ว่ากันว่าตอนเราตกหลุมรัก ทุกอย่างจะเป็นสีแดงสด ทั้งโรแมนติก เร่าร้อน และตื่นเต้น แต่เมื่อไฟในใจมอดลง สีแดงสดจะกลายเป็นสีสนิม หมองหม่นที่กัดกินใจของเราทั้ง 2 คนอย่างเชื่องช้า ก่อนที่จะมีใครสักคนที่รู้สึกหมดรัก และเลือกที่จะเดินจากไป
โทรศัพท์ที่ไม่เคยอยู่ห่างจากมือ เราคุยกันทุกเช้าค่ำถึงทุกเรื่องบนโลก แต่วันนี้กลับไม่มีการแจ้งเตือนแม้แต่ข้อความเดียว มือที่เคยกุมไว้แล้วรู้สึกอบอุ่น กลับกลายเป็นว่าเริ่มเกรงใจที่จะเอื้อมไปสัมผัส คำว่ารักที่เคยพร่ำบอกทุกวัน กลับกลายเป็นความเงียบงัน ระหว่างเราสองคนมันยังเหมือนเดิมอยู่ไหม
ใครปล่อยมือก่อน เจ็บน้อยกว่า
เป็นเหมือนกฎ (ที่ไม่เคยมีใครบอกกัน) ของความสัมพันธ์ที่ว่า ใครปล่อยมือก่อน จะเจ็บน้อยกว่า แม้เราจะตกลงกันอย่างดิบดีในตอนแรกว่า ถ้าวันไหนที่รู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้มันไม่เวิร์ค ให้ลองคุยกันก่อนนะ หรือไม่ก็ ถ้าอยากเดินออกจากความสัมพันธ์ ให้เดินออกไปพร้อมกัน อย่าทิ้งใครไว้ข้างหลังนะ แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ ในความสัมพันธ์ไม่เคยมีใครก้าวเดินไปพร้อมกัน แต่จะมีฝ่ายหนึ่งที่เริ่มรู้สึกน้อยลง และเริ่มมีความคิดที่ว่าอยากจะพอแล้วกับความสัมพันธ์นี้
สิ่งที่เจ็บปวดก็คือ ความคิดอยากหยุดความสัมพันธ์ไม่เคยถูกส่งไปถึงอีกฝ่าย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของความกลัวว่าความสัมพันธ์จะจบเร็วเกินไป เหตุผลของการขอเวลาทำใจ หรือเหตุผลของการไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น คนที่รู้ก่อนว่ากำลังจะมีคนปล่อยมือจากความสัมพันธ์นี้ คือเพื่อนที่ใกล้ชิด หลังจากที่ปรึกษาทั้งเพื่อน ครอบครัว หมอดู หรือใครก็ตามที่สามารถปรึกษาได้ แต่ไม่ใช่คนรัก (ที่กำลังจะถูกบอกเลิก)
ความสัมพันธ์จะเริ่มเปลี่ยนไปราวกับช่วงเวลาที่เคยมีความสุขด้วยกันมันเป็นความฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้น ความเศร้าที่บอกเหตุผลออกไปไม่ได้จะเข้ามาแทนที่ เราไม่โทรคุยกันทุกคืนเหมือนเคย เราทะเลาะกันในเรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้ เราเงียบใส่กันทั้งที่ก่อนหน้านี้มีอะไรก็คุยกันตลอด เพราะมีฝ่ายหนึ่งที่กำลังเตรียมใจสำหรับการเลิกรา โดยที่อีกฝ่ายที่ไม่รู้อะไรเลย และพยายามจะซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมได้
เมื่อเราเริ่มรู้ตัวว่าเขาอยากปล่อยมือ
เราไม่อาจบอกได้ว่าใครกำลังวางแผนจะปล่อยมือจากความสัมพันธ์ แต่ก็อาจเดาได้จากการกระทำที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกรักไม่ได้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาแล้วก็จบไป แต่เป็นความรู้สึกที่จะอยู่ได้นานยิ่งขึ้นเมื่อเราปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จอห์น ก็อตต์แมน (John Gottman) นักวิจัยที่ค้นคว้าเรื่องความสัมพันธ์ เขาใช้เวลากว่า 25 ปี ในการสังเกตการปฏิสัมพันธ์กันของคู่รัก และพบว่ามีพฤติกรรม 4 อย่างที่นำไปสู่การหมดรักและการเลิกราในที่สุด
อันดับแรกเลยคือ การกล่าวหากัน ไม่ว่าจะเกิดการไม่เข้าใจกันในเรื่องอะไรก็ตาม จะมีการโทษอีกฝ่ายอยู่เสมอ หรือการทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด อันดับที่ 2 คือ การปิดใจไม่รับความคิดเห็น เมื่อมีเรื่องที่ต้องการจะพูดให้เกิดการปรับปรุงความสัมพันธ์ อีกฝ่ายกลับไม่รับรู้ ไม่รับฟัง หลีกเลี่ยงที่จะฟัง หรือแก้ตัวตลอดเวลาโดยที่ไม่แก้ไขอะไรเลย
อันดับ 3 คือ การแสดงสีหน้าและท่าทางไม่พอใจ ไม่ว่าจะในรูปแบบของการชักสีหน้า ขึ้นเสียง พูดจายอกย้อน หรือภาษากายที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจก็สามารถทำร้ายความสัมพันธ์ได้ในระยะยาว และอันดับ 4 คือ ความเงียบ บ่อยครั้งที่การทะเลาะกันจะจบที่ความเงียบ ไม่คุยกันไปอีกหลายชั่วโมง หรือการหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ราวกับว่าจะลงโทษอีกฝ่ายด้วยการเมิน
ถ้าความสัมพันธ์เริ่มมีพฤติกรรมเหล่านี้เข้ามา การพยายามซ่อมแซมด้วยตัวเองอาจจะไม่พอที่จะทำให้ความสัมพันธ์กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ในเมื่อความสัมพันธ์เริ่มจากคน 2 คน ตอนที่ซ่อมมันก็ต้องอาศัยความตั้งใจจากคนทั้ง 2 เช่นกัน ก่อนที่จะสายเกินไป ดร.โจชัว คลาพาว (Dr. Joshua Klapow)นักจิตวิทยาคลินิกได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ให้ลองถามคำถามที่ตรงไปตรงมาอย่าง “ช่วงนี้เป็นอะไรหรือเปล่า” อธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาให้เขาได้รู้ ตอนนี้ความสัมพันธ์เรากำลังเปลี่ยนไป พอจะมีวิธีไหนบ้างไหมที่ทำให้มันกลับมาดีเหมือนเดิม และรับฟังอย่างเข้าใจ อย่าเพิ่งเถียงกัน
และหลังจากคุยกัน อย่าเพิ่งตัดสินใจในทันทีว่าเราจะปล่อยมือจากกันเลยหรือยัง แต่ให้เวลาต่างฝ่ายได้ซ่อมแซมความสัมพันธ์ด้วยกันก่อน เพราะความรักเป็นความรู้สึกที่สามารถเข้มข้นขึ้นและจางหายไปได้ ถ้ายังมีโอกาสและความตั้งใจ เราสามารถซ่อมได้เสมอ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่ามันจะดีขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ เพราะความรักก็เป็นความรู้สึก และเมื่อขึ้นชื่อว่าความรู้สึก ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมาบังคับกันได้
คนที่เรารักที่สุดไม่ใช่เขา แต่ต้องเป็นตัวเราเอง
แล้วในวันหนึ่ง เขาก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงตัวเรากับใจที่แตกสลาย เราจะถามตัวเองด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบว่า เราทำอะไรผิดไปตอนไหน ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป เดินจากไปโดยไม่บอกอะไรกันสักคำ ตลอดเวลาที่ต้องเฝ้ามองเขาหมดรักเราในทุกวันก็เจ็บแล้ว แต่ในวันที่ความสัมพันธ์จบลง การได้เห็นว่าเขาทำใจได้เร็วมาก หลังจากเลิกกับเราไม่นานก็กลับมามีความสุขได้แล้ว มันเจ็บกว่าอีกนะ นี่เขาไม่เสียใจบ้างเลยหรือยังไง
เขาหมดรักจากเราไปแล้ว แล้วเรายังรักเขาได้อยู่หรือเปล่า แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไขคือการที่เรารักใครสักคนขนาดที่ว่า เรายังรักเขาได้อยู่ ในวันที่เขาไม่สามารถรักเราได้อีกต่อไปแล้ว แต่ คิม อีเกล (Kim Egel) นักบำบัดด้านความสัมพันธ์และครอบครัวชี้เอาไว้ว่า ความรู้สึกอาลัยที่เกิดจากการรักข้างเดียวนั้นสามารถส่งผลกระทบกับสุขภาพจิตและระดับความเครียดของเราได้
การกลับมารักตัวเองให้มากที่สุด คือเรื่องสำคัญหลังจากการเลิกรา เก็บคำถามที่ไม่มีคำตอบไว้ในกล่องแล้วโยนออกนอกหน้าต่างไปเลย เราไม่จำเป็นต้องหาคำตอบว่าเราทำผิดไปตอนไหน มันจะตอกย้ำใจเราด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่คนที่เดินจากเราไปก็อาจไม่มีคำตอบให้เหมือนกัน ใช้เวลาที่มีกับการเข้าใจตัวเอง ดูแลตัวเองให้มากขึ้น เขียนบันทึกอารมณ์ตัวเองในทุกวัน ถ้าวันไหนอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาได้ ไม่จำเป็นต้องเก็บน้ำตาเอาไว้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการซ่อมแซมใจที่แตกสลาย
และจนถึงวันหนึ่ง เราจะพบว่าเพลงเศร้าที่เคยฟังมันไม่ได้เศร้าเหมือนเคย น้ำตาที่แวะมาเยี่ยมเยียนทุกคืนก็หายไปแล้ว คำถามที่เคยถามตัวเองซ้ำไปมาก็ไม่กลับมากวนใจอีก เมื่อเรารักตัวเองได้อย่างแท้จริง เราก็จะพร้อมเดินทางตามหาความรักครั้งใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้อีกครั้งอย่างสวยงาม
บางความสัมพันธ์อาจฝากรอยร้าวไว้ในใจเราได้ก็จริง แต่สักวันเราจะเข้มแข็งพอที่จะเรียนรู้และเติบโตจากมัน
อ้างอิงจาก