แฟนเราในอนาคตจะเป็นคนแบบไหนกันนะ
พอถึงวันที่เราเติบโตขึ้น สิ่งหนึ่งที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวคงเป็นภาพคนในฝันที่จะเดินจับมือเคียงคู่เราไป แต่ภาพจะเป็นยังไง แวบแรกก็คงยกคนใกล้ตัวมาเปรียบเทียบ เหมือนคำพูดที่เราเคยได้ยินจากลูกสาวหลายบ้าน ว่าถ้ามีแฟนขอเลือกคนที่ไม่เหมือนกับพ่อตัวเอง
ที่ผ่านมา เราอาจเคยคิดว่าคนที่น่าดึงดูดอาจเป็นเพราะมีเคมีระหว่างคน 2 คน แต่ถ้ามองลึกลงไป คนรักเรามักมีบางอย่างเชื่อมโยงกับพ่อแม่เราไม่น้อย อันที่จริงก็ไม่แปลกที่เราจะยึดพ่อแม่มาเป็นต้นแบบในการเลือกคนรัก เพราะนี่คือความสัมพันธ์แรกเรารู้จัก จนคิดไปว่าความสัมพันธ์ควรมีหน้าตาเหมือนที่เราเคยเห็นมา
ทำไมความผูกพันระหว่างเรากับพ่อแมถึงส่งผลต่อการเลือกแฟนได้มากขนาดนี้นะ แล้วถ้าเราดันห่างเหินกับพ่อแม่จะก้าวข้ามบาดแผลนี้ยังไงเพื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์ไม่ให้ซ้ำรอยเดิม

เมื่อพ่อแม่คือคนที่สอนให้รู้จักความรักครั้งแรก
เคยสังเกตหรือเปล่าว่าความรักที่ผ่านมามีส่วนไหนที่คล้ายกับพ่อแม่ของตัวเองบ้าง?
หลายครั้ง เรามักดึงดูดหรือถูกดึงดูดโดยคนที่มีส่วนคล้ายกับพ่อแม่ไม่น้อย และสาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะทฤษฎีความผูกพัน (attachment theory) ได้อธิบายว่า ความผูกพันระหว่างเราและผู้ดูแลตั้งแต่ยังเป็นทารก มีผลต่อการสร้างความสัมพันธ์เมื่อเราโตขึ้นด้วย
ดังนั้นความผูกพันที่เราเคยเรียนรู้มาตอนเด็กจึงเปรียบเสมือนพิมพ์เขียว ที่ช่วยให้เรานำไปปรับใช้กับความสัมพันธ์รูปแบบอื่นๆ ซึ่งความผูกพันที่ว่ามีด้วยกัน 4 รูปแบบ คือ ความผูกพันแบบปลอดภัย (secure) วิตกกังวล (anxious) หลีกเลี่ยง (avoidant) และยุ่งเหยิง (disorganized) แต่ละรูปแบบจะเป็นตัวบอกว่าเรามีโอกาสที่จะมีความสัมพันธ์แบบไหนในอนาคต
สำหรับคนที่มีความผูกพันที่มั่นคง พ่อแม่ดูแลเอาใจใส่ทุกครั้งที่ต้องการ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับคนที่มีความผูกพันแบบวิตกกังวล หรือหลีกเลี่ยง อาจเจอความท้าทายในความสัมพันธ์ได้ เพราะการที่พ่อแม่ไม่ได้ให้ความใส่ใจหรือเหินห่าง อาจทำให้เด็กๆ สร้างกลไกป้องกันตัวเอง เช่น การเว้นระยะห่างจากคนอื่นๆ หรือเรียกร้องความสนใจมากเกินไป เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
ดังนั้นในช่วงเวลาที่ต้องสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่เราไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่มั่นคงและปลอดภัยเป็นอย่างไร ก็อาจนำสิ่งที่เคยเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กมาใช้ในความสัมพันธ์ จนดึงดูดคนคล้ายกันเข้ามา เช่น ถ้าเรามีความผูกพันแบบวิตกกังวล เราก็มักดึงดูดคนที่อยากตัวติดกับเราตลอดเวลา หรือพอใจที่อีกฝ่ายเข้ามาจัดการเรื่องของเรา ทั้งที่ความสัมพันธ์นี้อาจทำให้เราไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ก็ได้

การละเลยของพ่อแม่ นอกจากจะทำให้เด็กๆ ขาดความรักและความเอาใจใส่แล้ว ยังทำให้ไม่มีต้นแบบที่ดีในเรื่องความสัมพันธ์ด้วย สก็อต ซิบลีย์ (Scott Sibley) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการพัฒนามนุษย์และวิทยาศาสตร์ครอบครัว อธิบายว่าความสัมพันธ์ของพ่อและลูกสาวมีผลต่อลูกสาวอย่างลึกซึ้ง มากกว่าความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกแบบอื่นๆ ทั้งด้านจิตใจ ความนับถือตัวเอง ความพอใจในชีวิต รวมไปถึงความสัมพันธ์
นั่นหมายความว่ายิ่งพ่อเอาใจใส่ต่อลูกสาว หรืออยู่ข้างๆ เวลาที่พวกเขาต้องการ ก็ยิ่งช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นใจ ไม่ตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษง่ายๆ ในทางตรงข้ามหากลูกสาวถูกละเลยจากพ่อหรือไม่สามารถอยู่ข้างๆ ได้ ทั้งจากการหย่าร้าง หรือถูกทอดทิ้ง ก็อาจทำให้ลูกสาวมีปัญหาในการเชื่อใจ และไม่รู้ว่าควรคาดหวังกับคนรักอย่างไร เพราะไม่เคยเห็นตัวอย่างที่ดีมาก่อน จนสุดท้ายก็อาจตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงอีกครั้ง
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ก็ส่งผลต่อลูกเช่นกัน เพราะแม้ว่าพ่อแม่จะพยายามปิดบังว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ย่ำแย่ขนาดไหน แต่เด็กก็สามารถรับรู้ได้อยู่ดี เพราะพวกเขาคือคนที่คอยเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด จากงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบ ของพ่อแม่ที่หย่าร้างต่อความสัมพันธ์ของวัยรุ่น ในปี 2010 พบว่าการได้ที่ลูกได้เห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน หรืออยู่ด้วยกันอย่างอึดอัด ส่งผลให้พวกเขารู้สึกขาดความมั่นใจ และเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงนิสัยเหล่านั้นเมื่อเริ่มมีความรักเป็นของตัวเอง
สอดคล้องกับการศึกษาในปี 2020 เกี่ยวกับการพัฒนาการด้านความรักของวัยรุ่น พบว่า ลูกที่มองว่าพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี มักนำนิสัยเหล่านี้ มาใช้กับคู่รักของตนเองด้วย ในทางกลับกัน ถ้าลูกมองว่าความสัมพันธ์ของพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี พวกเขาก็มักมองหาคนตรงข้ามกับพ่อแม่ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำผิดพลาดซ้ำเหมือนที่ตัวเองเคยเห็นมา
ทั้งการดึงดูดคนที่คล้ายกันจนอยู่ในวังวนของความรักที่เป็นพิษ หรือการมองหาคนที่เป็นขั้วตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นทางไหน สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพ่อแม่มีส่วนที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกคนรักไม่น้อย ก็เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้เราได้รู้จักความรักครั้งแรกนี่นา

รักครั้งนี้ควรเลือกยังไงดี
แม้เราจะแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาในอดีตไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ของพ่อแม่จะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะต้องอยู่กับคนไม่คู่ควรเสมอไป
อย่างที่บอกไปว่าการดึงดูดใครสักคนไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเพียงอย่างเดียว เพราะยังเป็นเรื่องความคุ้นเคยที่เราได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นการเลือกคนรักก็ยังเป็นสิทธิของเราของเราเต็มที่ และเราเองก็สมควรได้เจอคนดีๆ เช่นกัน เจนนิเฟอร์ เชน (Jennifer Chain) นักจิตวิทยาและเจ้าของคลินิกบำบัด ได้ให้คำแนะนำวิธีก้าวข้ามความเคยชิน สำหรับคนที่เคยมีบาดแผลในอดีต เพื่อให้เรานำไปปรับใช้ ดังนี้
- ลิสต์นิสัยด้านลบ: ลองดูว่ามีนิสัยไม่ดี (อาจจะเป็นแค่นิสัยที่เราไม่ชอบก็ได้นะ) อะไรบ้างที่เรามักถูกดึงดูดให้เข้าหา จากนั้นลองสังเกตดูว่านิสัยเหล่านี้มีอะไรที่คล้ายกับพ่อแม่เราบ้าง เพื่อเตือนให้เรารู้ว่านี่คือนิสัยที่ควรระวัง เช่น เราอาจจะดึงดูดคนที่ไม่ค่อยพูด หรือเก็บตัวเวลาเจอปัญหา แม้จะเป็นนิสัยที่เราเคยชิน แต่ก็อาจทำให้เกิดความเหินห่างตามมาได้
- ลิสต์นิสัยที่ดีของคู่รัก: แม้ว่าข้อนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่เราอาจลองสังเกตความสัมพันธ์หลายๆ รูปแบบ เพื่อหาว่าสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์เรามั่นคงและสบายใจมีอะไรบ้าง โดยสิ่งเหล่านี้ต้องไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้อย่างผิวเผิน เช่น หน้าตา รูปร่าง ฐานะ หรือการศึกษา แต่ควรจะเป็นเรื่อง การสื่อสาร ความใจดี การปรับตัว ความเคารพ ความเชื่อใจ หรือความซื่อสัตย์
- ฝึกตัวเองให้มีความสงบในใจ: หากเราเติบโตมากับพ่อแม่ที่ไม่ได้ตอบสนองความต้องการ เราอาจเข้าใจว่าการที่มีคนทำให้เรารู้สึกสุขหรือเศร้ามากๆ คือเรื่องปกติของความรัก แต่ที่จริงความรู้สึกแบบรถไฟเหาะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมักไม่ใช่ความรักที่ดี เพราะความรักที่ดีมักทำให้เรารู้สึกปลอดภัย และเรียบง่าย แม้อาจจะทำให้รู้สึกเบื่อในช่วงแรก แต่การค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้เราพัฒนาความสัมพันธ์ได้อย่างมั่นคง
แม้ว่าบาดแผลในวัยเด็กอาจทำให้เราไม่มั่นใจในการสร้างความสัมพันธ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดอนาคต เราเองก็สมควรได้เจอคนที่คู่ควรและได้รับความรักที่ดีเหมือนกันนะ
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Manita Boonyong
Editorial Staff: Runchana Siripraphasuk