทางของคุณมันคือการเดินทางไปแบบไร้จุดหมาย ซึ่งมันแย่มาก
สิ่งที่มีคุณค่าคือการที่เรากลับมาอยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อนไม่กี่คน อยู่กับพี่น้องเรา อยู่กับแฟน อยู่กับคนที่เขาแคร์เราจริงๆ ไม่ต้องทะเยอทะยานออกไปไกล ยิ่งคุณมองเรื่อง ‘ความสำเร็จ’ เยอะๆ มันไกลมากนะ คือมันมีไว้ให้สื่อเขียนโรแมนทิไซส์ไปอย่างนั้นแหละ แต่คุณไม่จำเป็นต้องพองใหญ่ขนาดนั้น
Life MATTERs : ความตระหนักแบบนั้นมันอาจถูกที่ถูกทางสำหรับคนเจนเนอเรชั่นเอ็กซ์ แล้วเจนเนอเนชั่นวายล่ะ ควรรู้สึกถึงอะไรแบบนี้แล้วหรือยัง
อ๋อง : คุณอย่าเพิ่งมาหยุดแบบเราดีกว่า ใช้เวลาในแบบของคุณไปเถอะ นี่มันคือสิ่งที่ผมคิดว่ามันขาดหายไป มันเป็นช่วงวัยที่ควรจะได้สนุก เป็นเด็กให้เต็มที่ ผมเคยคุยกับคุณเอ๋ นิ้วกลม เขาบอกว่า คนเราจะโตเป็นครั้งที่สองก็ตอนที่พ่อแม่ป่วย มันเป็นช่วงวัยที่เฉพาะเจาะจงของคุณ ช่วงนั้นแหละ คุณจะได้เติบโตอีกครั้ง
Life MATTERs : คิดว่าเด็กเจนเนอเรชั่นนี้ จะกลายเป็นผู้ใหญ่แบบไหน
อ๋อง : มันคงเปลี่ยนไปเยอะมากเลยแหละ แต่โลกก็จะยังอยู่ไปแบบนี้ ไม่ได้แย่ ไม่ได้มีความทุกข์หรือสุขไปกว่าคนรุ่นก่อนๆ ก็คงวนเวียนกับปัญหาอะไรแบบนี้ เพราะเวลามันเคลื่อน มันจะเคลื่อนไปทั้งก้อน ไม่ค่อยอยากอธิบาย หรือตอบไปในทางดิสโทเปียมากๆ เพราะว่ามันก็คงไม่ไปถึงขนาดนั้น แต่เรารู้สึกว่ามนุษย์โดยรวมทั้งหมด เราไม่ได้มีวิวัฒนาการที่ดีขึ้นไป มันเหมือนน้ำไหลไปเรื่อย ทั้งสังคม เจนเนอเรชั่น ตัวเราเองด้วย เรามักจะไหลลงๆ แต่ก็จะยังอยู่ได้ด้วยการชินกับมัน
Life MATTERs : การที่เราผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตไหม
อ๋อง : เราถูกสภาพสังคมและสภาพการทำงาน บีบให้เราเป็นหนี้เร็ว จริงๆ การผ่อนบ้านผ่อนรถ อาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของการเติบโตนะ เมื่อก่อนมันอาจจะใช่ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ความมั่นคงที่แท้จริง คุณเป็นหนี้ก่อนเวลาอันควร แล้วพอคุณเป็นหนี้ปุ๊บ คุณเบื่องานก็ไม่สามารถลาออกได้ จนกว่าจะได้งานใหม่ ยิ่งเครียดไปอีก แล้วก็จะอยู่กับงานจนลืมอะไรบางอย่างไป
Life MATTERs : ในฐานะของคนทำงาน มองว่าสิ่งที่เราไม่ควรละเลยกันเลยคืออะไร
อ๋อง : เราเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘องค์รวมอันแฝงเร้น’ เขาบอกว่าชาวนาในชนบทยุโรป เวลากลางดึกในฤดูหนาว ถ้ามีหิมะรุนแรงมาก มันจะมืดมาก ชาวนาจะผูกเชือกไว้ที่ประตูบ้านกับประตูโรงนา เพื่อที่เวลาไปทำธุระหรือทำอะไรที่โรงนา เขาจะได้ไต่เชือกเดินไป โดยสิ่งสำคัญที่สุดมันคือการมีบ้านให้เรากลับ โลกทุกวันเวลาเราเติบโตขึ้น ชีวิตที่เราดำเนินไป เพื่อน งาน มิติต่างๆ ในชีวิต มันคือโรงนาครับ คนส่วนใหญ่ลืมที่จะผูกเชือกไว้ พอคุณออกมาประตูบ้านปิด กลางดึกสงัด มีพายุหิมะเข้ามา คุณจะหลงทาง จะไปไม่ถึงโรงนา แล้วก็จะหาทางกลับบ้านไม่ได้
ซึ่งคนหนุ่มสาวมัน lost กันแบบนี้ ผมก็เคยเป็นมาก่อน คือเราไม่รู้ว่าเจนวายจะ lost ไหม แต่เจนเอ็กซ์ lost แล้วมันน่ากลัวมาก เหมือนอยู่ในพายุหิมะเลย ไปไหนไม่ได้ วนอยู่อย่างนี้ ถ้าคุณมีเชือก มีเป้าหมาย มีบ้านให้คุณกลับ คุณก็ไต่ไป ทุกคนจะต้องมีที่ของเขา
บางครั้งออกจากบ้านไป เขาอาจไม่ได้เป็นตัวของตัวเองมากนัก ขึ้นอยู่กับพายุ เขาอาจจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรไป เวลาที่เขาอยู่ที่โรงนาเขาอาจต้องไปเจอคนนู้นคนนี้ เป็นตัวเองไม่ได้ แต่เวลาอยู่ที่บ้านนั่นแหละ คือเป็นเวลาที่คุณจะได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง
Photos by Adidet Chaiwattanakul