“เรื่องแค่นี้ธรรมดามากเลย คิดว่าทุกคนทำได้ซะอีก”
“เหนื่อยมาก แต่ทำไงได้ ก็มีแต่เราที่จัดการปัญหานี้ได้คนเดียวนี่นา”
เสียงแว่วๆ ลอยมาตามลม เอาอีกแล้วสินะ คนที่อยากแตกต่างกว่าใคร
ดูเผินๆ อาจเหมือนว่าพวกเขากำลังตัดพ้อต่อความยากลำบาก หรือรู้สึกประหลาดใจในความปกติธรรมดาของคนอื่น แต่หลายครั้งเรากลับจับน้ำเสียงได้ว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายตรงตัว หากแต่อยากให้คนอื่นรู้ถึงความพิเศษไม่เหมือนใครของตัวเองมากกว่า
ใจหนึ่งก็คิดว่าเขาอาจจะต้องการระบายออกมาจริงๆ แต่ไม่ว่าจะลองมองมุมกลับ ปรับมุมมองแค่ไหน ภายใต้ประโยคเหล่านั้น เรากลับไม่ได้อยากช่วยเหลือหรือดีใจกับคำพูดเหล่านั้นเลยสักนิด เข้าทำนองว่าคำพูดมากมาย ความหมายตัวเองดีกว่าใครชัดๆ
แล้วทำไมบางคนถึงเลือกแสดงความถ่อมตัวก่อนจะโอ้อวดไปเลยตรงๆ นะ?

Humblebragging เมื่อคนเราอยากอวดตัว แต่ก็อยากเป็นที่รัก
คงเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจไม่น้อย หากเราต้องอยู่กับคนที่อวดอ้างสรรพคุณของตัวเองตลอดเวลา เพราะไม่ว่าจะเป็นหัวข้อไหนๆ พวกเขาก็มักจะต้องเป็นตัวเด่นได้เสมอ หากไม่เป็นเรื่องความเก่ง ก็อาจจะเป็นเรื่องเงินทอง หรือหน้าตา ราวกับว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อพวกเขาอย่างเหมาะเจาะพอดี
แม้การอวดตัวเองจะทำให้คนที่ฟังต้องเบือนหน้าหนี หรือยิ้มแหะๆ เป็นกำลัง (ให้กับความพยายาม) แต่ก็ต้องยอมรับว่าการโอ้อวดก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคน เพราะสิ่งนี้คือการแสดงออกแบบหนึ่งเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองให้คนอื่นรู้สึกดี เห็นเราเป็นคนน่าคบหา หลายคนจึงใช้การโอ้อวดในที่ทำงาน หรือวงสนทนาเล็กๆ เพื่อสร้างความประทับใจให้คนอื่นรับรู้ว่าเราเองก็มีความสามารถเหมือนกัน
แต่การจะโอ้อวดออกไปอย่างโจ่งแจ้งก็คงทำให้คนรอบข้างเอือมระอาได้น่ะสิ ดังนั้นแล้วหลายคนจึงอาจใช้วิธี Humblebragging หรือการโอ้อวดแบบถ่อมตัว ด้วยการแฝงความสำเร็จไปความประหลาดใจ เพื่อให้การโอ้อวดแนบเนียนจนคนจับไม่ได้แทน
ไม่เพียงแต่ในชีวิตประจำวัน Humblebragging ยังมักพบเห็นได้ทั่วไปบนโซเชียลมีเดีย จากงานวิจัยด้านภาษาศาสตร์ เกี่ยวกับการใช้การโอ้อวดแบบถ่อมตัวบนอินเทอร์เน็ต ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Pragmatics and Discourse Analysis ปี 2025 อธิบายว่าสาเหตุที่เราเห็น Humble-bragging บ่อยๆ บนโลกออนไลน์ เพราะหลายคนต้องการบาลานซ์ระหว่างการเป็นที่ชื่นชอบและการสร้างภาพลักษณ์ของตัวเอง เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มักเป็นพื้นที่ให้เราได้รับคำชื่นชมและความสนใจจากผู้ที่ติดตาม ดังนั้นแล้วแทนที่จะอวดไปตรงๆ ให้คนหมั่นไส้ หลายคนจึงเลือกวิธีนี้ เพื่อให้ตัวเองไม่โดดเด่นเกินไป
นอกจากนี้ ในงานวิจัยยังสรุปรูปแบบที่ผู้คนมักใช้บ่อยๆ ซึ่งแฝงไปกับบทสนทนาอย่างแนบเนียน เช่น มักใช้คำที่แสดงถึงสิ่งไม่คาดฝัน คำที่ใช้สำหรับประเมินค่า หรือมีคำลดทอนเจตนาเข้าไปด้วย อย่างพวก ‘ไม่น่าเชื่อ’ ‘น่าทึ่งมาก’ หรือ‘ไม่คิดเลยว่า’ เพื่อชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของตัวเองดูยิ่งใหญ่ แต่ผู้พูดดูเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ตั้งใจจะอวด แถมยังรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้รับ เพื่อให้การโอ้อวดดูเบาลง ทั้งที่จริงหากตัดคำเหล่านี้ออกไป เรามักจะเห็นถึงความสำเร็จ ซึ่งเป็นใจความที่คนเหล่านี้อยากให้คนอื่นเห็น
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น “เหนื่อยมากเลย ตั้งแต่พิธีรับรางวัลก็มีสื่อมาติดต่อมาสัมภาษณ์ตั้งหลายเจ้าแหน่ะ” หรือ “ใครจะไปคิดว่าไปเที่ยวตั้ง 2 เดือน จะเหนื่อยขนาดนี้” ประโยคเหล่านี้แม้ดูเผินๆ จะเหมือนเป็นเรื่องไม่ดี เพราะคงไม่มีใครอยากเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่กลายเป็นว่าต้นเหตุของความเหนื่อยนั้นกลับเป็นความสำเร็จที่พึงพอใจแทน แถมผู้พูดยังอธิบายออกมาได้อย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ทำให้เรารับรู้ได้ว่าเป็นการโอ้อวดอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากเพื่อสร้างภาพลักษณ์แล้ว ในทางจิตวิทยายังอธิบายคนที่อวดอ้างตัวเองอยู่บ่อยๆ มักเกิดจากความไม่มั่นคงภายในด้วย ซูซาน วิทเบิร์น (Susan Whitbourne) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมอง มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ อธิบายว่า คนที่โอ้อวดมักมีความไม่มั่นคงทางใจ จึงมักกดทับผู้อื่นเพื่อทำให้รู้สึกเหนือกว่าผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่มีแนวโน้มเป็นนาร์ซิสซิสต์ โดยอาจสังเกตได้จากการทำให้เรารู้สึกด้อยกว่า หรือต้องโชว์ความสำเร็จตลอดเวลา ซึ่งทำได้หลากหลายรูปแบบทั้งอวดแบบโจ่งแจ้ง หรือแม้แต่อวดแบบถ่อมตัว
จึงไม่แปลกหากบางครั้งเราพบเจอคนใช้วิธีโอ้อวดอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นวิธีที่ทำให้พวกเขายังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า แม้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่แค่ไหนก็ตาม

รับมือยังไงเมื่อเจอคนโอ้อวด
แม้หลายคนจะใช้การโอ้อวดแบบถ่อมตัวเพื่อให้คนอื่นเอ็นดูหรือรู้สึกเคารพ แต่อันที่จริงขึ้นชื่อว่าการโอ้อวดยังไงก็คงไม่มีใครชื่นชอบ ยิ่งเป็นการถ่อมตัวแบบปลอมๆ ด้วยแล้ว นอกจากอีกฝ่ายจะดูออก ยังพาลให้คนพากันเบือนหน้าหนี เพราะดูไม่จริงใจมากกว่าการโอ้อวดแบบตรงๆ ซะอีก
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เราตกเป็นเครื่องมือของคนที่ยกตนให้สูงกว่าคนอื่น แอนเดรีย โปลาร์ด (Andrea Polard) นักจิตวิทยาก็ได้แนะนำวิธีรับมือกับคนประเภทนี้ไว้ให้เรานำไปปรับใช้กัน
- ลองเปลี่ยนเรื่องคุย: ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึงความสำเร็จของตัวเองอย่างออกรส เราอาจรีบชิงหาจังหวะพูดเรื่องดินฟ้าอากาศขึ้นมาทันที เพื่อดึงให้หัวข้อสนทนากลับมาอยู่ที่เรื่องอื่นๆ นอกจากนี้การเปลี่ยนหัวข้อหมายถึงการบอกว่าเราไม่ได้ประทับใจหรือชื่นชมใครง่ายๆ ซึ่งทำให้คนโอ้อวดรู้สึกอึดอัดใจที่จะเล่าเรื่องของตัวเองต่อไป จนเงียบไปเองในที่สุด
- พูดถึงข้อดีของคนไม่ขี้อวด: ลองเปรยถึงคนอื่นๆ ดูแล้วเล่าถึงความน่ารักและถ่อมตัวของเขาบอก เพื่อเตือนใจให้คนขี้โม้รู้สักหน่อยว่าเราไม่ได้ชื่นชอบคนขี้อวดสักนิด เช่น “หูย พี่คนนั้นนิสัยดีมากๆ เลย ไม่ขี้โม้ด้วย” หรืออาจจะลองอวดตัวเองกลับไปบ้าง ก่อนตบท้ายว่า “อุ้ย ขอโทษนะคะ เมื่อกี้พูดจาขี้อวดไปหน่อย ไม่ดีเลยเนอะ เดี๋ยวคนอื่นจะรู้สึกแย่กันเปล่าๆ” เป็นการส่งสัญญาณว่าตรงนี้คือเขตปลอดคนขี้อวด
- บอกเรื่องนี้กับเจ้าตัว: หากคนขี้อวดคนนั้นเป็นคนใกล้ตัว เราอาจใช้วิธีพูดคุยตรงๆ ว่าเรารู้สึกยังไงกับนิสัยนี้ของเขา เช่นว่า รู้ตัวหรือเปล่าว่าเวลาที่คุยกันเราแทบไม่ได้เป็นคนพูดเลย หรือชักชวนให้เขาพูดความสำเร็จออกมาตรงๆ โดยไม่ต้องพูดอ้อมๆ แสดงตัวว่าเราพร้อมจะซัพพอร์ตเขาอยู่แล้วเพื่อให้เขาปรับปรุงตัวเอง เพราะบางคนอาจไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเผลอทำให้คนอื่นรู้สึกแย่
- ติดต่อให้น้อยที่สุด: บางครั้งก็ไม่ใช่ทุกคนจะเปลี่ยนแปลงนิสัยนี้ และเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกับทุกคน การถอยห่างจากความสัมพันธ์นี้อย่างน้อยก็ช่วยให้เราไม่ต้องรู้สึกแย่มากกว่าเดิม แถมระยะห่างอาจช่วยให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย และปล่อยวางได้ง่ายขึ้นเพราะเมื่อเราเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังดิ้นรนเพื่อให้คนอื่นมองในแง่ดีมากเท่าไหร่ เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์ของอีกฝ่ายง่ายขึ้นเท่านั้น
ไม่ผิดเลยหากเราจะพูดถึงข้อดีของตัวเองอย่างภูมิใจ เพราะอย่างน้อยก็ช่วยให้เรารู้สึกมีคุณค่า แต่ทางที่ดีเราก็ควรพูดออกมาอย่างเต็มปาก แทนการแฝงเจตนาอื่นๆ ไว้ดีกว่านะ
อ้างอิงจาก