“เออนี่ แกรู้เรื่องน้องคนนั้นหรือยัง”
กำลังนั่งกินข้าวแบบหงอยๆ จู่ๆ เพื่อนก็อยากแบ่งปันเรื่องราวคนอื่นให้เราฟัง ไอ้เรามันก็ดันเป็นนักฟังระดับมืออาชีพซะด้วยสิ เพื่อนเล่ามาได้เลย ฉันอยู่ตรงนี้ พร้อมรับฟังเธอเสมอ ระหว่างฟังมันก็เพลินดีเหมือนกัน ตาดูหูฟังปากกิน เผลอแป๊บเดียว เรื่องเล่ายังไม่ทันจบ อาหารในจานก็หมดซะแล้ว
ก่อนหน้าจะเริ่มเมาท์กัน ไม่ใช่ว่าอาหารไม่อร่อยหรือไม่ถูกปากนะ รสชาติอาหารมันก็มีความอร่อยในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่พอเริ่มเปิดปากพูดคุยกันเท่านั้นแหละ อาหารในจานก็กลับดูน่าทานขึ้นมาเป็นพิเศษเลย
เบื้องหลังการเมาท์มอยและพูดถึงพี่คนนู้นน้องคนนี้อย่างออกรสออกชาติมีอะไรซ่อนอยู่ ทำไมมันถึงทำให้อาหารดูอร่อย แถมยังรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารมากขึ้นด้วยนะ
เรื่องเป็นของคนอื่น ความสุขเป็นของตัวเรา
“แกจำพี่คนนั้นได้มั้ย ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้าแล้ว”
“แกจำเพื่อนร่วมงานคนนั้นได้มั้ย ตอนนี้ชีลาออกไปแล้วนะ…”
ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ เมื่อถึงเวลาแดดร่มลมตก มนุษย์ในฐานะสัตว์สังคมก็ขอล้อมวงตั้งกลุ่ม หมุนวงล้อสุ่มกันสักหน่อยดีกว่าว่า วันนี้จะหยิบเรื่องของใครมาเป็นหัวข้อในการพูดคุยดี
เวลาพูดเรื่องคนอื่นทีไร เราก็มักเอนจอยและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มเพื่อน แม้บางครั้งเรื่องที่เล่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราเลยก็ตาม มีงานศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของสมองกับการพูดเรื่องคนอื่น ของสถาบันวิจัยชีวการแพทย์ Bellvitge และสถาบันประสาทวิทยาประจำ University of Barcelona ได้ศึกษาผ่านการใช้เครื่องวัดคลื่นสมอง (EEG) กับอาสาสมัคร 24 คน พบว่า เวลาที่เราได้ยินเรื่องซุบซิบคนอื่น คลื่นสมองของเราจะมีการเปลี่ยนแปลง บ่งชี้ว่าสมองของเราทำงานอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษเมื่อได้รับฟังเรื่องราวทางสังคมของผู้อื่น
ยิ่งหากข้อมูลทางสังคมเหล่านี้ เป็นเรื่องราวที่เราสนใจ แปลกใหม่ หรือมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในกลุ่มกันเอง ก็อาจกระตุ้นระบบตอบแทนอของสมอง (reward system) ซึ่งเป็นระบบที่ทำงานผ่านการหลั่งสารสื่อประสาทต่างๆ ออกมา หนึ่งในนั้นคือ โดพามีน (dopamine)
แล้วโดพามีนคืออะไร ทำไมมันถึงถูกหลั่งออกมาเวลาเมาท์มอยเรื่องคนอื่น? โดพามีน คือสารสื่อประสาทโมโนเอมีนชนิดหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นในสมองและทำหน้าที่เป็นสารเคมีสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทในสมองและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ที่มีส่วนทำให้เรารู้สึกพึงพอใจหรือมีความสุข แถมมันยังกระตุ้นให้เราทำอะไรบางอย่าง เมื่อกำลังรู้สึกมีความสุขด้วย
ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายๆ หลังจากเราทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่สามารถสร้างความพึงพอใจต่อสมองของเราได้ สมองก็จะตอบแทนเราด้วยโดพามีน ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขจนอยากทำกิจกรรมเช่นนี้อีก ตัวอย่างเช่น เวลาเรากินชานมหวานร้อย สมองเราก็จะหลั่งสารดังกล่าวออกมาบอกเราว่า นี่แหละคือความสุขของเรานะ และเมื่อเราพยายามจะลดหวาน สมองก็จะไม่ยอมให้เราทำได้ง่ายๆ จนบางทีก็รู้สึกหงุดหงิดหรือโมโหง่ายเมื่อไม่ได้รับน้ำตาลนั่นเอง
เมื่อเราแฮปปี้ อาหารก็รสเลิศ
แล้วเวลาไหนล่ะ จะเหมาะแก่การล้อมวงเมาท์มอยมากที่สุด ถ้าไม่ใช่ช่วงพักเที่ยงหรือหลังเลิกงาน ซึ่งเราก็มักจะมองหาร้านอาหารสักร้านมาเป็นสถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลคนอื่นกัน
พออาหารเริ่มมาเสิร์ฟ เรื่องสนุกก็เริ่มถูกเล่า ระหว่างกินก็รู้สึกเหมือนกับว่าอาหารมันดูน่าอร่อยมากกว่าเดิม แถมยังกินเพลินยิ่งขึ้นด้วย รอย เอ ไวส์ (Roy A Wise) จากกรมอนามัยและบริการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการปราบปรามยาเสพติด สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของโดพามีนในสมองต่อการรับประทานอาหาร พบว่า โดพามันมีบทบาทสำคัญในการสร้างการตอบสนองต่อความชอบและเพิ่มความอยากอาหาร ซึ่งโดพามีนในที่นี้อาจมาได้จากหลายประสาทสัมผัส ไม่ว่าจะเป็น เสียง ภาพ สัมผัส กลิ่น และรสชาติ
ด้วยเหตุนี้ เวลาเรานั่งฟังหรือพูดคุยเรื่องของคนอื่นบนโต๊ะอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องที่สร้างความพึงพอใจหรือสร้างความสนใจให้แก่เราได้ มันจึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สามารถสร้างโดพามีนขึ้นมา นั่นเลยทำให้เรารู้สึกอยากจะกินอาหารเพิ่มมากขึ้น รู้สึกเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้ามากกว่าเดิม แม้จะเป็นอาหารเดิมๆ ที่เราเคยกินมาก่อนแล้วก็ตาม
นอกเหนือจากนี้ บุคคลที่นั่งกินข้าวด้วยก็มีส่วนต่อความรู้สึกระหว่างนั่งกินอาหารของเราเช่นกัน โดยงานศึกษาจาก Niigata University of Health and Welfare และ โรงพยาบาลคาเอ็ตสึ ของญี่ปุ่น ซึ่งได้ทำการทดลองนำหญิงสาว จำนวน 16 คน (จับคู่เพื่อนสนิท 8 คู่) ผ่านสถานการณ์ 4 รูปแบบ ได้แก่ นั่งกินคนเดียว กินกับเพื่อน กินกับคนไม่รู้จัก 3 คน และกินกับเพื่อนบวกคนไม่รู้จัก พบว่า การกินอาหารกับเพื่อนสนิทช่วยให้ร่างกายไวต่อรสชาติมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างคนกินด้วยกัน’ มีผลต่อการรับรสในระดับร่างกาย
อาจกล่าวได้ง่ายๆ ว่า ถ้าเราได้กินอาหารกับเพื่อนสนิท เราอาจรับรสชาติของอาหารได้ดีกว่าการนั่งกินคนเดียวหรือกินกับคนที่เราไม่สนิทด้วย แถมยิ่งเราได้เมาท์มอยแบบออกรสออกชาติกับเพื่อนสนิทเราด้วยแล้ว ก็ยิ่งช่วยให้มื้ออาหารตรงหน้าดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ราวกับมีคนแอบเติมผงนัวเข้าไปยังไงยังงั้นแหละ
ทั้งนี้ การพูดคุยเรื่องราวของคนอื่น อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงรสชาติความอร่อยของอาหารแต่อย่างใด ทว่ามันเป็นกิจกรรมบนโต๊ะอาหาร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถกินอาหารได้อย่างอรรถรสและเอนจอยขึ้นมากกว่า
แต่ระวังอย่าเมาท์กันเพลิน จนไม่ทันเคี้ยวอาหารให้ดี เดี๋ยวจากมื้ออาหารแสนอร่อย จะกลายเป็นมื้อที่ทุกข์ทรมานแทนได้
รู้อย่างนี้แล้ว นัดกินข้าวรอบหน้าก็ขอเมาท์เรื่องเพื่อนคนนี้หน่อยละกัน เผื่อว่าจะช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้นบ้าง
อ้างอิงจาก