น้ำร้องเพลง “ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรไปมากกว่านั้น” กลั่นตัวเองหยดลงหินทุกวัน หินบอกเป็นเพื่อนกันดีแล้ว
คนรู้จักสู่คนรู้ใจ Friends to Lovers เป็นเนื้อเรื่องที่เราคุ้นเคยกันมันดี ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของตัวอักษร จอแก้ว จอเงิน หรือแม้แต่ในชีวิตจริงของเราก็ตาม อะไรทำนองนี้มันช่างโรแมนติกมีรายละเอียดในเรื่องราวให้เล่าไม่รู้จบ เริ่มสปาร์กกันตอนไหน ความพิเศษที่เกิดขึ้นมันมาได้ยังไง เมื่อไหร่ที่อยากจะข้ามเส้นกัน
ความหวานหอมคงอยู่ที่การค่อยๆ ไต่ความสัมพันธ์ไปทีละขั้น ก้าวเข้าไปชิดกันทีละน้อย โดยไม่ได้หวังผลว่าจะต้องลงเอยแบบไหน รู้เพียงว่าเส้นแบ่งความสัมพันธ์ที่เคยมี มันเลือนลางไปทุกที จนไม่อาจตอบใจได้ดังเดิมแล้วว่าคิดกับเขาเหมือนในวันแรกที่รู้จักกัน
ก่อนจะไปเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังความสัมพันธ์ใดๆ มาเริ่มกันที่กระดุมเม็ดแรก ทำไมเรามักตกหลุมรักเพื่อนใกล้ตัวกันนักล่ะ?
คำตอบนั้นไม่ได้ซับซ้อนและไม่ได้เหนือความคาดหมายนัก ดร.เวนดี้ แพทริก (Wendy L. Patrick) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้บนเว็บไซต์ psychologytoday ไว้ว่า ความสัมพันธ์ฉันมิตรยิ่งสนิทชิดเชื้อกันเท่าไหร่ ทั้งสองจะยิ่งมีประสบการณ์ทางความคิดและอารมณ์ร่วมกัน มีการพึ่งพาอาศัยกันทางจิตใจ เกิดเป็นความอบอุ่น ความเข้าใจ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้เนี่ย มันเป็นดั่งน้ำทิพย์ชะโลมใจ หล่อเลี้ยงความผูกพันใกล้ชิดให้เกิดผลในระยะยาว
จึงไม่แปลกเลยที่วันหนึ่งเราจะตกหลุมรักคนที่ร่วมหัวจมท้ายกับเรา ผ่านทั้งร้อนและหนาวมาแทบทุกสภานการณ์ พล็อต Friends to Lovers จึงกลายเป็นที่นิยมทั้งเรื่องแต่งและชีวิต รายล้อมรอบตัวเราอยู่เสมอ เริ่มต้นจากการก้าวผ่านอุปสรรคร่วมกัน จนได้รู้หัวใจว่าใครยินดียืนหยัดเคียงข้างเรา ตัวหนังสือจบบริบูรณ์ลอยเด่นบนหน้าจอ พระนางซบพิงอิงแอบมองฟ้ากว้าง
ไม่ใช่ทุกคนที่ยินดีเปลี่ยนคนรู้จักเป็นคนรู้ใจ
ท่ามกลางความหวานชื่นที่ได้เลื่อนสถานะ ข้ามเส้นเฟรนด์โซนนั้น มีหลายคนที่ไม่ซื้อไอเดียนี้สักเท่าไหร่นัก เป้าประสงค์ของความสัมพันธ์ชี้ชัดไว้ตั้งแต่วันแรกว่าเป็นได้แค่ไหน และจะไม่มีวันใจอ่อนกับคำหวานหรือการดูแลเป็นพิเศษใดๆ
ก่อนจะเกิดความสัมพันธ์แบบโรแมนติกได้ นั่นแปลว่าจะต้องมีประกายไฟในใจบางอย่างเกิดขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณแล้วว่า คนนี้แหละพอจะมีความเป็นไปได้ ที่เราเรียกว่า Dating Preferences ความชอบบางอย่างในตัวใครคนนั้น เมื่อเราได้ใกล้ชิดเขา และมองเห็นว่าสิ่งนี้เป็นใบเบิกทางที่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่รักโรแมนติกได้ แต่เป็นในกลไกทางสังคมอย่างเรื่องของรสนิยม ไลฟ์สไตล์ มากกว่าเรื่องของวิวัฒนาการ (ที่มองไปยังความสมบูรณ์และความสมมาตรทางกายภาพ)
แต่ทีนี้ ความสัมพันธ์ของเพื่อนจะไม่ได้ทำงานแบบนั้น เราจะไม่ได้ประเมินเขาด้วยฟิลเตอร์ Dating Preferences ว่าคนนี้พอจะเป็นแฟนเราได้ไหมนะ คนนี้พอจะสานสัมพันธ์ได้ไหมตั้งแต่แรกความเป็นเพื่อนที่ยิ่งแน่นแฟ้น
มักจะเกิดจากการมีประสบการณ์ร่วมกัน แต่ทีนี้มีหลายคนเอามากๆ ที่ต่อให้มีประสบการณ์ร่วมมากมายแค่ไหน บุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย ตัดโมเดลยันเช้า กอดคอแก้ธีสิสรอบที่ร้อย ตบบ่ากับคำด่าของเจ้านายมาด้วยกันแค่ไหน ก็ยังรู้สึกว่านี่แหละคือความใกล้ชิด แต่ใกล้ชิดแบบเพื่อนไม่มีการมองฝั่งตรงข้ามด้วย Romantic Preferences เลย จะไปถึงขั้นประเมินว่าคนนี้ก็พอจะเข้ากับเราได้อยู่นะก็อย่าหวัง
อธิบายให้ง่ายและชัดเจนที่สุดคงจะเป็น เขาคิดแค่เพื่อน ที่หมายถึงแค่เพื่อนจริงๆ และไม่มีวันจะหยิบเราขึ้นมาประเมินด้วยฟิลเตอร์ Dating Preferences ได้ น้ำหยดลงหินทุกวัน หินบอกไม่ได้ชอบหยดน้ำตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ มาหยดทำไมอะ จึงไม่สะทกสะท้านกับความโรแมนติกใดๆ ที่ก่อตัวขึ้น (และอาจไม่ได้มองว่ามันโรแมนติกแต่แรกด้วยซ้ำ)
แต่เมื่อมีคนก้าวข้ามเส้นไป ไม่ว่าจะรู้ตัวจากการสารภาพรัก (ที่ควรจะสมหวังแบบหนังรอมคอม) หรือเพราะสังเกตพฤติกรรมก็ตาม หากต่างฝ่ายต่างมีจุดมุ่งหมายในความสัมพันธ์ที่ต่างกันแล้ว ก็ไม่มีทางเป็นไปได้
ฝ่ายหินที่โดนน้ำหยด เริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ที่ผ่านมา การได้รับการปฏิบัติดีๆ แบบนี้ เพราะฝั่งนั้นคิดเกินกว่าเพื่อนงั้นหรอ งั้นที่เราทุ่มเทใจให้เพื่อนคนนี้ไป เพราะคิดว่าเขาเต็มที่กับเรา กลายเป็นว่าเขาหวังผลอื่นงั้นหรอ จึงอาจทำให้เกิดความผิดหวังต่อรูปแบบความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลไปยังอนาคตด้วย
เราเลยได้เห็นเพื่อนหลายคู่ที่ใครคนหนึ่งเลือกจะข้ามเส้น สารภาพรักออกไป แต่ไม่อาจกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกเลย ในเรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้น เพียงแต่จุดมุ่งหมายของความสัมพันธ์ไม่ตรงกัน อาจสร้างความลำบากใจให้ทั้งคู่ หากถอยหลังหรือเดินหน้าจนเจอจุดที่ทั้งคู่พอใจแล้ว ก็อาจทำให้ทุกอย่างคลี่คลายลงได้
ต่อให้ความรู้สึกแรกยามรู้จักกัน มันอาจฟันธงได้ยากว่าเรามองคนนี้เป็นสถานะไหน แต่เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เราสามารถเลือกได้ว่าเรามีโอกาสให้คนนี้เท่าไหร่ หรือไม่มีเลย เราเองก็ต้องเรียนรู้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ว่าเขามีโอกาสให้เราบ้างสักหน่อยมั้ย
ความสัมพันธ์ของคนเรายิ่งนับวันมันยิ่งซับซ้อน (ในแง่หนึ่งมันหมายถึงมีโอกาสเพิ่มขึ้นด้วยนั่นแหละนะ) มีทั้งคนรักที่ใช้ชีวิตดั่งเพื่อน เพื่อนที่ใช้ชีวิตดั่งคนรัก ไม่มีกฎเกณฑ์ไหนมาชี้เป็นชี้ตายได้ ไม่ว่าจะคนรู้จักสู่คนรู้ใจ คู่กัดสู่คู่รัก อยู่ที่ทั้งคู่จะพอใจกับเส้นไหน
หากเลือกจะก้าวข้ามแล้ว เราเองก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาเช่นกัน
อ้างอิงจาก