บรรยากาศสิ้นปีเริ่มตีวงล้อมเข้าหาพวกเราเรื่อยๆ ทั้งอากาศเย็นสบาย ร้านรวงต่างๆ ตกแต่งพร้อมสำหรับการเฉลิมฉลอง แน่นอนว่าบรรยากาศเหล่านี้ส่งความสดชื่นสดใส พร้อมต้อนรับศักราชใหม่ที่จะมาถึงไวๆ นี้ แต่อีกความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ คือ ความขี้เกียจ แม้ตัวจะยังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ออฟฟิศ แต่ในใจกำลังเก็บกระเป๋าไปพักผ่อนแล้วน่ะสิ
ยิ่งวันหยุดยาวใกล้มาถึง ความขี้เกียจยิ่งเกาะกุมหัวใจ บรรยากาศสบายๆ แบบนี้ ใครเขาอยากทำงานกันล่ะ แบบนี้มันต้องเตรียมตัวไปฉลองให้พร้อมต่อวันหยุดยาวกันดีกว่า ถึงอย่างนั้น ต้นคริสต์มาส ไฟประดับทั่วเมืองเป็นของจริง งานที่ต่อคิวรออยู่ก็เป็นของจริงเหมือนกัน แม้ว่าใจอยากจะไปเอนหลังที่บ้านหรือออกไปฉลองแค่ไหน แต่งานที่ออฟฟิศก็ยังต้องเดินต่อจนกว่าจะถึงวันหยุดจริงเหมือนกัน
อย่าว่าแต่สิ้นปีเลย ระหว่างปีที่แสนยาวนานก็มีเหี่ยวเฉาลงบ้างเหมือนกัน ก็ใครจะโปรดักทีฟได้ตลอดเวลากันล่ะ มีวันขยันบ้าง วันชิลบ้าง แต่ KPIs เจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน อาจไม่ได้อะลุ่มอล่วยให้กับความชิลของเราน่ะสิ ยิ่งใครโปรดักทีฟก็ยิ่งดูขยัน ยิ่งขยันก็ยิ่งดูเป็นพนักงานตัวอย่างในสายตาคนอื่น
ความโปรดักทีฟของเรามันลุ่มๆ ดอนๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันอยากขยันก็มี แต่มีทุกวันก็คงไม่ได้ เราเองก็ไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่ตื่นมาจิบกาแฟดำ เล่นโยคะ เดินหมื่นก้าว ฟังข่าวต่างประเทศ ก่อนเข้าออฟฟิศนี่นา แค่ตื่นให้ทันตามนาฬิกาปลุกก็สุดยอดแล้ว
แต่เมื่อออฟฟิศเป็นพื้นที่ของการทำงาน ทุกที่ต่างคาดหวังให้พนักงานมาทำงานด้วยแรงกายแรงใจเต็มร้อย ความคาดหวังให้พนักงานต้องแสดงความโปรดักทีฟให้เห็น กลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดกับหลายออฟฟิศ “ดูเฉื่อยๆ ไปนะ ติดขัดอะไรตรงไหนหรือเปล่า?” “ปกติทำได้ดีกว่านี้นี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
ข้างนอกมีไฟ ข้างในแสนขี้เกียจ
พอถูกกระตุ้นเตือนหรือรู้ว่าถูกจับตามองว่าเราจะปล่อยพลังโปรดักทีฟมาแค่ไหน บางคนใช้วิธีเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองขยันยิ่งขึ้น พยายามลงแรงเข้าไปจนกว่าจะมีใครมองเห็น แต่ผลลัพธ์กลับไปจบที่ภาวะหมดไฟ กลายเป็น Toxic Productivity ที่เราต้องคอยกล่อมตัวเองอยู่ตลอดว่า ทำงาน ทำงาน ทำงาน
แต่การแก้เกมของเหล่าคนทำงาน ไม่ได้มีแค่วิธีขยันคูณร้อยเพียงอย่างเดียว ‘Fauxductivity’ การแกล้งทำเป็นโปรดักทีฟ ด้วยการทำเป็นยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานตลอดเวลา มองเผินๆ อาจดูน่าประทับใจ คนอะไรขยันได้ทั้งวันขนาดนี้ แต่ผลลัพธ์ออกมาบ๋อแบ๋ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (เพราะมันไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่างแต่แรกเลย)
หากให้เห็นภาพง่ายขึ้น คงจะเป็นคนที่วุ่นวายอยู่กับคอมตัวเองทั้งวัน เสียงแป้นพิมพ์โหยหวนไม่มีที่สิ้นสุด คนที่มาสายแต่เดินจ้ำอ้าวคุยโทรศัพท์เข้ามา หน้านิ่วคิ้วขมวด ราวกับได้เริ่มบรรเลงงานตั้งแต่ยังไม่ถึงออฟฟิศ
พูดไปก็เหมือนละครซิทคอม แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงในออฟฟิศ รายงานจาก Workhuman บอกตัวเลขที่น่าสนใจไว้ว่า 48% ของเหล่าผู้จัดการ หัวหน้างานเนี่ย รู้สึกว่า Fauxductivity หรือการแกล้งทำเป็นโปรดักทีฟเนี่ย มันเป็นปัญหาในทีมจริงๆ คนขยันมีอยู่มาก ที่หายากคือขยันจริงๆ ความฮามันอยู่ตรงที่ 37% ของเหล่าผู้จัดการและหัวหน้างาน ยอมรับว่าตัวเองก็แกล้งทำเป็นโปรดักทีฟเหมือนกัน ผู้บริหารระดับสูงก็ไม่วาย เข้าร่วมขบวนการนี้ด้วยถึง 38% ในขณะที่พนักงานธรรมดา มีสัดส่วนการแกล้งทำเป็นโปรดักทีฟน้อยสุด อยู่ที่ 32%
นี่ล่ะ หลักฐานชั้นดีว่า ไม่ได้มีแต่เหล่าพนักงานตัวจ้อยเท่านั้นที่ต้องแกล้งขยันตลอดเวลา หัวหน้า ผู้จัดการ ไปจนถึงผู้บริหาร ก็กระทำสิ่งนี้ไม่ต่างกัน (แถมมากกว่าอีกต่างหาก) อาจจะฟังดูตลกไม่น้อย แต่ถ้าแกะรอยเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้ มาดูกันว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไรได้บ้าง ออฟฟิศแบบไหนกันที่ชักนำให้พนักงานต้องทำแบบนี้
- วัฒนธรรมเชิดชูคนทำงานหนัก ขยันทำงานเป็นเรื่องดี ใครๆ ก็เข้าใจได้ แต่ถ้ามันถึงขั้นให้ทุกคนต้องขยันในทุกวินาที จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรว่า มีแต่คนแสดงออกถึงความขยันเท่านั้นที่จะได้รับคำชื่นชม นั่นแปลว่าเรากำลังแคร์การแสดงออก มากกว่าผลลัพธ์ของงานอยู่หรือเปล่า? คนที่ทำงานมีผลลัพธ์ดีไม่มีตกมาตรฐาน แต่ค่อนข้างทำงานชิลๆ ไม่ได้ไฟลุกท่วมหัว แปลว่าคนเหล่านั้นไม่ได้รับการยกย่องเท่าคนที่แสดงออกว่าขยันหรือเปล่านะ
- กลัวจะถูกมองว่าต่ำกว่ามาตรฐาน ผลลัพธ์งานเท่ากัน แต่แสดงออกไม่เท่ากัน ก็จะถูกมองและประเมินว่าขยันไม่เท่ากันด้วยหรือเปล่า หลายคนเลือกที่จะแสดงออกว่าตัวเองยุ่งตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เรื่องขำขันว่า มาสายแล้วแอ๊บเนียนคุยกับลูกค้า หรือขี้เกียจยามบ่ายเลยทำเป็นนั่งพิมพ์ต๊อกแต๊กเป็นชั่วโมง แต่กลับกลัวว่าตัวเองจะถูกประเมินว่าไม่ขยันเท่าคนที่ทำอะไรยุกยิกตลอดเวลา
- ขาดการจัดลำดับความสำคัญ งานกองใหญ่ตรงหน้า ไม่รู้เลยว่าอันไหนต้องส่งก่อนหลัง เมื่อทีมไม่มีความชัดเจนว่าชิ้นไหนสำคัญ ชิ้นไหนเร่งด่วน อาจทำให้คนในทีมเลือกหยิบชิ้นงานมาทำตามใจ แล้วพบทีหลังว่าสิ่งที่ทำไปยังไม่จำเป็นต้องทำในตอนนี้ เวลาเหลือก็ชิลน่ะสิ แต่คนอื่นทำงานกันอยู่ จะอู้ก็ไม่ได้ จะเริ่มทำงานใหม่ทันทีก็เหนื่อยเกินไป เลยต้องแกล้งทำงานให้แนบเนียนกับคนอื่นด้วย
โดยรวมแล้ว มันออกจะเป็นปัญหาเดิมๆ อย่างการเชิดชูแต่คนทำงานหนัก โดยไม่ได้สนว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เอาเป็นว่าขยันให้เห็นถือว่ามีผลงาน พฤติกรรมเหล่านี้เลยขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ทุกคนต้องแสดงออกถึงความขยันให้เท่ากันตลอดเวลา บูสต์ บูสต์ เอเนอจี้เข้าไป ดร็อปลงเมื่อไหร่กลายเป็นคนขี้เกียจทันที
หากต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ออฟฟิศแบบนี้ แต่ทำงานก็เหนื่อยจะตาย จนเราไม่ได้มีแรงกายแรงใจจะไปแสดงออกถึงความขยันใดๆ อีกต่อไปแล้ว สิ้นปีแบบนี้ใครเขายังทำงานกันล่ะ งั้นเราจะเข้าร่วม Fauxductivity ยังไงให้แนบเนียนดีนะ
- แป้นพิมพ์โหยหวน หากมองจากมุมคนนอกที่เดินผ่านไปมา นั่งอยู่เยื้องๆ กัน ไม่ได้หันมามองหน้าจอเราจังๆ เสียงคีย์บอร์ดดังขึ้นเมื่อไหร่ แปลว่างานกำลังเดิน ยิ่งดังรัวยิ่งไม่มีใครอยากมาวุ่นวาย เพราะเข้าใจว่ากำลังยุ่งอยู่กับงานตรงหน้าแน่ๆ แถมเสียงเงียบเมื่อไหร่ มีแต่ Scroll ขึ้นลงไปมา อาจถูกเข้าใจผิดอีกว่ากำลังทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานแน่ๆ
หากเสียงแป้นพิมพ์เป็นกุญแจสำคัญ ถ้างั้นเราก็อย่าได้ปล่อยให้มันเงียบเชียวล่ะ ลองเข้ายูทูบแล้วเสิร์ชคีย์เวิร์ด ‘keyboard typing sound’ ดูสิ เลือกเสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงคีย์บอร์ดของเรา แล้วเปิดคลอไประหว่างทำงาน เสียงนั้นจะมาทดแทนเสียงแป้นพิมพ์ที่หายไป (หากเราแว้บไปทำอย่างอื่น) แต่ต้องระวังระดับเสียงให้พอเหมาะพอดี ไม่ดังจนโป๊ะ ไม่รัวเกินจังหวะปกติของเรา - สลับหน้าจออย่างเซียน อยากจะเนียนกับเขาบ้าง แต่ตำแหน่งโต๊ะดันไม่เอื้ออำนวย เพราะได้นั่งในมุมที่ใครๆ เดินผ่านมาผ่านไปก็เห็นหน้าจอได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจมองหรือแค่เดินผ่านไปเข้าห้องน้ำก็ตาม งั้นเราก็ต้องเพิ่มสกิลนิ้วสายฟ้า เปิดแท็บการทำงานที่อาจจะเป็นงานจริงหรืองานหลอก อย่างพวกตาราง หน้าเว็บ เน้นตัวหนังสือเยอะๆ ฟีลต้องตั้งใจอ่านเอาไว้เสมอ หากจับสังเกตได้ว่ามีใครกำลังเดินมา ต้องรีบกดเปลี่ยนแท็บด้วยคีย์ลัดให้ทัน เพราะการเปลี่ยนด้วยเมาส์มันโป๊ะเกิน
- เครื่องปรินต์ไม่รู้จบ เอกสารในมือมีมากมาย แต่ก็ยังสั่งเครื่องปรินต์ให้พิมพ์อะไรสักอย่าง ไม่ใช่แค่ภาพของงานเอกสารกองโตเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างภาพให้เราเดินรีบๆ เร่งๆ ไปมาระหว่างโต๊ะกับเครื่องปรินต์ได้อีกหลายรอบ มันต้องมีสักรอบแหละนะที่ใครมาเห็นเข้า ว่าเรายุ่งวุ่นวายขนาดไหน เอกสารเต็มมือ พร้อมเดินหัวหมุนไปมา นี่ล่ะ ภาพคนขยันที่ใครเห็นก็ต้องหลีกทางให้
- หาเพื่อนร่วมขบวนการ หากการละครคนเดียวอาจหมดมุกได้ในสักวัน งั้นเราต้องการเพื่อนร่วมขบวนการสักคน มาคอยนั่งทำงานอย่างขะมักเขม้น ส่วนอีกคนรับบทชี้หน้าจอแล้วเจื้อยแจ้วไปเรื่อย “ส่วนนี้หมายความว่ายังไง” “ตรงนี้จะเสร็จได้เร็วสุดเมื่อไหร่” “อธิบายสิ่งนี้มาหน่อยสิ” ทำเหมือนว่าเรามีงานมากมายที่ต้องสะสางร่วมกัน หากใครจะเดินเข้ามาร่วมวง ต้องรีบปฏิเสธไปก่อนว่าตอนนี้ยังไม่ว่าง ยิ่งเพิ่มความแนบเนียนว่าเรายุ่งเสียจนไม่มีเวลาแวะมาคุยเล่นหรือให้ใครเข้าไปฟังด้วยได้ในตอนนี้
หากสิ้นปีเหมือนสิ้นแรง ทำงานไปก็นึกถึงแต่ความสุขที่รอเราอยู่ในวันหยุด ลองเข้าร่วมลัทธิโปรดักทีฟแบบหลอกๆ เพื่อช่วยให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ แต่ข้อควรระวัง อย่าทำจนติดเป็นนิสัย เก็บไว้เป็นวิชาลับสำหรับตอนหมดแรงจะทำอะไรจริงๆ เท่านั้น ทำบ่อยๆ เข้าอาจโป๊ะในสักวัน แย่กว่านั้นก็อาจติดเป็นนิสัย จนไปลดทอนประสิทธิภาพการทำงานจริงของเราด้วยก็ได้
เขียนเสร็จมาตั้งแต่เที่ยงวัน เปิดเสียงคีย์บอร์ดหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวบ.ก.สงสัย
อ้างอิงจาก