หลายคนอาจเคยสงสัยว่าดนตรี Shoegaze คืออะไร ต้องย้อนไปถึงยุคไหนที่เขาเริ่มมองรองเท้ากัน?
แนวดนตรีที่เป็นซับคัลเจอร์เล็กๆ มาเงียบๆ ตั้งแต่ช่วงยุค 80’s แต่ส่งเสียงดังกังวานจนอาม่าข้างบ้านที่หูตึงๆ ยังต้องด่าอย่าง Shoegaze และ Dreampop
และหลายคนก็อาจจะเบื่อเมื่อพูดถึงยุค 90’s เราก็เบื่อเหมือนกัน แต่เพื่อจะอธิบายให้เห็นภาพชัดก็ต้องเล่าถึงช่วงเวลานั้น ในช่วง 90’s ถือเป็นยุคหนึ่งที่บูมมากๆ ของดนตรี Alternative ถ้าคุณชอบเพลงร็อกแรดๆ สไตลิ่งจัดๆ ก็คงกรี๊ดฝั่งอังกฤษอย่าง Britpop นึกภาพพวก Blur, Suede, Pulp และเอ่อ Oasis
แต่ถ้าคุณชอบอะไรเซอร์ ดุๆ แมนๆ ก็ไปฝั่งอเมริกากับ Grunge นึกภาพ Nirvana, The Smashing Pumpkins, Pearl Jam, Soundgarden เป็นต้น แต่ท่ามกลางวัยรุ่นอัลเตอร์เหล่านั้น มีดนตรีอีกแนวหนึ่งที่มีจุดสูงสุดอยู่ในยุคนั้น แนวดนตรีที่เป็นซับคัลเจอร์เล็กๆ มาเงียบๆ ตั้งแต่ช่วงยุค 80’s แต่ส่งเสียงดังกังวานจนอาม่าข้างบ้านที่หูตึงๆ ยังต้องด่าอย่าง Shoegaze และ Dreampop—ในบทความนี้เราจะรวมเป็นแนวเดียวไปเลย เพราะมันก็คือแนวเดียวกันนั่นแหละ — แล้วอาม่าก็ถามดนตรีแบบนี้มันคืออะไรวะ ถ้าอาม่าเรียนเอกอังกฤษ อาม่าก็คงสงสัยว่าทำไมต้องมองเท้า หรือป๊อปเพ้อฝันอะไร?
เฉลย ก็เพราะเวลานักดนตรีแนวนี้มันเล่นสด มันก็จะก้มหน้าก้มตาเล่นดนตรี มองที่เท้าอะไรอย่างเดียวอะไรแนวๆ นั้น แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่ามันก็เป็นเพียงแค่ภาพจำเท่านั้น แก่นแท้จริงๆ ของ Shoegaze คือเสียงร้องลอยๆ และซาวด์ที่อื้ออึงเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง เปรียบดั่งลำโพงกำลังจะระเบิดต่างหาก
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ว่าคุณจะ Britpop จะ Grunge หรือ Shoegaze มันก็มีรากมาจากที่เดียวกัน ก็คือดนตรี Punk และ Rock & Roll วงดนตรีที่ถือเป็นศาสดาของ Shoegaze อย่าง My Bloody Valentine ที่ฟอร์มวงในปี 1983 มีอัลบั้มชุดที่สองในช่วงต้น 90’s และเป็นมาสเตอร์พีชคัมภีร์ Shoegaze ชื่อ Loveless พวกเขามี The Ramones, Sonic Youth และ Dinosaur Jr. ฯลฯ เป็นแรงบันดาลใจ ในขณะเดียวกันวงดนตรีอย่าง Slowdive ฟอร์มวงปลายยุค 80’s โดยได้ชื่อวงมาจากซิงเกิลของวงดนตรี Post-Punk เปรี้ยวๆ อย่าง Siouxsie and the Banshees ซึ่งวง Slowdive มีอัลบั้มชุดที่สองเป็นชุดขึ้นหิ้งชื่อ Souvlaki ในยุค 90’s
ผ่านไปกว่า 20 ปี สำหรับวงอัลเตอร์ทั้งหลาย— Kurt Cobain แห่ง Nirvana ฆ่าตัวตาย, Smashing Pumpkins ไลน์อัพเดิมแตกสลาย แต่กำลังมีการง้อเพื่อกลับมารียูเนียน, Damon Albarn สนุกกับโปรเจกต์ฮิปฮอปของ Gorillaz และการทำ Blur ให้กลายเป็นเพลงบ้านพักคนชรา ในขณะที่พี่น้อง Oasis ขยันด่ากันให้เป็นข่าว และล่าสุด Chris Conell นักร้อง Soundgarden ฆ่าตัวตาย
หลากหลายวงล้มหายตายจากตามวัฏจักรวงเวียนชีวิต แล้วพวกวง Shoegazer ล่ะ วันนี้เป็นยังไงกันบ้าง
หลากหลายวงล้มหายตายจากตามวัฏจักรวงเวียนชีวิต แล้วพวกวง Shoegazer ล่ะ วันนี้เป็นยังไงกันบ้าง เฉกเช่นเดียวกับ Britpop และ Grunge ดนตรีแบบ Shoegaze แพร่ขยายวงกว้างและมีอิทธิพลมากที่สุดแนวหนึ่งในซีนอินดี้ทุกวันนี้ ถ้าไม่มี Loveless เราอาจไม่มีวงดนตรีแบบ Sigur Ros, Mogwai, M83, Deerhunter, Yuck, DIIV และอื่นๆ อีกมากมาย
ในปี 2013 My Bloody Valentine กลับมาทำอัลบั้มในรอบ 22 ปี ด้วยอัลบั้มที่ชื่อว่า MBV และในปีนี้ Slowdive กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งกับอัลบั้มชื่อเดียวกับวง ทิ้งห่างจากอัลบั้ม Pygmalion 22 ปี เลขเหมือนกันแถมตั้งชื่ออัลบั้มแบบสิ้นคิดด้วยชื่อวงตัวเองเหมือนกันอีก!
ชี้เป้าไปที่ Slowdive – Slowdive หนึ่งในอัลบั้มที่ควรฟังที่สุดของปีนี้ เพื่อพบว่าในช่วงเวลากว่า 22 ปีพวกเขาไปตกผลึกกับอะไรมาบ้าง
ชี้เป้าไปที่ Slowdive – Slowdive หนึ่งในอัลบั้มที่ควรฟังที่สุดของปีนี้ เพื่อพบว่าในช่วงเวลากว่า 22 ปีพวกเขาไปตกผลึกกับอะไรมาบ้าง หลังจากออกอัลบั้มหลอน Pygmalion พวกเขายุบวง แล้วเปลี่ยนไปทำโปรเจกต์งานโฟลคเหงาๆ ในชื่อ Mojave 3 และแยกย้ายกันมีอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองรวมทั้งร่วมโปรเจกต์กับศิลปินคนอื่นอีกมากมาย ล่าสุดสองปีที่แล้วนักร้องหญิง/ กีต้าร์ของวง Rachel Goswell ก็ร่วมทำวงซูเปอร์กรุ๊ปชื่อ Minor Victories กับสมาชิก Mogwai และ Editors ทั้งหมดทั้งมวล 22 ปี และได้อัลบั้มล่าสุดที่ใช้เวลาทำกันอยู่กัน 18 เดือน
อัลบั้ม Slowdive – Slowdive โปรดิวซ์โดยฟรอนท์แมนของวง Neil Halstead และมิกซ์โดย Chris Coady โปรดิวเซอร์คู่ใจของวง Beach House โดยมีเพลงในอัลบั้มทั้งหมด 8 เพลง และยาวเพียง 46 นาทีเท่านั้น! สั้นมากเมื่อเทียบกับการรอคอย แต่ก็ช่างเถอะ กลับมาทำเพลงกันก็ดีใจแล้ว เราลองมารีวิวสั้นๆ ให้สมกับที่อัลบั้มมันสั้นมากแล้วกัน
เพลงแรกของอัลบั้มเปิดด้วย Slomo ที่ไพเราะระดับแฟน Slowdive น้ำตาไหลได้ เพราะมันอัดแน่นไปด้วยลายเซ็นของวง ไดนามิกที่ค่อยไล่ระดับไปเรื่อยๆ เมโลดี้ของกีตาร์ที่ติดหู การร้องนำของ Neil และแบ็กกราวด์ด้วยเสียง Rachel การดีไซน์เสียงร้องที่ตัดสลับกัน ทั้งฮุคและท่อนบริดจ์ทำออกมาได้เก๋าและยากที่ใครจะเลียนแบบ สำหรับเรามันคือหนึ่งในแทร็กที่เพราะที่สุดของปีนี้ ต่อด้วยเพลงที่สองของอัลบั้มที่เป็นซิงเกิลแรก Star Roving เพลงเร็วและดุดัน มีความเก๋าของคนวัยสี่สิบกว่า และมีซาวด์กีตาร์ fuzz ฟุ้งๆ ทันสมัยแบบที่ทำให้นึกถึงวงรุ่นใหม่แบบ Diiv ซึ่ง Neil เอง บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงโปรดในอัลบั้ม เพราะเมื่อวงได้กลับมาเล่นสดด้วยกัน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง
แทร็กที่สาม Don’t Know Why เริ่มด้วยกีตาร์ชวนกล่อมโสตประสาทในช่วงต้นและพาไปคลี่คลายอย่างสวยงามในท่อนฮุค จากนั้นต่อด้วย Sugar for the Pill ซิงเกิลที่สอง บัลลาดที่เพราะและเนี้ยบ ความเศร้าที่ดูคลี่คลายไปตามวัย แทบจะเป็นซาวด์คลีนที่สุดเท่าที่วงเคยทำมา
No Longer Making Time ตอนเริ่มเป็นบัลลาดช้าๆ ว่าเพราะแล้ว ตอนพาไประเบิดกลางเพลงยิ่งเพราะกว่า ทำให้นึกถึงเพลงแบบ Alison ส่วนเพลงรองสุดท้าย Go Get It นับเป็นเพลงที่ดุที่สุดในอัลบั้ม ซาวด์กีตาร์เข้มๆ และ noise เยอะๆ เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด
พักดื่มน้ำแล้วต่อด้วยครึ่งหลังของอัลบั้ม Everyone Knows เพลงที่เด่นด้วยเสียงหลอนๆ ของ Rachel ซาวด์ต่างๆ ชวนนัวร์หูตลอดเพลง เพลงที่ 6 ของอัลบั้ม No Longer Making Time ตอนเริ่มเป็นบัลลาดช้าๆ ว่าเพราะแล้ว ตอนพาไประเบิดกลางเพลงยิ่งเพราะกว่า ทำให้นึกถึงเพลงแบบ Alison ส่วนเพลงรองสุดท้าย Go Get It นับเป็นเพลงที่ดุที่สุดในอัลบั้ม ซาวด์กีตาร์เข้มๆ และ noise เยอะๆ เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด
ปิดท้ายอัลบั้มด้วย Falling Ashes บัลลาดลัทธิบูชาเปียโนวนไป ถือเป็นการปิดอัลบั้มอย่างสวยงามกับเนื้อร้อง thinking about love เมื่อฟังทั้งหมดวนไปหลายๆ อัลบั้มใหม่อาจจะไม่พีคเท่าชุด Souvlaki แต่ก็ถือว่าเข้าถึงง่ายกว่า Pygmalion พอสมควร ถ้าจะมีอะไรติก็แค่มันสั้นเกินไปเนี้ยแหละ เราต้องการมากกว่านี้! ให้สมกับที่รอมานานได้มั้ย! (เดี๋ยวนะ โมโหอะไร)
ในปี 2017 สำหรับคอเพลง Shoegaze ยังไม่หมดความเดือดเพียงเท่านี้ เพราะปีนี้เหล่าศิลปินเก๋าๆ กลับมาหาเงินกันอีกสองวง เริ่มที่การกลับมาของวงตำนานคู่พี่น้องตระกูล Reid แห่งสกอตแลนด์ The Jesus and Mary Chain กับอัลบั้ม Damage and Joy ที่ห่างหายไปกว่า 19 ปี ตัวอัลบั้มลดความดิบลงไปพอสมควร แต่ก็ออกมาตามแบบฉบับวง ต่อด้วยอีกหนึ่งรุ่นใหญ่อย่าง Ride ก็ออกอัลบั้ม Weather Diaries ที่เป็นการกลับมาในรอบ 21 ปีเหมือนกัน ตัวอัลบั้มฟังดูแล้วไม่ Shoegaze จ๋าและมีซาวด์อิเล็กทรอนิกส์มาเป็นองค์ประกอบเล็กๆ อาจเพราะโปรดิวเซอร์อัลบั้มเป็นสายอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
ไม่แน่ใจว่าแฟนๆ ของวงจะมีเสียงตอบรับอย่างไรบ้าง แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็ถือว่าเป็นปีที่ดีสำหรับแฟนเพลงสายร็อกอื้ออึงที่เหล่าศิลปินรุ่นใหญ่ต่างพาเหรดขบวนออกมาหาเงินกันเรื่อยๆ ที่ยังไม่นับศิลปินรุ่นใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงแนวนี้อีก ที่ทยอยออกผลงานมากันตลอดทั้งปี ซึ่งถ้ามันจะมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง ก็ตรงที่แฟนเพลงคงไม่ได้ก้มมองดูรองเท้า แต่ต้องก้มนับเงินในกระเป๋าแทนนั่นแหละ
ผู้เขียน : Panlert ฟรีแลนซ์ graphic designer, ทำเพจ อินดี้สมัยใหม่ (Indie 10’s) และเป็นดีเจประจำให้ Dudesweet