ตั้ม—โตคิณ ฑีฆานันท์ คือบุคคลที่ผูกพันตัวเองกับดนตรีตลอดมา เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลดนตรีอย่าง Stone Free Music Festival, Keep On The Grass Folk Music Festival โปรเจคศิลปะ A part of you, A part of me หรืองาน ‘จับหูชนปาก’ ที่ล้วนเป็นพื้นที่เปิดประสบการณ์น่าสนใจสำหรับคอดนตรีบ้านเรา และไม่เพียงแต่จัดงานเอง ทำวงดนตรีเองเขาก็ทำมาแล้ว และด้วยความชอบนี้ โตคิณจึงมีเพื่อนพ้องทางดนตรีอยู่มาก ซึ่งก็มักจะชักชวนให้เขาไปทำมิวสิกวิดิโอประกอบเพลงให้อยู่เสมอ
เอ็มวีของโตคิณนั้นสไตล์จัดอย่างไร้ข้อกังขา ด้วยเอกลักษณ์คืองานภาพ Lo-fi (Low Fidelity) แบบไท้ไทยแถมบางเพลงก็ให้ฟีลย้อนยุคได้ใจ อย่างเช่น ‘แค่เพียง’ (If Only) ของ Yellow Fang ที่จับเอาวงหญิงล้วนสุดเท่มาแต่งหน้าตีกระบังรับบทจัดจ้านในละครไทยแท้ๆ แบบที่เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก
ผลงานสนุกๆ ของโตคิณ ยังมีอีกมาก เช่น D-OK ของ Summer Dress, อย่าไห้เด้ ของ Srirajah Rockers feat. Rasmee รวมถึงวงอื่นๆ อย่าง Never Blur – Stylish Nonsense, Happy Time – Selina and Sirinya, What we are – Little Fox (จีน—มหาสมุทร), By the sea – Triggs & the Longest Day (วงของเขาเอง) ฯลฯ และล่าสุดกับวง Rasmee ในเพลง ‘อารมณ์’ แถมยังมีงานที่ร่วมบันทึกสารคดีอัลบัม [ บ้าน / ป่า / เมือง / เถื่อน ] ร่วมกับ The Photo Sticker Machine ที่รันอยู่ในช่วงนี้อีกด้วย —แน่นอนว่าทุกงานที่ได้รับ เป็นเพราะทางวงต่างต้องการสไตล์แบบโตคิณ ซึ่งยากนักจะหาใครมาทำได้เหมือนหรือเสียดสีได้สนุกเท่า
ที่ผ่านมาเขาจับงานต่างๆ มาอย่างหลากหลาย ตั้งแต่ภาพนิ่ง กราฟิกดีไซน์ ภาพเคลื่อนไหว แต่ในคราวนี้เราจะคุยกับเขาในฐานะผู้กำกับมิวสิกวิดิโอโดยเฉพาะ ซึ่งใครจะรู้ว่าจุดเริ่มต้นบนเส้นทางมิวสิกวิดิโอของโตคิณ เริ่มต้นจากคืนหนึ่งที่เมามายและอยากลาออกจากงานประจำ อย่างที่เขากำลังจะบอกเล่าในบทสนทนาชิ้นนี้
Life MATTERs : ขอเริ่มต้นจากชิ้นที่เราประทับใจก่อน นั่นคือเอ็มวี ‘แค่เพียง’ ของ Yellow Fang วิธีคิดของคุณคืออะไร
โตคิณ : ตอนแรกเราคิดอีกแบบหนึ่งไว้เป็นขับรถไล่ล่ากัน แล้วทีนี้แป๋ง Yellow Fang ก็บอกว่าอยากได้อะไรที่ดราม่าหน่อย อารมณ์ว่าเขาเขียนเพลงนี้มาจากความรู้สึกงี่เง่าของผู้หญิง เราเลยคิดเสนอไปว่า งั้นทำแบบละครไทยดีมั้ย เขาก็ตกลง ซึ่งเราก็มีข้อแม้ว่า ถ้าจะทำแบบนี้ เราก็อยากให้วงมาเล่นกันเอง เพราะเราอยากฉีกความรู้สึกคนดู ที่เคยติดกับภาพลักษณ์ของ Yellow Fang ว่าเป็นวงผู้หญิงลุคเท่ๆ แบบที่ผ่านมา
Life MATTERs : สไตล์ภาพแบบ Lo-fi ของคุณ ได้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
โตคิณ : จริงๆ แล้ว สไตล์ มันน่าจะเกืดมาจากเงื่อนไข ข้อจำกัด ที่เราต้องแก้ปัญหามากกว่า เพราะเราเริ่มต้นทำเอ็มวี ให้กับวงเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักกันอยู่แล้ว ซึ่งก็มักจะเป็นวงนอกกระแส ที่ไม่ค่อยมีงบเท่าไหร่ แต่เพลงของพวกเขาน่าสนใจมาก เราก็ต้องมาคิดว่าจะทำยังไงดี ให้งานโลว์คอสต์มันน่าสนใจ โลเคชั่นไม่ดี เสื้อผ้าก็ไม่มีตังค์ซื้อ นักแสดงก็ไม่มีตังค์จ้าง ทางที่จะช่วยได้ สำหรับเราก็คือเรื่องภาพ โทน สี คือสิ่งที่เราสามารถทำมันเองได้ง่ายๆ
บวกกับเราอยากเสียดสีอะไรบางอย่างด้วย ดังนั้นในงานของเรา เวลามีอะไรที่อยากพูดอยากบอก ก็จะใส่เข้าไปในงานเลย อย่างผมรู้สึกว่าคนที่ทำงานวิดิโอหลายๆคนในยุคนี้ ชอบปรับมู้ดแอนด์โทนให้ดูอินเตอร์ แบบฝรั่ง หรืออาจจะมีเรฟเฟอเรนซ์เป็นแฟชั่นฟิล์มสวยๆ คือไม่ใช่ไม่ดีนะ ถ้าทำการบ้านมาดี ทำได้ถึง งานที่ออกมาดีก็มีเยอะ เพราะแนวพวกนี้แหล่ะ ที่จะขายได้ และมีคนจ้างมากที่สุด แต่เราก็ไม่อยากไปต่อคิวทำอะไรอย่างนั้น เพื่อเป็นตัวเลือกให้ใครไง เพราะสุดท้ายก็ต้องมาวัดกันที่ราคา ทำได้เหมือนกัน ใครทำถูกว่า ใครดังกว่าใคร อะไรอย่างนี้มันน่าเบื่อ เลยเลือกที่จะไม่ปรับภาพอะไรเลย หรือถ้าปรับก็จะปรับแบบโคตรไทย ตรงข้ามกันไปเลย งานออกไป มันก็สะท้อนตัวเรา เพราะเราคิดแบบนี้เราก็ทำแบบนี้
คือโดยส่วนตัว เราคิดว่างานวิดิโอของไทยสมัยเก่าๆ มันก็มีสไตล์ของมันนะ คือก็อปก็ดูก็อป แต่มันก็จะมีความดิบ ความไม่สมบูรณ์อยู่ ที่ฝรั่งชาติไหนก็ทำแบบเราไม่ได้ ดูแล้วมันจริงใจดี เพราะเราถ่ายที่เมืองไทย แล้วแสงแบบเนี้ย คือแสงของไทย มันก็ตรงไปตรงมาดี เราเลยรู้สึกว่าอยากทำมิวสิกวิดิโอ หรือผลงานวิดิโอที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ หรือสิ่งที่ตาเราเห็นจริงๆ
Life MATTERs : เกี่ยวมั้ยว่าเพราะเราเกิดทันยุคที่จะได้ดูทีวีที่เป็นภาพประมาณนี้ด้วย
โตคิณ : หลายอย่างก็มาจากความชอบตอนที่เราเด็กๆ เราชอบฟังเพลงแบบนี้ ชอบภาพแบบนี้ เคยดูพวกโฆษณาเก่าๆ ก็รู้สึกว่าเท่ดี ประมาณนั้น
Life MATTERs : คิดว่าภาพที่แตกต่างจากงานคนอื่นเป็นข้อได้เปรียบไหม
โตคิณ : ผมว่ามันขึ้นอยู่กับไอเดียมากกว่า เพราะตอนนี้เรามีเครื่องมือต่างๆ ที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะใช้สไตล์แบบไหน มันก็เป็นแค่เปลือก เป็นเทคนิคที่สามารถทำตามกันได้ไม่ยาก แต่ความคิดของแต่ละคนมันต่างกัน ต่อให้ใช้เทคนิคเหมือนกัน ถ้าไม่มีไอเดียทุกอย่างก็จบ
อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ ก็อาจจะเอาดาราหรือเน็ตไอดอลมาเล่นเอ็มวี แต่ผมเลือกที่จะไม่ใช้ เพราะผมคิดว่าในมิวสิกวิดิโอมันยังมีรายละเอียดอื่นๆ หรือความคิดอะไรอีกหลายอย่าง ที่น่าสนใจ มากกว่าการเอาคนหล่อคนสวย หรือฝรั่งมาเข้าเฟรม
เพราะการที่เราเอาฝรั่งหรือนายแบบ นางแบบสวยๆ มาเข้าเฟรม ใครๆก็ถ่ายให้ดูดีได้ในระดับหนึ่งแหละ ผมเลยอยากกระเทาะเปลือกเหล่านั้นออกไป ให้คนมาสนใจงานเราในแง่ที่ว่า เออ ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้วะ ทำไมเขาถึงทำเอ็มวีออกมาเป็นแบบนี้มากกว่า
Life MATTERs : เอ็มวีตัวไหนที่พบว่าเริ่มมีคนเห็นสิ่งที่เราจะสื่อชัดขึ้น
โตคิณ : ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้นะ มันก็จะมีเพลงบรรเลงของ Summer Dress ที่ชวนวงออกไปถ่ายข้างนอก คือเรามองว่าเพลงบรรเลงที่ไม่มีเนื้อร้องเนี่ย ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยถูกเปิดตามสื่อ คือไม่ค่อยมีพื้นที่ให้เพลงบรรเลงหรือเพลงที่ยาวกว่า 6 นาที เลยลองทดลองเปรียบเทียบ และตีความรู้สึกเหล่านั้น ให้ออกมาเป็นรูปธรรม คือให้วงหอบหิ้วเครื่องดนตรีไปเล่นในแต่ละพื้นที่ ดูซิว่าจะมีคนมาไล่มั้ย แล้วก็มีคนมาไล่จริงๆ
คือเราไม่แคร์นะว่าคนอื่นจะต้องเข้าใจตรงกันกับสิ่งที่เราอยากสื่อ เราแค่มีไอเดีย มีหลักคิดในการทำงานของเรา แต่เห็นมีคอมเมนท์กันเยอะในยูทูบที่น้องในวงมาเล่าให้ฟังว่า มีว่ามีคนมาด่าว่ะพี่ มีคนไปเถียงกัน ทะเลาะกันข้างในนั้น ผมไปอ่านดูก็พบว่า เฮ้ย แสดงว่างานเราได้ทำงานแล้ว ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งนะ เพราะผมก็อยากให้คนมาถกเถียงกันเรื่องนี้
Life MATTERs : มิวสิกวิดิโอมีส่วนสำคัญต่อเพลงเพลงหนึ่งอย่างไรบ้าง
โตคิณ : ผมว่ามันเป็นเหมือนภาพลักษณ์ของเพลงๆ นั้น คือเพลงบางเพลง มันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีภาพประกอบก็ได้ แต่เพลงบางเพลงก็ต้องการ การโปรโมท อยากให้มีวิดิโอประกอบ ซึ่งมันก็ส่งผลกันครึ่งต่อครึ่งเลย ทั้งความน่าสนใจของเพลง กับการตีความในมุมมองของผู้กำกับ ว่าสุดท้ายแล้วภาพลักษณ์ของเพลงนั้นๆ จะออกมาเป็นแบบไหน
สำหรับเราเอง อย่างเพลงแค่เพียงของ Yellow Fang คือเพลงมันเพราะมากเลย เราฟังเฉยๆ มันก็ดีอยู่แล้วนะ แต่แป๋งก็ชวนว่าอยากทำเอ็มวีเพลงนี้มั้ย เราก็ เอาสิ แต่ก็มานั่งคิดกันหลายตลบว่าจะทำยังไงให้ดูเวิร์ก คิดไปคิดมาก็ออกมาอย่างที่เห็นแหละ
Life MATTERs : คุยกับนักดนตรีเยอะแค่ไหน ในการไปทำเอ็มวีให้เขา
โตคิณ : แต่ละเพลงก็มีเงื่อนไขกันคนละแบบ อย่างเพลง อย่าไห้เด้ ของศรีราชาร็อกเกอร์ วินก็มาชวนว่า Rasmee จะมาเล่นคอนเสิร์ตเปิดอัลบัมกับวง ซึ่งจะไปพักอยู่ที่แพริมน้ำหนึ่งคืน ช่วยคิดเอ็มวีให้หน่อย เงื่อนไขคือเขาจะอยู่ที่นั่นแค่คืนเดียว เราจะถ่ายอะไรดี ก็อาจจะคุยกันมากหน่อย แต่อย่างSummer Dress เพลง D-OK ก็ไม่ได้คุยอะไรมาก เพราะวงแค่อยากให้เราทำ ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร จริงๆวงส่งอีกเพลงนึง มาให้ฟังด้วยซ้ำ ชื่อเพลง The Beatles Fever แล้วบังเอิญเราได้ไปฟังวงตอนซ้อมได้ยินเพลง D-OK ก็ชอบ เลยบอกว่าอยากทำเพลงนี้
Life MATTERs : แบบไหนที่สนุกกว่ากันระหว่างการมีเงื่อนไขชัดเจน กับปล่อยอิสระเต็มที่เลย
โตคิณ : สนุกคนละแบบครับ ถ้ามีเงื่อนไข มันก็สนุกในแง่ว่ามันมีโจทย์ให้เราได้คิด
Life MATTERs : ตอนนี้ทำมิวสิกวิดิโอเป็นอาชีพหลักเลยไหม
โตคิณ : ไม่ใช่ครับ อาชีพหลักของผมตอนนี้คือช่วยที่บ้านขายน้ำมันเครื่อง เพราะมันเป็นกิจการของที่บ้าน แล้วเราก็เป็นคนที่สมมติเราชอบทำหนัง เราก็จะเลือกที่จะไม่รับงานแมสหรืออะไรก็ตามที่เราไม่อยากทำ เพราะการทำหนังสำหรับเรามันต้องใช้พลังงานมาก ในการคิด ถ่าย ออกกอง ตัดต่อ คือเรามองว่ามัน เป็นงานฝีมือนะ ไม่ใช่งานที่ผลิตออกไปได้อย่างปลากระป๋อง ซึ่งถ้าต้องทำงานเหนื่อยขนาดนั้น เพื่อให้งานออกมาเป็นแบบที่คนอื่นต้องการ ผมรู้สึกว่ามันเหนื่อยเกินไป มันหมดไฟในการจะทำสิ่งที่เรารัก ทำงานของเราเอง เราอยากแยกไปเลย คือไปขายก๋วยเตี๋ยวก็ได้ อะไรก็ได้ ได้ตังค์ง่ายกว่าด้วย แต่สิ่งที่กูชอบ กูต้องได้ทำในแบบที่กูต้องการ
Life MATTERs : เคยคิดอยากทำงานกำกับวิดิโอเป็นงานประจำไหม
โตคิณ : เราก็เคยคิด แต่การที่มันจะเป็นงานประจำได้ แสดงว่าคนเขายอมรับคุณ แล้วอยากให้คุณไปทำสิ่งนั้นจริงๆ เขาจ้างเราเพราะเห็นว่าผลงานเราน่าสนใจแล้วให้ทุนทำจริงจัง ถ้าแบบนั้นผมอยากทำ แต่ไม่ใช่ว่ามาจ้างเราเพื่อให้เราทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ มันไม่เหมือนกันนะ
เพราะเราเองก็ไม่ได้มีทักษะหรือสกิลที่จะทำได้ตามแบบที่คนอื่นต้องการเป๊ะๆ ขนาดนั้น สมมติถ้าเทียบกับดนตรี เราเล่นกีต้าร์เป็นอยู่สี่ห้าคอร์ด แต่ถ้าเขาจะจ้างเราไปทำงานแมส เราอาจจะต้องเล่นเป็นทั้งหมดทุกคอร์ดทุกสเกล เพื่อจะทำงานให้เขาได้ ซึ่งเราอยากให้เขามาจ้างเพราะเราเล่นเป็นแค่สี่ห้าคอร์ดนี่แหละ แต่เห็นว่าคอมโพสต์เราสวยดี ชอบวิธีคิดของเรา ซึ่งถ้าสามารถทำงานแบบนี้เป็นงานหลักได้ ก็จะดีมาก
ซึ่งเราคิดว่าเรื่องนี้ปล่อยให้มันเป็นไปเองดีกว่า ไม่ได้อยากไปกำหนดมัน ถ้าเรายังใช้งานนี้เลี้ยงชีพไม่ได้ เราก็ไม่ต้องไปซีเรียสให้มันจะต้องเลี้ยงชีพเราได้ขนาดนั้น ในเมื่อเซ้นท์ของเรามันไม่ถูกจริตคนอื่นๆ ตามความคิดของผมนะ เราก็ทำงานอื่นๆ ที่พอเลี้ยงชีพเราได้ แล้วมีเวลามาทำงานในแบบที่เราอยากทำจริงๆ เราคิดว่ามันมีแรงผลักดันมากกว่า เราก็จะมีหัวสมองโล่งๆ ไว้ลุยกับมันได้เต็มที่
Life MATTERs : ย้อนกลับไป เอ็มวีแรกที่กำกับคือเพลงอะไร
โตคิณ : เป็นเอ็มวีของวง Basement Tape ชื่อเพลง Circles ตอนนั้นผมทำงานอยู่โปรดักชั่นเฮ้าส์โฆษณาแห่งหนึ่ง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ คือตอนที่เพิ่งเรียนจบ เราก็คิดว่าเราอยากทำงานหนัง อยากเป็นผู้กำกับโฆษณา ก็เลยลองไปสมัคร แต่พอทำงานจริงๆ งานผู้ช่วยผู้กำกับกับงานผู้กำกับมันค่อนข้างจะแตกต่างกัน ถึงแม้ชื่อจะใกล้กันก็ตาม
งานผู้ช่วยจะเป็นเรื่องของการจัดการ การสื่อสารกับผู้กำกับแล้วก็บอกทีมงานทุกคนให้เก็ตด้วย ซึ่งมันก็เป็นงานที่ค่อนข้างยากถ้าเทียบกับนิสัยของผมเอง แต่ก็ทำไปเป็นปีเหมือนกัน
ตอนแรกก็เครียดมากเลย ทำไงดีวะ ความฝันนี้เราก็อยากเป็นนะ แต่เส้นทางที่เราต้องเจอมันไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ เราทนมาเป็นปีแล้ว ก็เลยชวนเพื่อนไปนั่งกินเหล้าใกล้ๆออฟฟิศ พอดีก็ไปร้านของพี่ข่อย มือกลองวง Armchair คนแรก
ระหว่างที่นั่งดื่มก็มีเพลงที่เราชอบลอยขึ้นมา พอหันไปดูว่าใครเป็นคนเปิดเพลง ก็เป็นพี่ป๊อก Stylish Nonsense ซึ่งผมเคยเจอเคยคุย รู้จักอยู่ก่อนบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยติดต่อ ไม่มีเบอร์กัน วันนั้นก็เลยไปคุยกับพี่เขา ก็ไปบ่นให้เขาฟังว่าเบื่องาน อยากออกจากงาน พี่ทำเพลงอะไรอยู่ ผมอยากทำมิวสิกวิดิโอ พี่ป็อกก็บอกว่าตอนนี้พี่ทำวง Basement Tape อยู่น่าจะมีงบนะ มาทำไหม
ผมก็ตอบรับทันที อีกสองวันพอโทรไป ปรากฎว่าพี่เขาออกจากวงแล้ว (หัวเราะ) ให้ไปคุยกับสมาชิกอีกสองคนแล้วกัน เขาพูดแบบชิลล์มาก เราก็งงๆ แต่พอโทรไปคุยกับสมาชิกที่เหลือ เขาก็บอกว่าเราอยากทำเพลงอะไรก็ทำเลย เราก็เลยเลือกเพลง Circles ที่เราฟังแล้วชอบ ก็เลยได้ทำเพลงนี้เป็นตัวแรก
เนื้อหาของเพลงเป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่เมาๆ เดินกลับบ้านแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มู้ดรวมๆ ของเพลงมันทำให้ผมนึกถึงวันที่อยู่ร้านเหล้าแล้วไปเจอกับพี่ป๊อก เลยคิดว่าอยากลองถ่ายเป็นแบบลองเทค ให้คนมาซ้อมนอนเรียงต่อๆ กันไปเรื่อยๆ ในร้านเหล้า จนจบเพลง
Life MATTERs : พอบางเรื่องที่เล่ามาจากประสบการณ์ส่วนตัวมากๆ มีความกังวลว่าคนจะไม่เก็ตกับเราไหม
โตคิณ : เอาจริงๆ เราไม่ได้แคร์คนที่เข้ามาดูงานมาก เท่ากับว่าเราชอบงานของตัวเราแล้วหรือยัง เราได้ทำดีที่สุดแล้วใช่มั้ย ถ้าเราชอบแล้วอ่ะ ทุกอย่างมันก็จบ เพราะผลงานมันก็จะไปของมันเองแหละ คนดูเขาก็ต้องตีความตามความรู้สึกของเขานั่นแหละ
สมมติเราคิดกับเพลงนี้แบบนี้แล้วทำเพลงออกมา เราก็ไม่ได้คิดว่าถ้าคนอื่นที่ฟังเพลงนี้ แล้วคิดแบบอื่นจะผิด มันก็เป็นประสบการณ์ของเขาไง บางคนฟังแล้วก็อาจจะชอบ แต่บางคนก็อาจจะบอกว่าไม่เห็นมีอะไรเลย มันก็ได้
Life MATTERs : ในขณะที่บางคนก็จะใช้การวางแผนเลยว่าจะคุยกับคนกลุ่มไหน อะไรยังไง
โตคิณ : ไม่ใช่วิธีที่เราทำ เรามองว่ามันเป็นศิลปะ มันคืองานชิ้นหนึ่งที่ผลิตออกไปจากตัวเรา งานทุกชิ้นก็เป็นเหมือนลูกเรานั่นแหละ ก็เลี้ยงมาแบบนี้ มันก็อาจจะคิด พูดในแบบของเรา แต่ก็มีบางอันนะ ที่กลับไปดูแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบ แต่มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
Life MATTERs : บรรยากาศในกองถ่ายคุณเป็นยังไงบ้าง
โตคิณ : แรกๆ ก็น่าจะทำกับเพื่อนไม่เกินสองสามคนนี่แหละ เราเป็นกองเล็กมาตลอด เราทำเอ็มวีมาประมาณ 18-19 ตัวแล้ว ก็น่าจะสักตัวที่ 10 อะไรประมาณนี้ที่เริ่มมีคนอยากมาช่วย ส่งพอร์ทเข้ามา แต่หลายครั้งที่ต้องปฏิเสธเขาไปเพราะเราไม่มีงบหรือค่าเดินทางอะไรให้เขาเลย เราก็เกรงใจ ไม่อยากให้ใครมาเหนื่อยฟรี แต่ถ้าเกิดมีงบ เราก็พยายามจะแชร์ให้กับทุกๆคนในทีม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เรื่องงบนี่สำคัญนะ สำหรับเมืองไทย มิวสิกวิดิโอยังไม่ค่อยมีใครเห็นความสำคัญ คือถ้าเทียบกับต่างประเทศ ยิ่งยุคก่อนๆ หรือยุค 90s ขนาดเป็นวงอินดี้ก็ยังลงทุนกับมิวสิกวิดิโอกันมาก สังคมก็ให้ความสำคัญ มีการประกาศรางวัล มีมิวสิกวิดิโออวอร์ดทุกปี เราเลยพบว่ามีผู้กำกับเก่งๆ เกิดขึ้นในยุคนั้นเพียบเลย ซึ่งจริงๆ มันก็อาจจะมีทุกยุคแหละ แต่บางยุคมันไม่มีใครที่จัดงาน หรือรวบรวมข้อมูล ผู้กำกับมิวสิกวิดิโอของไทย ให้คนได้รู้จักไง มั้งนะ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ)
เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคุณมีเงินลงทุนไปทำแอดฯ โฆษณาสามสิบวินาทีเป็นล้านๆ แต่มีตังค์ให้ทำมิวสิกวิดิโอแค่หมื่นห้า หรือแปดพันบาท ทั้งที่มันก็คือการโฆษณาเหมือนกัน แล้วตัวเราเองก็อยากทำให้มันออกมาดี แต่บางทีพอรู้งบแล้วก็ เฮ้อ.. กูจะทำยังไงดีวะ
Life MATTERs : การพาตัวเองไปทำงานกับคนที่หลากหลาย ให้อะไรกับคุณบ้าง
โตคิณ : เราคิดว่าการได้ร่วมงานกับคนอื่นๆบ้าง ที่ไม่ใช่เพื่อนหรือกลุ่มของตัวเอง เป็นเรื่องที่ดีมากๆ มันเหมือนได้ออกไปเจอโลกจริงๆ ไม่ได้อยู่แต่ในsave zone คือเพื่อนกันบางทีก็อวยกันเองมากไป จนบางทีก็ไม่รู้ว่าอะไรดีจริง อะไรไม่ดีจริง แล้วของพวกนี้พอติดแล้ว จะออกจากกลุ่มไม่ได้เลยนะ เวลาไปไหนคนเดียวจะรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกทันที ซึ่งผมว่าไม่ดีนะ จริงๆการได้เจอหรือได้พูดคุยกับคนต่างกลุ่มบ้าง เป็นเรื่องที่ดี ทำให้เราพัฒนาได้ความรู้อะไรใหม่ๆ แต่บางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับเราเองด้วยว่า อะไรที่เราอยากรู้ เราก็ควรกล้าที่จะถามเขาไป อย่างบางคน แม้กระทั่งตัวเราเองเมื่อก่อน เราก็เขินที่จะถาม เขาให้ถามก็ไม่ถาม ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรดีกับเราเลย เราเหมือนๆ จะเก่งนะที่ไม่มีคำถามอะไร แต่สุดท้ายก็โง่อยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ มันคืออะไรยังไง
Life MATTERs : เคยคิดอยากทำเอ็มวีให้วงดนตรีที่ไม่ใช่วงเพื่อนหรือเปล่า
โตคิน : ไม่จำเป็นต้องเป็นวงเพื่อนก็ได้ แต่หลายๆครั้ง คนที่ชวนเราทำก็จะเป็นคนที่เราเคยเจอ เคยคุยกันมาบ้างแล้ว แค่นั้นเอง แต่ผมก็แอบมีความเรื่องมากตรงที่เราอยากทำให้วงที่เพลงดี หรือเพลงที่เราชอบจริงๆ ซึ่งคำว่าเพลงดีนี่พูดยาก แต่ละคนก็รสนิยมไม่เหมือนกัน
เพราะผมคิดว่ามันก็เป็นบทบาทอย่างหนึ่งของเราเหมือนกัน ในการเลือกที่จะรับงาน ก็เหมือนกับนักแสดงนั้นแหล่ะที่เลือกว่าจะเล่นบทนี้หรือเปล่า มันก็เพื่อให้คนเห็นภาพเราชัดขึ้น
ติดตามเราในแบบที่เราได้เลือกแล้วนั่นแหละ
Life MATTERs : มีมิวสิกวิดิโอที่เปลี่ยนชีวิตคุณไหม
โตคิน : เยอะนะ เท่าที่นึกออกตอนนี้คือ Praise You ของ Fatboy Slim กำกับโดยSpike Jonze คือเราก็ไม่ได้เป็นแฟนเพลงเขาขนาดนั้น แต่เราโตมาในยุคที่มีเอ็มวีนี้พอดี ซึ่งมันก็ฉีกความคาดหวังของเรา อย่างหมดจด และทำให้เราเข้าใจว่า…
คุณไม่จำเป็นต้องมีกล้องแพงๆ หรืออุปกรณ์ที่อลังการ ในการสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยม สมอง และทัศนคติที่ดีต่างหากล่ะที่จำเป็น
photo by childsholiday
ติดตามผลงานของโตคิณได้ที่ tokinteekanun.com