ไม่บ่อยนัก ที่เราจะเห็นผู้หญิงเปลือยอกในอินสตาแกรม แม้ในฐานะงานอาร์ตก็ตาม ยิ่งเป็นหญิงสาวชาวไทยแล้ว น่าจะเห็นได้ยากกว่า ขณะที่เราเห็นหัวนมชายหนุ่มกันเป็นเรื่องปกติ แต่แล้วก็มีคนไทยเริ่มทำสิ่งนั้น—ถ่ายทอดภาพผู้หญิงถอดเสื้อโดยเปี่ยมความเป็นตัวเอง หลังจากกดเข้าไปดูต้นตอก็พบแอคเคาท์ชื่อ I wanna Bangkok ที่เรียกตัวเองว่า ‘a naughty campaign promoting Bangkok and it’s current energy.’
น่าสนใจที่ว่า—พวกเขาต้องการโปรโมทกรุงกรุงเทพฯ ด้วยพลังงานของคนรุ่นใหม่ภายใต้แท็กไลน์ youthofBangkok ที่ทำให้เราได้เห็นมนุษย์วัยรุ่นในกรุงเทพฯ ในแบบที่พวกเขาเป็นกันจริงๆ
I Wanna Bangkok เริ่มต้นขึ้นโดย บีม—อดิศักดิ์ จิราศักดิ์เกษม อดีตเมนส์แวร์ดีไซเนอร์ที่ Greyhound ตามเข้ามาสมทบด้วย กอล์ฟ—ศุภกร บัวเรือน บัณฑิตแฟชั่นดีไซน์จาก มศว เจ้าของโปรเจกต์จบสุดฮือฮาที่เดินเปลือยบนรันเวย์
และในบทสนทนานี้ พวกเขาก็กำลังจะเล่าเรื่องของโปรเจกต์ให้เรารู้สึกสนุกกับกรุงเทพฯได้มากขึ้น ซึ่งหลายคนอาจกำลังสงสัยว่าพวกเขาทำงานกันแบบไหน อย่ารอช้า ไปอ่านกัน
Life MATTERs : จุดเริ่มต้น I wanna Bangkok คืออะไร
บีม : คือหลังจากเราออกจากงานประจำ ก็ออกไปทำงานศิลปะกับเพื่อนที่ฝรั่งเศสประมาณเกือบสองปี ซึ่งเราชอบฝรั่งเศสมาก มันเป็นแรงบันดาลใจให้เรากลับมาทำที่กรุงเทพฯ ทุกครั้งที่เห็นอะไรเจ๋งๆ ที่นั่นก็จะนึกถึงกรุงเทพฯ ตลอด อยากให้ที่นี่มีบ้าง ก็เลยตัดสินใจกลับมาทำ
ซึ่งก่อนจะมาเป็นแบบนี้ ตอนแรกเราอยากให้ I wanna bangkok เป็นเหมือน I <3 NY ของนิวยอร์ก แต่เราก็รู้ว่าโลโก้เราในตอนนั้นยังไม่โอเค คือมันก็ขายอยู่นะ แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่ใช่ เราก็ทำมาเรื่อยๆ แล้วรีแบรนด์อีกครั้ง โดยเปลี่ยนโปรเจคต์นี้เป็นคาแรคเตอร์ดีไซน์ เราสร้างคาแรคเตอร์ตัวหนึ่งมาเป็นตัวเอกของเรื่องนี้
ปีหนึ่งผ่านไปมันก็ยังไม่เวิร์ก เลยเปลี่ยนกลับมาในจุดแรก คือทำให้คล้าย I <3 NY ก็เปลี่ยนโลโก้ให้ดูเท่ขึ้น แล้วเราก็ไม่อยากให้มันแค่เป็นคำพูดลอยๆ แต่อยากให้มีศิลปะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เลยเริ่มทำกราฟิตี้ ช่วงนั้นเจอกอล์ฟพอดี ก็เลยมีกอล์ฟมาช่วย ทีนี้เราอยากเอาคอนเซปต์ของการทำงานร่วมกันกับศิลปินหรือคนอื่นๆ เข้ามาใช้ด้วย
Life MATTERs : สิ่งที่คุณเริ่มทำขึ้นมาคืออะไร
บีม : เราไม่อยากเจาะจงว่าเราเป็นร้านขายของฝากหรือแบรนด์เสื้อผ้า คือเราก็มีขายแหละ เพราะมันก็ต้องใช้เงิน แต่แนวคิดคือเราแค่อยากทำอะไรก็ได้ที่มันใหม่แล้วก็สนุก เราโปรโมทกรุงเทพฯ ในแนวใหม่ ไม่ใช่แค่บอกว่าเรามีวัดวาอารามนะ เรายังมีแง่มุมอื่นๆ ด้วย เรามีประชากรแบบนี้อาศัยอยู่ ที่ร่วมกันทำสิ่งนี้
ซึ่งหลังจากบอมถนน ทำงานกราฟิตี้แล้ว ต่อมาเราก็ไปบอมเสื้อผ้ามือสอง มันคือการโปรโมทบนเสื้อผ้า แล้วอีกงานเราก็ทำร่วมกับแกลเลอรี่ ‘อยู่บ้าน’ ตรงสี่พระยา ภายในสามเดือนนั้นพวกเราเป็น creator เราทำนิทรรศการขึ้นมาสองอัน นั่นก็คือ Threesome กับ Orgy ก็คือดูทะลึ่งหน่อยแหละให้คนสนใจ แต่จริงๆ อย่างทรีซั่มมันก็คือคอนเซปต์ของศิลปิน 3 คนมาทำงานร่วมกัน หนึ่งในนั้นคือ I wanna Bangkok ส่วน Orgy จะมีศิลปินเกือบ 30 คน มาทำนิทรรศการร่วมกัน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราทำ เพื่อทำให้กรุงเทพฯ สนุกขึ้น
Life MATTERs : ชื่อ I wanna Bangkok มาจากอะไร
บีม : ตอนเรียนที่ยุโรปผมได้ไปปาร์ตี้หนึ่งที่เบอร์ลิน แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ดูมึนๆ จากคืนที่แล้ว เขาก็พยายามเข้าไปหาผู้ชายหรือเกย์ในงาน เขาก็มาถามผมว่ามาจากไหน ผมตอบว่า Bangkok เขาก็บอกว่า I wanna bang-cock (หัวเราะ) ประมาณนี้ ตอนแรกมันก็เป็นโจ๊กของผมกับเพื่อนแหละ พอเรากลับมาไทย ก็อยากเอาคำนี้มาเป็นคอนเซปต์ในการทำงาน คือมันมาจากมุกทะลึ่ง แต่เราไม่ได้อยากสื่อให้มันทะลึ่งอย่างเดียวนะ คือคุณอยากตีความทางไหนอะไรก็ได้แหละ
ตอนนี้เรามองว่า I wanna Bangkok เป็นพื้นที่ เป็นแคตตาล็อกของเด็กวัยรุ่นกรุงเทพฯ ก็จะเป็นเด็กที่เกิดปี 90 เป็นต้นไป เราจะถ่ายวิดิโอที่ให้เขาเป็นตัวของตัวเองในนั้น ตอนถ่ายก็บอกเขาเลยว่าเป็นคนแบบไหนก็ทำตัวแบบนั้น
ผมอยากให้นี่เป็นอีกเสียงหนึ่งที่พูดถึงความเท่าเทียมของทุกๆ อย่าง ทั้งเรื่องเพศ เรื่องต่างๆ ในไอจีเราก็จะเห็นรูปผู้หญิงเปิดหน้าอก ซึ่งน้องคนนั้นเขาเป็นคนมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ผมชวนเขามาทำเขาก็โอเค สุดท้ายก็โดนไอจีลบอยู่ดี ผมเอาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งโดยก็ต้องเซ็นเซอร์
แต่สิ่งที่อยากบอกคือผู้หญิงก็น่าจะเปิดหน้าอกได้สิ ถ้าเขามั่นใจจะทำอย่างนั้น เหมือนผู้ชายเองบางคนก็ไม่ได้มั่นใจที่จะเปิด เขาก็ไม่เปิด มันไม่น่าจะเป็นเรื่องของเพศไหน แต่อยู่ที่ความมั่นใจมากกว่า ซึ่งเราไม่ได้ทำอะไรที่มันโป๊นะ คือมันมีเหตุผลของมัน เพราะเราก็อยากเรียกร้องบางอย่าง
Life MATTERs : มองว่ากรุงเทพฯ มีพื้นที่สำหรับเสรีภาพมากพอหรือยัง?
บีม : ตอนนี้มันก็มีมากขึ้นนะครับ แต่ก็อาจจะไม่ได้เท่าประเทศทางตะวันตก บ้านเราอาจจะค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ เราเองก็กำลังเดินไปสู่ความสวยงามที่เราเห็น ค่อยๆ ทำทีละนิด คนเห็นก็อาจจะเริ่มชิน มันยังมีอะไรหลายอย่างที่คนไทยยังปิดกั้น ซึ่งเราเองก็ไม่ได้เห็นด้วย
Life MATTERs : รสนิยมสำคัญไหม กับการมองว่าสิ่งนี้โป๊หรืออาร์ต
บีม : มันเลือกไม่ได้นะ บางคนไม่ได้มีเทสต์แบบที่หลายคนจะชอบ จริงๆ รสนิยมอาจไม่น่าจะเป็นส่วนสำคัญขนาดนั้น ผมว่าเราใช้คำว่าความตั้งใจ และกาลเทศะมากกว่า อย่างน้องที่เขาเปิดนมเราก็ไม่ได้ถ่ายในที่โจ่งแจ้ง เราก็ใช้พื้นที่ส่วนตัว แต่ในอุดมคติแล้วเราคิดว่าถ้าผู้หญิงสามารถทำโจ่งแจ้งได้แบบผู้ชาย มันก็จะดีกว่าหรือเปล่า ทำไมร่างกายผู้หญิงต้องมีปัญหากว่าร่างกายของผู้ชาย
Life MATTERs : ยากมั้ยในการชูประเด็นความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทย
บีม : น่าจะยากอยู่นะ ทั้งที่เมื่อก่อนผู้หญิงไทยก็เปิดนมกันเป็นปกติ มันกลายเป็นมีวัฒนธรรมฝรั่งที่เราเอามาใช้ แล้วก็ใช้ไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นความคิดว่าผู้หญิงไทยต้องเป็นกุลสตรีที่เรียบร้อย ทั้งที่ผู้หญิงทุกคนไม่เห็นจำเป็นต้องเรียบร้อยนี่
Life MATTERs : เมื่อทำงานกับเด็กปี 90 เป็นต้นไปแล้ว I wanna Bangkok คุยกับคนที่แก่กว่านั้นด้วยไหม เช่นเรื่องเพศที่อยากจะสื่อ?
บีม : เราคุยกับคนที่เกิดก่อนปี 90 แล้วก็คนรุ่นใหม่กว่านั้นด้วย แต่หลักๆ เราโฟกัสที่เด็กรุ่นใหม่ เพราะคนที่แก่กว่านั้นอาจจะเปลี่ยนความคิดยากแล้ว เราอยากให้เด็กปี 90 สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กปี 2000 แล้วส่งต่อกันไปเรื่อยๆ คือมองไปในอนาคตมากกว่า
Life MATTERs : เด็กรุ่นใหม่มีทัศนคติที่ไปในทางเดียวกับ I wanna Bangkok มากน้อยแค่ไหน
บีม : ส่วนมากจะเข้าใจกัน คุยกันรู้เรื่องมากๆ เหมือนบีมเองเกิดปี 1991 เราก็ได้เคยทำงานกับคนที่รุ่นโตกว่า แล้วก็เด็กกว่า เราพบว่าโอเคเด็กรุ่นนี้เปิดกว้างมาก เขาก็มีวัฒนธรรมของเขา ก็ดีใจที่รุ่นน้องๆ กล้าที่จะทำอะไรของตัวเองกันมากขึ้น กอล์ฟเองหรือเพื่อนๆ เขาก็ทำให้เราเห็นภาพแบบนั้น
Life MATTERs : การทำงานกับคนรักมีส่วนยากหรือง่ายยังไงบ้าง
บีม : สำหรับเรามันไม่ยากนะ เพราะเราเข้าใจกัน เรามีเทสต์เดียวกัน แล้วก็มีความแรงเบอร์เดียวกัน เพื่อนๆ ก็จะชอบทักว่าพวกมึงไม่ห้ามกันเลย (หัวเราะ) แต่พวกเราไม่ค่อยกลัวการโดนด่านะ อย่างตอนที่เราลงรูปน้องผู้หญิงที่ถอดเสื้อเพื่อนรุ่นบีม (เกิดปี 1991) ก็จะมีบางคนที่บอกว่ามึงกล้ามากนะ ทั้งที่เรามองว่ามันควรเป็นเรื่องปกตินะ ในขณะที่เพื่อนรุ่นกอล์ฟ (เกิดปี 1994) ก็จะชอบกัน หรือเรื่องกราฟิตี้เอง เพื่อนบีมก็บอกว่าเดี๋ยวก็โดนจับหรอก ขณะที่เพื่อนกอล์ฟจะเข้าใจ อันนี้ก็แปลกดี
Life MATTERs : ทั้งที่อายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี ทำไมดูเหมือนเป็นคนละเจนกันเลย
บีม : ไม่รู้นะ อันนี้คือเพื่อนผมกับเพื่อนกอล์ฟ ผมรู้สึกอย่างงั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันที่ความคิดต่างกัน ผมคิดว่าใน 3 ปีที่ห่างกัน อะไรคงเปลี่ยนไปเยอะมั้ง อย่างเด็กรุ่นกอล์ฟก็จะลุกขึ้นมาทำอะไรกันเยอะมาก
กอล์ฟ : ซึ่งเราว่ามันสนุกนะ เวลาเห็นเพื่อนลุกขึ้นมาทำอะไร เราก็อยากสนับสนุน หรืออยากชวนเขามาทำด้วยกัน เราอยากให้มีการฟื้นฟูศิลปะอะไรบางอย่างในกรุงเทพฯ เรารู้สึกว่าเด็กไทยส่วนมากจะคิดว่า อยากไปเรียนต่อ อยากไปอยู่ต่างประเทศ แต่สุดท้ายแล้วเราว่าไปอยู่ต่างประเทศก็คงไม่อุ่นใจเท่าอยู่ไทยหรอก แล้วทำไมเราไม่พยายามเพาะเมล็ดอะไรบางอย่าง ให้เราอยากอยู่ที่นี่ต่อล่ะ ไม่รู้นะว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เราเองอยากเป็นเสียงหนึ่งที่ชวนให้คนมาเริ่มต้น
บีม : เราอยากให้คนรุ่นใหม่ proud of Bangkok บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบกรุงเทพฯ อยากย้ายไปอยู่ที่โน่นที่นี่ นั่นแหละ เราเลยอยากให้เด็กรุ่นใหม่รักที่นี่มากขึ้น มีอะไรที่น่าสนใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ คือไม่ได้บอกว่าคัลเจอร์เก่าๆ ที่มีอยู่มันไม่ดีนะ แต่คิดว่าควรจะมีอะไรที่ใหม่กว่านี้เข้ามาบ้าง
Life MATTERs : สำหรับพวกคุณ เสน่ห์ที่สำคัญของกรุงเทพฯคืออะไร
บีม : สำหรับผม กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความหลากหลายมากนะ เพียงแต่เราต้องโชว์มันให้คนเห็นมากกว่านี้ ตอนนี้ผมก็อยากอยู่กรุงเทพฯ มากกว่าเดิมนะ มันสนุกขึ้นแล้ว แล้วก็น่าจะยิ่งสนุกมากขึ้นอีกแน่ๆ
กอล์ฟ : อาจเพราะเราเกิดที่นี่ เลยรู้สึกว่ากรุงเทพฯอยู่แล้วอุ่นใจสุด คือที่อื่นก็สวยนะ แต่ไม่อุ่นใจเท่า ผมว่ากรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ผสมผสานวัฒนธรรมเก่ากับใหม่ คนไทยรับวัฒนธรรมคนอื่นเข้ามาแล้วกลืนเป็นของตัวเองได้น่าสนใจมากๆ เราชอบความชิคของเมืองไทย ชอบคำว่าไทยสไตล์ที่มันจะมีภาพของมัน ที่มันดูป๊อปมากๆ แล้วถ้าเราสิ่งใหม่ๆ เข้ามาอีกก็น่าจะดีมากๆ
บีม : แต่บางคนก็อาจจะยังไม่เห็นภาพนี้นะ
Life MATTERs : ชอบที่ไหนในกรุงเทพฯ มากที่สุด
บีม : ชอบแถมวัดพระแก้ว ชอบรับพลังจากของเก่า หรือไปตรงรอบๆ วัดโพธิ์ก็ยังมีสถาปัตยกรรมของจีนหรืออื่นๆ แวดล้อมอยู่ คือเมืองไทยมัน diverse มาตั้งนานแล้ว เหมือนเรารับวัฒนธรรมอื่นๆ มาเป็นของตัวเองอยู่ตลอด
กอล์ฟ : ส่วนใหญ่ก็ชอบโซนๆ นั้นเหมือนกันแหละ คือมันตลกดี สมมติเราขับรถผ่านแถวนั้นก็จะมีผู้ชายขายตัวบ้าง ใกล้ๆ กันมีวัดวาอาราม มีวัง มีเซเว่น มีตึกโรงพยาบาลอีกฝั่งแม่น้ำ มันคอนทราสต์กันอยู่ ไปเดินเล่นก็ชิลล์ น่ารักดีนะ
Life MATTERs : ตอนนี้คุณเลือกชวนคนมาทำงานด้วยกันยังไงบ้าง
บีม : แต่เราเริ่มจากคนที่รู้จักใกล้ๆ กันก่อน คนที่มีสไตล์ที่น่าสนใจอะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็จะดูจากในไอจีเขา มีใครที่น่าสนใจก็ชวนมาทำงานด้วยกัน
Life MATTERs : คุณมองว่าอินสตาแกรมเป็นพื้นที่ที่ถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ของคนได้ดีทีเดียว?
บีม : ระดับหนึ่งนะ เราว่ามันก็เหมือนเสื้อผ้าที่เราใส่ อย่างไอจีของเราเอง ก็อยากเป็นที่ที่ ถ้าคนอยากหาคนไปทำอะไรใหม่ๆ ก็สามารถมาดูตรงนี้ได้ อย่างที่บอกว่าตอนแรกเราก็ทำตัวเป็นแคตตาล็อกวัยรุ่น แล้วเราก็ไม่ได้มองแค่วงการครีเอทีฟอย่างเดียวนะ แค่เราเริ่มจากตรงนี้ อย่างเด็กนายร้อยอะไรแบบนี้ก็มี เราก็ชวนมาทำ อยากให้มีคนหลายๆ แบบครับ
Life MATTERs : อยากร่วมงานกับคนแบบไหนเป็นพิเศษ
กอล์ฟ : เราไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นคนแบบไหนขนาดนั้น คือเราอยากสนับสนุนเด็กรุ่นใหม่ แค่นี้แหละ เอาจริง ถ้าอยากทำอะไรเราก็ร่วมด้วย เราชอบอะไรแปลกๆ อยู่แล้ว
Life MATTERs : คิดว่าเด็กรุ่นต่อๆ ไปจากนี้ จะทำให้กรุงเทพฯ สนุกขึ้นได้ไหม
กอล์ฟ : เท่าที่เคยเป็นพี่ติวมา พบว่าเด็กรุ่นใหม่กว่ากอล์ฟก็ยังต้องรอให้เราป้อนอยู่ตลอดนะ คือเขามีข้อมูลรอบตัวเยอะมาก แต่บางคนไม่รู้จะหยิบอะไร เราอยากเป็นแรงผลักดันให้รุ่นน้องอยากเจ๋ง แล้วเขาจะคิดโปรเจกต์หรือผลักดันอะไรขึ้นมา พอเป็นอุปปาทานหมู่ที่ทุกคนทำพร้อมๆ กัน ประเทศชาติมันก็จะเจ๋ง เป็นความคิดตลกๆ ของเราเองนะ (หัวเราะ)