แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าภาพใดของดาวินชี่ เป็นผลงานประทับจิตผู้คนได้มากที่สุด แต่เชื่อว่าวิทรูเวียนแมนจะเป็นหนึ่งในนั้น ไม่น้อยหน้าผลงานชิ้นอื่น
ผลงานชิ้นแล้วชิ้นเล่าของลีโอนาโด ดาวินชี่ (Leonardo da Vinci) สร้างขึ้นมาเพื่อยืนยันความเอกอุของเขาในด้านศิลปะ แต่ชื่อของเขาไม่ได้ถูกจดจำในฐานะศิลปินเอกของโลกเพียงอย่างเดียว มีศาสตร์และศิลป์มากมายที่เขาสนใจและทำมันได้ดี จนสิ้นข้อสงสัยในการเป็นต้นแบบของคำว่า Renaissance Man คำที่ใช้เรียกบุคคลที่มีพรสวรรค์และความเชี่ยวชาญรอบด้าน และคงไม่มีผลงานชิ้นไหนที่ช่วยยืนยันคำนั้นได้ดีไปกว่า ‘Vitruvian Man’

ภาพชายเปลือยเปล่า กางแขนขาซ้อนกัน วาดด้วยปากกาและหมึกบนกระดาษ พร้อมข้อความรายล้อมเหมือนจดบันทึก ภาพนั้นแสดงสัดส่วนและรายละเอียดของร่างกายได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะดาวินชี่เอง ให้ความสนใจในเรื่องกายวิภาคมาก ถึงขนาดที่เคยลงมือผ่าศพเพื่อศึกษาส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วยตัวเอง (บ้างก็ว่าเขาชอบเสียจนเป็นงานอดิเรกเลยล่ะ)
แต่ภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นมาด้วยความหลงใหลในร่างกายมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังอ้างอิงทฤษฎีสัดส่วนของ วิทรูเวียส (Vitruvius) สถาปนิกชาวโรมัน ที่ตั้งข้อสังเกตในหนังสือ De architectura ว่าหากมนุษย์นอนหงาย แขนและขาเหยียดออก นิ้วมือและนิ้วเท้าจะแตะเส้นรอบวงของวงกลม โดยมีสะดืออยู่ตรงกลาง เนื่องจากความสูงของร่างกายมนุษย์เท่ากับความยาวของแขนที่เหยียดออก รูปร่างมนุษย์จึงเปรียบได้กับรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสมบูรณ์ที่มีด้านเท่ากัน เขาเสนอความคิดไว้เช่นนั้น แต่ไม่ได้มีภาพประกอบ
มีศิลปินหลายคนที่พยายามวาดภาพสัดส่วนมนุษย์ตามทฤษฎีของวิทรูเวียส หนึ่งในนั้นคือดาวินชี่ เขาใช้เวลาหลายเดือนในการวัดสัดส่วนผู้คนมากมาย จนได้ออกมาเป็นภาพที่เราเห็น ภาพนี้เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงถถึงความสนใจอย่างแรงกล้าเขา ทั้งในเรื่องกายวิภาค คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ถ่ายทอดออกมาด้วยความเชี่ยวชาญด้านศิลปะ เขาใช้ทฤษฎีของวิทรูเวียสเป็นที่ตั้ง แล้วนำความรู้จากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ค้นคว้าเพิ่มมาผนวกกัน จนผลงานชิ้นนี้ลุล่วงในปี 1487

มนุษย์ในฐานะส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ได้รับการออกแบบให้มีสัดส่วนที่กลมกลืนกันตามแนวคิดของยุคสมัยนั้น แม้ว่ามนุษย์จะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่โดยเฉลี่ยแล้วพวกเขามีรูปร่างที่เหมือนกัน ภาพวิทรูเวียนแมนก็แสดงแนวคิดทำนองนั้นเช่นกัน ด้วยความคิดต้นแบบจากทฤษฎีของวิทรูเวียส ที่มองว่ามนุษย์ทุกคนมีสัดส่วนเท่ากัน และแตกต่างกันเพียงความสั้นยาวเท่านั้น เช่น ส่วนสูงของเราคือระยะที่เรากางแขนจนสุด สันนิษฐานว่า หน่วยวัดในยุคแรกจึงสอดคล้องกับความยาวมาตรฐานของส่วนต่างๆ ของร่างกาย อย่างหน่วยวัด 1 ศอก จากข้อศอกถึงปลายนิ้ว หน่วยวัด 1 ฟุต ความยาวเท้า ซึ่งยังคงใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้
จากข้อความในภาพ มีร่องรอยของบันทึกที่ดาวินชี่ได้เพียรวัดสัดส่วนของผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในส่วนต่างๆ เช่น ตั้งแต่โคนผมถึงคาง สูง 1 ใน 10 ของชายคนหนึ่ง ตั้งแต่คางถึงศีรษะ เท่ากับ 1 ใน 8 ของความสูง ตั้งแต่หน้าอกถึงศีรษะ เท่ากับ 1 ใน 6 ของความสูง ข้อความเช่นนี้ระบุรายละเอียดมากมายตามพื้นที่ในร่างกาย
สอดคล้องกับแนวคิดของดาวินชี่ (และผู้คนในยุคนั้น) ที่เชื่อมนุษย์เรามีความเชื่อมโยงอยู่กับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ อย่างโลกและจักรวาล ในสมุดบันทึกจากปี 1492 เขาได้บันทึกไว้ว่า คนสมัยโบราณเรียกมนุษย์ว่าโลกในขนาดย่อส่วน ชื่อนี้ตั้งขึ้นอย่างเหมาะเหม็ง เพราะมนุษย์ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม และไฟ ร่างกายของเราจึงมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับโลก บางส่วนจึงตีความว่า ภาพวิทรูเวียนแมนนี้ก็แสดงถึงความยึดโยงกันของมนุษย์และธรรมชาติเช่นกัน

ปัจจุบัน ผลงานอายุหลายศตวรรษชิ้นนี้อยู่ที่ Gallerie dell’Accademia di Venezia เมืองเวนิช แต่ด้วยข้อจำกัดของวัสดุ เลยทำให้จัดแสดงสู่สายตาประชาชนได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ในปี 2019 ภาพนี้ถูกยืมไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในปารีส เนื่องในโอกาสครบรอบ 500 ปีมรณกาล เลโอนาร์โด ดาวินชี่
ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้อยู่บนผืนผ้าใบใหญ่หรือเป็นความวิจิตรบนผนังโบสถ์อย่างงานชิ้นอื่น แต่อยู่บนกระดาษที่ใช้จดบันทึกเช่นเดียวกันกับบันทึกเล่มอื่นของเขา เลยไม่อาจบอกได้ว่านี่เป็นผลงานที่เขาตั้งใจอยากเผยแพร่สู่สายตาผู้คน ในฐานะผลงานชิ้นหนึ่งหรือไม่ หรือเป็นเพียงหนึ่งในหลักฐานการค้นคว้าตามความชอบในศาสตร์แขนงต่างๆ ของเขาเท่านั้น
ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หน้ากระดาษแผ่นนี้ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งผลงานดังในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในวันนี้แล้ว
อ้างอิงจาก