เพลโต อริสโตเติล โสเครตีส ไดโอจีนีส ไฮพาเทีย ปโตเลมี ยูคลิด เหล่าผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดที่ทิ้งมรดกเป็นความรู้ให้กับโลกใบนี้ เรารู้ดีว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในต่างยุคต่างสมัยกัน แต่พวกเขากลับมารวมตัวกันในชั่วขณะหนึ่ง
‘The School of Athens’ ภาพที่รวมเอานักปรัชญาทั้งหลายมารวมกันไว้ในภาพเดียว แทบไม่มีใครหันมามองยังผู้ชม ทุกคนกำลังยุ่งกับบางอย่างที่สำคัญกว่า อย่างการถกเถียง อธิบาย รับฟัง บางคนยกมือ บางคนก้มเขียน โดยมีจุดนำสายตาตรงกลางเป็นเพลโตและอริสโตเติล ศิษย์และอาจารย์ที่ความเห็นไม่ค่อยจะคล้อยตามกันเท่าไหร่นัก รายล้อมไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดมากมาย จากต่างยุคต่างสมัย

หลายคนอาจเข้าใจว่าภาพนี้เป็นภาพสีน้ำมัน ภาพวาดบนผืนผ้าใบ แต่จริงๆ แล้วภาพนี้เป็นจิตกรรมฝาหนังปูนเปียก อยู่ใน ‘Stanza della Segnatura’ เดิมทีเป็นห้องสมุดหรือห้องทำงานส่วนตัวของพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ทรงไม่ยินดีกับภาพกระทิงที่มีอยู่เดิมทั่วทุกผนังในห้อง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลบอร์เจียผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ เมื่อพูดถึงตระกูลนี้เมื่อไหร่ เป็นอันต้องนึกถึงความหรูหรา การทุจริต และความฟุ่มเฟือย
ใครทนไหวไปก่อนเลย แต่พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ไม่อยากจะทน ในปี 1508 ทรงทาบทาม ราฟาเอลโล ซานซิโอ ดา อูร์บิโน (Raffaello Sanzio da Urbino) มาสร้างสรรค์ภาพใหม่บนผนังผ่านคำแนะนำของ บรามันเต (Bramante) สถาปนิกผู้มีส่วนช่วยบูรณะมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในตอนนั้น ราฟาเอลยังไม่ได้มีชื่อเสียงในโรมมากนัก บวกกับช่วงอายุเพียง 25 ปี ถือว่าอายุและประสบการณ์ยังน้อยมาก หากเทียบกับศิลปินในยุคเดียวกันอย่าง ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ที่กำลังวาดภาพบนเพดานโบสถ์ซิสทีนใกล้ๆ กันในเวลานั้น
เมื่อมาถึงโรมก็ได้แต่บูรณะห้องอื่นๆ ไปก่อน แต่ยิ่งทำงานไป ยิ่งแสดงฝีมือมากขึ้นทุกวัน จึงได้รับความไว้วางใจมาบูรณะห้อง Stanza della Segnatura ในที่สุด ภาพ The School of Athens เป็นภาพบนผนังด้านหนึ่งในห้องนี้ แสดงถึงความกลมกลืนของเอเธนส์ โรม และเยรูซาเลม ผนังแต่ละด้านแสดง 4 สาขาความรู้ในยุคเรเนสซองส์ ได้แก่ เทววิทยา วรรณคดี นิติศาสตร์ และปรัชญา จึงยิ่งส่งเสริมกับจุดประสงค์ของพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ที่ต้องการใช้ห้องนี้เป็นห้องสมุดเป็นอย่างยิ่ง

แม้ภาพนี้จะประกอบไปด้วยนักปรัชญา นักคิด กว่า 50 ชีวิต แต่เราขอหยิบยกบางส่วนที่น่าสนใจมาพูดถึงในบทความนี้
หากมองไปกลางภาพ ไม่มีใครโดดเด่นเกินกว่าชายคู่หนึ่งอยู่ใต้เพดานโค้งอันเป็นจุดรวมสายตาของภาพ เขาคือเพลโตและอริสโตเติล นักปรัชญาผู้เป็นรากฐานทางความคิดของนักปรัชญารุ่นต่อมา เพลโตคือชายวัยชรา ยืนอยู่ทางด้านซ้าย ชี้นิ้วไปบนฟ้า ข้างๆ เขาคืออริสโตเติล ลูกศิษย์ของเขา ผู้ยื่นมือขนานไปกับพื้นโลก
ชายทั้งสองถือหนังสือของตนไว้ในมือซ้าย บอกถึงความยึดมั่นในแนวคิดของตน ท่าทางของเพลโตที่ชี้ไปบนฟ้าสื่อถึงความเชื่อในทฤษฎีแบบที่สิ่งต่างๆ ถูกกำหนดไว้ด้วยแบบอันตายตัว กลับกัน มือของอริสโตเติลที่ยื่นออกมา แสดงถึงความเชื่อเกี่ยวกับประสบการณ์ มีพื้นฐานมาจากโลกกายภาพ

ถัดไปทางซ้ายชายในผ้าคลุมสีเหลือง โสเครตีสที่กำลังเปิดประเด็นอะไรสักอย่างกับผู้คนแถวนั้น ที่ยืนฟังแบบหน้าบอกบุญไม่รับเท่าไหร่ พอจะอนุมานได้ว่าเขากำลังใช้การตั้งคำถามแบบโสเครตีส (Socratic questioning) อยู่เป็นแน่

ขยับจากโสเครตีสลงมาด้านล่าง ชายคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับสมุดในมือ คือพีทาโกรัส แม้จะเป็นที่รู้จักในด้านคณิตศาสตร์ แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นในเรื่องดวงวิญญาณเป็นอมตะ จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เขาได้อยู่ฝั่งเดียวกับเพลโต

มองไปยังฝั่งตรงข้ามของพีทาโกรัส คือยูคลิด กำลังก้มตัวสาธิตบางอย่างโดยใช้เข็มทิศ นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งเรขาคณิต และความรักของเขาที่มีต่อทฤษฎีที่เป็นรูปธรรม พอจะบอกใบ้ได้ว่าว่าทำไมเขาจึงอยู่ฝั่งใกล้กับอริสโตเติล

ใกล้กันนั้นเป็นปโตเลมี นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ สวมผ้าคลุมสีเหลือง ถือลูกโลกในมือ แต่ในวงสนทนานั้นมีชายคนหนึ่ง ทำลายกำแพงที่สี่ ส่งสายตามายังผู้ชม คนนั้นคือราฟาเอล ผู้วาดภาพนี้นี่แหละ ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับการแทรกภาพเหมือนของศิลปินลงไปในผลงานของตนเอง แต่การเลือกมาแทรกในภาพที่มีแต่ผู้ทรงปัญญาแบบนี้ก็ถือว่ากล้าหาญไม่น้อย

ชายชราที่นอนเหยียดอยู่บนบันไดคือไดโอจีนีส ผู้ก่อตั้งปรัชญาไซนิค แม้จะไม่มีหมามาด้วยแต่ก็พอจะเดาออกจากลักษณะท่าทางของเขาที่ไม่แยแสต่อรอบข้างแม้แต่น้อย แล้วใครเล่านั่งจับเจ่าเหงาหงอยอยู่ล่างสุด นั่นคือเฮราคลิตัส ผู้ครุ่นคิดอยู่บนภูมิปัญญาที่เรียนรู้ด้วยตนเอง

และสตรีเพียงหนึ่งเดียวในภาพนี้ ผู้จับจ้องมายังผู้ชม (เช่นเดียวกับภาพเหมือนของราฟาเอล) คือไฮพาเทียแห่งอเล็กซานเดรีย สตรีคนแรกที่มีบันทึกว่ามีส่วนร่วมในด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และปรัชญา
ภาพนี้ไม่ได้นำผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดมารวมกันอย่างไร้ความหมายเท่านั้น ราฟาเอลเลือกแบ่งพวกเขาเป็นสองฝั่ง โลกแห่งความคิดและการใคร่ครวญ และโลกประสบการณ์ การรับรู้ และสิ่งที่เป็นรูปธรรม แม้จะมีแนวทางที่ขัดแย้งกัน แต่ละฝ่ายก็แสวงหาสิ่งเดียวกัน นั่นคือ ความจริงของการดำรงอยู่
อ้างอิงจาก