หนึ่งในอนิเมชั่นในวัยเด็กของใครหลายคน กำลังกลับมาโลดแล่นบนจออีกครั้ง กับ โดราเอมอนเดอะมูฟวี่: เรื่องราวในโลกภาพวาดของโนบิตะ (2025) ซึ่งพร้อมพาผู้ชมเดินทางสู่โลกแห่งภาพวาด โดยมีฉากหลังเป็นยุโรปยุคกลาง เกิดเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ที่ทั้งสนุกและยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมาแน่นอน
ไหนๆ โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ภาคนี้ ก็กำลังจะพาแฟนการ์ตูนเดินทางไปสู่ยุโรปสมัยยุคกลางกัน เราจึงขอใช้โอกาสนี้ พาทุกคนไปรู้จักยุคสมัยที่หลายคนขนานนามว่ายุคมืดนี้กันเสียหน่อย เชื่อว่าเมื่อพูดถึงยุคกลาง (Medieval Age) หลายคนก็คงนึกถึงยุคสมัยที่ยุโรปถูกครอบงำด้วยศาสนจักร และอาจเรียกได้ว่าศาสนามีอิทธิพลต่อแทบจะทุกอย่างในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดยันตาย เพราะแบบนั้นเอง งานศิลปะจึงเป็นหนึ่งในภาพสะท้อนยุคสมัยชิ้นสำคัญ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นไปในอดีต เพื่อส่งต่อมาให้เราได้รับรู้ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี หลายคนมักมองข้ามงานศิลปะในยุคกลางไป เพราะเป็นยุคที่วิทยาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาศิลปะอาจไม่ได้เฟื่องฟูเท่ายุคอื่น ถึงอย่างนั้น ศิลปะของยุคกลางก็มีคุณค่าและคุณูประการในตัวของมันเอง
The MATTER จึงขอพาทุกคนเดินทางย้อนเวลาไปสู่ยุคกลาง พร้อมพาไปรู้จักเกร็ดความรู้และเรื่องราวเบื้องหลังของงานศิลปะในช่วงยุคสมัยนี้กัน
ภาพศิลปะในยุคกลางมักเกี่ยวข้องกับศาสนา

หากนำภาพวาดในยุคกลางมากางพร้อมกันหลายๆ ชิ้น ทุกคนก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแทบทุกชิ้นมันคือเรื่องราวทางศาสนาคริสต์ทั้งหมด
สาเหตุที่งานศิลปะในสมัยยุคกลางเต็มไปด้วยเรื่องราวของศาสนา เพราะในยุคกลาง ศาสนามีอิทธิพลต่อผู้คนในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น กิจวัตรประจำวัน วิถีการดำเนินชีวิต หรือแม้แต่ความเชื่อของมนุษย์ หากจะอธิบายให้เห็นภาชัดเจนว่าศาสนามีอิทธิพลมากขนาดไหน ก็คงต้องบอกว่า เมื่อศาสนาบอกว่าถูกสิ่งนี้ถูกต้อง เราถึงจะทำมันได้ แต่เมื่อศาสนาบอกว่ามันผิด ทุกคนก็ต้องปฏิเสธสิ่งเหล่านี้โดยไร้ซึ่งคำถาม
เมื่อภาพรวมของยุคสมัยเป็นเช่นนี้ โลกของศิลปะเอง ก็ถูกครอบงำด้วยศาสนจักรเช่นเดียวกัน ศิลปะถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับถ่ายทอดและนำเสนอเรื่องราวของศาสนจักร อีกทั้งงานศิลปะโดยส่วนใหญ่มักถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประดับและตกแต่งศาสนสถาน ทำให้ศิลปะยุคกลางจึงมักเป็นภาพสะท้อนของเรื่องราวในพระคัมภีร์ และเผยแพร่หลักคำสอนของศาสนาคริสต์ เพื่อให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาต่อศาสนาให้ได้มากที่สุด
พระเยซูมักสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงเสมอ

สีแดงถือเป็นหนึ่งในสีที่มนุษย์ใช้ในงานศิลปะมาตั้งแต่อดีตกาล หากลองนึกถึงภาพเขียนฝาผนังยุคโบราณในถ้ำ ซึ่งเป็นผลงานศิลปะชิ้นแรกๆ ของมนุษยชาติ ก็จะเห็นได้ว่าสีที่ถูกใช้ส่วนใหญ่มักเป็นสีแดง ด้วยความเป็นสีแรกๆ ในงานศิลปะ สีแดงจึงมักถูกแต่งแต้มอยู่ในงานศิลปะแทบทุกชิ้นเสมอมา
ศิลปะในสมัยยุคกลางเองก็เช่นกัน สีแดงมักปรากฏเป็นสีของเครื่องนุ่งห่มของพระเยซูคริสต์อยู่เสมอ หากจะยกตัวอย่างสัก 1-2 ภาพ อาจลองนึกถึงผลงานอย่าง Entry into Jerusalem ของ จอตโต ดี บอนโดเน (Giotto di Bondone) หรือ The Temptation of Christ on the Mountain ของ ดุชโช ดี บูโอนินเซญญา (Duccio di Buoninsegna) พระคริสต์จากทั้ง 2 ภาพ ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดงสด โดดเด่น ตัดกับทุกสิ่งอย่างในภาพ
นักประวัติศาสตร์ศิลปะหลายคนได้ศึกษาถึงการใช้สีแดง ซึ่งถือเป็นสีที่มีความหมายที่ค่อนข้างซับซ้อนในทางศาสนาเป็นอย่างมาก โดยผู้ศึกษาเรื่องนี้ต่างให้เหตุผลถึงการใช้สีแดงเป็นภาพแทนของพระคริสต์ที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าสีแดงอาจเป็นตัวแทนของบาป ไฟนรก และปีศาจ ขณะที่บางส่วนก็ตีความถึงการพลีชีพ หรือพระโลหิตของพระคริสต์ได้เช่นกัน หรือบางคนก็บอกว่าสีแดง ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละ ซึ่งตรงกับหน้าที่ในการผู้ไถ่บาปและผู้เสียสละของพระเยซูด้วย
ภาพที่เกี่ยวข้องกับศาสนามักเต็มไปด้วยเสื้อผ้าสีน้ำเงิน

ก่อนหน้านี้เราพูดถึงสีแดง คราวนี้มาที่สีน้ำเงินกันบ้าง เพราะอีกหนึ่งสีที่ปรากฏอยู่ค่อนข้างจะในทุกภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาในยุคกลาง ก็คือสีน้ำเงินนี่แหละ
ในปัจจุบันเราอาจมองว่าสีน้ำเงินก็คือสีทั่วไป พบเห็นได้ทุกหนแห่ง หากแต่ในอดีต สีน้ำเงินคือหนึ่งในสีที่ค่อนข้างหายาก และไม่ใช่รงควัตถุที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ ทำให้สีน้ำเงินในงานศิลปะยุคแรกๆ จึงเป็น สีน้ำเงินอัลตรามารีน ซึ่งทำมาจากลาพิส ลาซูลี อัญมณีที่มีราคาแพง และครั้งหนึ่งมันอาจมีค่ามากกว่าทองคำ มันจึงถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น
สีน้ำเงินจึงเป็นตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับ ภาพวาดในยุคกลางส่วนใหญ่ จึงเลือกใช้สีน้ำเงินในภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ตลอดจนใช้มันเป็นตัวแทนของบุคคลสำคัญทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้สีน้ำเงินเป็นตัวแทนของพระแม่มารี ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในคณะสงฆ์ และได้รับการประกาศให้เป็นราชินีแห่งสวรรค์และพระมารดาทางจิตวิญญาณของคริสตศาสนิกชน
ทุกคนอาจลองนึกถึงผลงานศิลปะที่มีพระแม่มารีในภาพ ตัวเธอมักจะสวมใส่ชุดสีน้ำเงินสด (ซึ่งภายหลังมันถูกเรียกว่าสีน้ำเงิน Marian blue) ไม่ว่าจะเป็น ภาพ Madonna ของ โลเรนโซ โมนาโก (Lorenzo Monaco) และ Maesta of Santa Trinita ของ ชิมาบูเอ (Cimabue) เป็นต้น
ภาพบุคคลในยุคกลางมักมีสัดส่วนที่ไม่สมจริง

ไม่ว่าจะเป็นภาพอย่าง Central panel of the Maestà ของ ดุชโช ดี บูโอนินเซญญา (Duccio di Buoninsegna) หรือแม้แต่ Madonna and Child with Two Hermit Saints ของ แบร์นาร์ดิโน ฟุงไก (Bernardino Fungai) หากทุกคนลองสังเกตให้ดี จะพบว่าภาพเหล่านี้ สัดส่วนของมนุษย์มีความบิดเบี้ยวและผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงพอสมควรเลย อย่างภาพของฟุงไก ตัวของพระเยซู ซึ่งยังคงเป็นเด็กทารก มีหน้าตาที่แก่เกินวัย และร่างกายที่ใหญ่โตเกินกว่าทารกทั่วไป
สาเหตุที่ภาพบุคคลในยุคกลางมีสัดส่วนที่ไม่สมจริง ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นมนุษย์ด้วยกันเองหรอก แต่เป็นเพราะในยุคสมัยนั้น งานศิลปะไม่ได้มีหน้าที่ในการสะท้อนความงดงาม ธรรมชาติ หรือกระทั่งความเป็นจริง หากแต่พวกมันทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวของศาสนา เพื่อให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสและศรัทธา
ตัวอย่างหนึ่งที่อธิบายถึงความไม่สมส่วนของบุคคลในภาพวาดได้ชัดเจนมากที่สุด คือการใช้คำว่า ‘Homuncular Jesus’ เพื่ออธิบายถึงรูปร่างพระเยซูคริสต์ในงานศิลปะ โดยมันหมายถึงวิธีที่ทารกเยซูถูกวาดภาพในงานศิลปะ เพราะศิลปินในยุคกลางไม่ได้มองว่าพระเยซูในวัยเด็กเป็นทารกทั่วไป หากแต่เป็นเวอร์ชั่นที่เล็กกว่าของตัวพระองค์ในวัยผู้ใหญ่ แมทธิว เอวาเรต (Matthew Averett) นักประวัติศาสตร์ศิลปะผู้ศึกษาเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดที่ว่าพระเยซูมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบและไม่มีความเปลี่ยนแปลง เป็นวิธีคิดมาตรฐานในการพรรณนาถึงพระเยซูในงานศิลปะ
พื้นหลังของภาพวาดยุคกลางมักเป็นสีทอง

เราขอกลับมาที่เรื่องสีกันอีกสักรอบ แต่คราวนี้ขอพูดถึงสีทอง ซึ่งเป็นสีที่ปรากฏค่อนข้างบ่อยในภาพเขียนยุคกลางกันบ้าง
‘Gold Ground’ คือหนึ่งในคำสำคัญที่ใช้อธิบายถึงการสีทองในงานศิลปะ โดยมันเป็นคำที่ใช้เรียกรูปแบบภาพที่มีพื้นหลังทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเป็นสีทองล้วน ในอดีตมักใช้แผ่นทองคำเปลวแท้ เพื่อให้ภาพดูหรูหรา ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีสีทองไม่ได้มีความหมายทางศาสนาแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเข้าสู่ยุคสมัยแห่งศาสนจักร สีทองเริ่มกลายมาเป็นสีสำคัญในการนำเสนอภาพบุคคลสำคัญในศาสนาคริสต์ เพื่อเปลี่ยนจากพื้นหลังเรียบๆ เป็นสีทองแวววาว ให้มันเป็นภาพแทนของความศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนสวรรค์หรือดินแดนทางจิตวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) เหล่าศิลปินเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการวาดพื้นหลังที่สมจริงมากขึ้น และมีกลวิธีอีกมากมายที่ทำให้ภาพวาดบุคคลดูทรงพลังและศักสิทธิ์มากขึ้นโดยไม่ต้องใช้สีทองช่วย เทคนิคการถมด้วยสีทองบนพื้นหลังจึงเริ่มเลือนหายไป
ภาพวาดในยุคกลางมักวาดกันบนบานพับ

อย่าเพิ่งตกใจกันไป บานพับที่ว่า ไม่ได้หมายถึงบานพับที่อยู่ตามประตูห้อง เพราะงานศิลปะเกี่ยวกับศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์คงไม่อยู่บนบานพับประตูแน่ๆ แต่บานพับที่เรากำลังพูดถึง มีชื่อเรียกว่า ‘Polytych’ ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นไม้ที่สามารถพับเข้าและออกได้ เริ่มนิยมใช้กันในโบสถ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา โดย Polytych มักตั้งอยู่บนพระแท่นบูชาในโบสถ์ บางครั้งหากมีแค่ 3 แผ่น ก็จะเรียกว่า ‘Triptych’
หาก Polytych เป็นเพียงแผ่นไม้ธรรมดาทั่วไป ก็คงไม่สมกับการเป็นฉากหลังบนพระแท่นบูชาเท่าไหร่นัก ศิลปินในช่วงปลายยุคกลางหลายคนจึงมักสร้างสรรค์ผลงานบนแผ่นพับนี้ เพราะมันถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่จะถูกนำมาใช้ในงานพิธีกรรมสำคัญที่จัดขึ้นในโบสถ์หรือวิหาร โดยภาพวาดบน Polytych ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเรื่องราวของศาสนาตามพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่น Badia Polyptych และ Polyptych of Bologna ของ จอตโต ดี บอนโดเน (Giotto di Bondone) เป็นต้น
ภาพวาดในยุคกลางมักไม่มีมุมมองตื้นลึกหนาบาง

ถ้าให้ลองเปรียบเทียบระหว่างภาพวาดของยุคกลางสักภาพกับภาพวาดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทุกคนจะเห็นถึงความแตกต่างใดในภาพจากทั้งสองยุคสมัยนี้บ้าง ชัดเจนสุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ ทัศนมิติ (perspective) หรือความตื้นลึกหนาบางของภาพ
ลองนึกถึงภาพดังๆ ในยุคกลาง อย่าง The Allegory of Good and Bad Government ของ อัมโบรโจ โลเรนเซตตี (Ambrogio Lorenzetti) ทุกคนจะเห็นถึงความแบนราบของภาพ ไม่ได้มีมิติปรากฏชัดเจน ส่วนที่ดูจะทำให้ภาพนี้ดูมีมิติมากสุด คือการนำบุคคลในภาพมาทับซ้อนกันหลายๆ ชั้น หากแต่ส่วนของฉากหลังก็เป็นพื้นหลังเรียบๆ ไม่ได้มีการใส่มิติและมุมมองภายในภาพนั่นเป็นเพราะศิลปะในยุคกลาง เน้นถ่ายทอดเนื้อหาทางศาสนา และการนำเสนอเชิงสัญลักษณ์ มากกว่าความสมจริง เหล่าศิลปินในยุคนี้จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องกฎทางเรขาคณิตหรือหลักการของแสงเงาเท่าไหร่นัก เพราะพวกเขามักจะวาดภาพโดยใช้ทัศนียภาพเชิงประสบการณ์ (empirical perspective) มากกว่า
แล้วทุกคนมีผลงานศิลปะในยุคกลางที่ชอบกันบ้างไหม?
อ้างอิงจาก