ว่ากันว่าเมื่อสัตว์เลี้ยงของเราจากเราไป พวกมันจะเดินทางไปยังดินแดนแห่งหนึ่ง โลกหลังความตายของพวกมันจะรายล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี สัตว์เลี้ยงที่เรารักจะฟื้นคืนสู่ความแข็งแรงและวัยเยาว์ พวกมันจะวิ่งเล่นได้อย่างสบายใจ มีอาหาร น้ำ และเพื่อนพ้องสัตว์ด้วยกัน
ทว่าในความสุขอันอุดมของสวรรค์สัตว์เลี้ยงนั้น พวกมันยังคงคิดถึงเจ้าของที่ยังคงมีชีวิตต่อไปอยู่บนโลก และในที่แห่งนั้น ในทุ่งหญ้ากว้างและดินแดนที่แสงแดดสดใส จะมีสะพานสายรุ้งทอดลงมาสายหนึ่ง เมื่อวันที่มนุษย์เช่นเราจากโลกใบนี้ไป เราเองก็จะเดินทางไปที่ทุ่งหญ้าแห่งนั้น
ในวันที่เราเดินทางไปถึง พวกมันจะวิ่งมาหา เป็นการพบหน้ากันหลังจากการจากลาอันยาวนาน การพบกันครั้งสุดท้ายนั้นเจ้าของและสัตว์เลี้ยงจะพากันเดินข้ามสะพานสายรุ้ง สัตว์เลี้ยงที่แม้จะหายไปจากโลก แต่ไม่เคยหายไปจากใจของเรา
การพบพานและข้ามสะพานสายรุ้งด้วยกัน คือการอยู่ร่วมกันอีกครั้งของเราและสัตว์เลี้ยงบนสรวงสรรค์ที่ไม่มีวันแยกจากกันอีก ถ้าสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์มีจริง ทุ่งหญ้า สะพานสายรุ้ง และการได้พบกับหมาแมวที่จากเราไป และไม่มีวันแยกจากกันอีกครั้ง คงเป็นสวรรค์ที่ใครหลายคนนึกฝันจะได้ไปในที่ที่มีความสุขที่สุดอย่างแท้จริงโลกหนึ่ง
ความเชื่อเรื่องสวรรค์ของสัตว์เลี้ยง คือทุ่งหญ้าสีเขียวและสะพานสายรุ้ง เป็นเรื่องเล่าหรือการวาดภาพชีวิตหลังความตายและสวรรค์ของสัตว์เลี้ยง (Pet Heaven) แนวคิดเรื่องสวรรค์สัตว์เลี้ยงในโลกตะวันตก ค่อนข้างอิงกับความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายในฐานะดินแดนอันเป็นนิรันดร์ ถ้าเป็นบ้านเราก็มีความคล้ายกันเมื่อเราพูดถึง ‘ดาวหมา-ดาวแมว’ เป็นที่ที่เหล่าหมาแมวเดินทางจากมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเรา ก่อนจะเดินทางกลับดินแดนของตัวเองไป
เรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกหลังความตายของสัตว์เลี้ยง ตำนานเรื่องการแยกจากและการร่วมกันข้ามสะพานสายรุ้ง ค่อนข้างเป็นภาพจำที่แพร่หลาย และเป็นเรื่องเล่าที่ปรากฏแม้แต่ในพื้นที่อย่างโรงพยาบาลสัตว์ ที่มาของสะพานสายรุ้งเพิ่งจะได้รับการเปิดเผย ซึ่งเก่าแก่และเป็นถ้อยคำของเด็กสาวคนหนึ่งที่สูญเสียสุนัขลาบราดอร์ที่เธอรักไป โดยเธอได้เขียนเป็นบทกวีชื่อสะพานสายรุ้งขึ้น
สะพานสายรุ้ง เรื่องเล่าของเอ็ดนาและเจ้าเมเจอร์
จริงๆ นอกจากจะมีตำนานหรือคำพูดให้กำลังใจ เช่น หมาทุกตัวจะได้ไปสวรรค์ (All Dogs Go to Heaven) แนวคิดเรื่องสะพานสายรุ้งนี้เป็นข้อเขียนสั้นๆ 3 ย่อหน้าที่ใช้ชื่อเดียวกันคือ Rainbow Bridge ข้อเขียนนั้นฮิตถึงขนาดที่ว่าในทศวรรษ 1990 คลินิกสัตว์เลี้ยงมักจะแปะเจ้าข้อเขียนนี้ ไปจนถึงภาพสะพานสายรุ้งไว้ที่คลินิกสัตว์ด้วย
ด้วยความฮิตของตำนานสะพานสายรุ้ง และการเดินข้ามสะพานเพื่ออยู่ร่วมกันอีกครั้ง จึงมีคนเคลมว่าตัวเองเป็นคนเขียนบทกวี หรือข้อเขียนต่างๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจของสะพานสายรุ้ง ซึ่งมีการเคลมตั้งแต่ว่าเขียนในช่วงทศวรรษ 1890 บ้าง ทศวรรษ 1990 บ้าง แต่ล่าสุดเมื่อปี 2023 ทาง National Geographic เพิ่งลงบทความและหลักฐานยืนยันว่าข้อเขียนเรื่องสะพานสายรุ้งนั้นเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1959
ที่มาของเรื่องเล่าตำนานสะพานสายรุ้งมาจากผู้เขียน ซึ่งปัจจุบันเป็นคุณยายและศิลปินชาวสกอตแลนด์วัย 82 ปี ชื่อเอ็ดนา ไคลน์-เรฮี (Edna Clyne-Rekhy) เธอให้สัมภาษณ์ว่า เธอไม่รู้เลยว่าข้อเขียนของเธอจะสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างขนาดนี้ ทั้งนี้คุณยายเอ็ดนายังเล่าให้ฟังว่า ข้อเขียนของเธอเกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีก่อนในตอนที่เธอสูญเสียเจ้าเมเจอร์ สุนัขลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ที่ตายในอ้อมแขนของเธอ
แน่นอนว่าเด็กสาววัย 19 ปี ซึ่งสูญเสียสุนัขที่เติบโตมาด้วยกันนั้นใจสลายแค่ไหน เด็กหญิงเอ็ดนาในตอนนั้นไม่สามารถทำใจได้ เธอร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแม่ของเธอบอกกับเธอว่า ให้เธอลองเขียนความรู้สึกนั้นลงในกระดาษดู ผลคือเธอเขียนเรื่องราวดินแดนอีกดินแดนหนึ่ง พร้อมด้วยเรื่องเล่าที่เราจะได้กลับไปเจอสัตว์เลี้ยงอีกครั้ง และเธอตั้งชื่อมันอย่างเรียบง่ายว่า Rainbow Bridge ซึ่งปัจจุบันยังมีหลักฐานเป็นกระดาษและลายมือหวัดๆ ที่มีข้อความเรื่องสะพานสายรุ้งอยู่
ความน่าสนใจของการสูญเสียคือ เอ็ดนาเองก็ยังคงรักษาเรื่องเล่าจากการสูญเสียสุนัขไป หลังจากนั้นเธอยังนำข้อเขียนไปให้คนที่สูญเสียสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงที่รักดูเป็นครั้งคราว ซึ่งเธอไม่ได้นำเอาเรื่องสะพานสายรุ้งไปตีพิมพ์ โดยเอ็ดนาเล่าว่าเธอเองจะนำข้อความนั้นๆ ให้คนที่สูญเสียสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงอ่าน ทุกคนร้องไห้ และขอให้เธอคัดลอกข้อความส่งต่อให้
น่าสนใจว่าการส่งต่อและร่วมกันเยียวยานี้อาจแพร่กระจายต่อไป จนสุดท้ายกลายเป็นเรื่องเล่ามาตรฐานของโลกสัตว์เลี้ยงไปจนถึงโรงพยาบาลสัตว์ กลายเป็นเรื่องราวและเสียงที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงใช้รักษา หรือเยียวยาความเศร้าโศกอย่างมากมาย โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ถึงพลังของข้อเขียนและจินตนาการของเธอเลย
ดาวหมา-ดาวแมว สะพานสายรุ้ง และตำนานที่ช่วยรักษาหัวใจมนุษย์
คุณเคยสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่รักไหม? เราเชื่อว่าหลายคนยังทำใจไม่ได้ การสูญเสียพวกมันหลายครั้งแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราเองก็ยังคงคิดถึงมันอยู่ในทุกๆ วัน ซึ่งงานศึกษาจากฮาวายในปี 2017 พบว่า 30% ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยังคงเศร้าโศกยาวนานเป็นเวลา 6 เดือน หรือมากกว่านั้น
อีกด้านหนึ่ง หลายครั้งการตายของพวกมันไม่ว่าจะด้วยอายุขัย หรือเหตุอื่นๆ สัตว์เลี้ยงมักสัมพันธ์กับความทุกข์ทรมาน การเจ็บป่วยของสัตว์เช่นสุนัขมักเกิดขึ้น และทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว และด้วยเงื่อนไขด้านอายุขัย พวกมันก็มีอายุสั้นกว่าเรามาก สัตว์เลี้ยงตายก่อนเราจึงเป็นเรื่องธรรมดาและเข้าใจได้ แต่ในทางความรู้สึกก็เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต
ดังนั้นการวาดภาพดินแดนแสนไกล โลกอีกใบที่อุดมสมบูรณ์จึงเป็นการร่วมรับมือกับความสูญเสีย และความเจ็บปวดของเราในฐานะเจ้าของ อันที่จริงในมิติทางตะวันตก ในทางศาสนาบนสวรรค์จริงๆ ไม่มีสัตว์เลี้ยง เราจะเห็นว่าเรื่องเล่าสำคัญคือ ทุ่งหญ้าและสะพานสายรุ้งค่อนข้างพ้องกับภาพโลกหลังความตายในปกรณัมโบราณ ซึ่งคุณยายเอ็ดนาเป็นชาวสกอตแลนด์ สะพานสายรุ้งและทุ่งหญ้าก็น่าจะได้อิทธิพลมาจากสะพานไบฟรอสต์ และแนวคิดเรื่องวัลฮัลลา (Valhalla) หรือเกาะเอลลิเซียม (Elysium) เกาะแห่งความผาสุขในตำนานกรีก
สำหรับบ้านเราเอง เราอาจจะไม่ค่อยมีแนวคิดที่นิยามดินแดนหลังความตายเป็นสวรรค์ แต่เชื่อว่าในใจใครหลายคน ถึงเราจะพูดคำว่า ดาวหมา-ดาวแมว เราเองก็จะเห็นภาพดินแดนธรรมชาติอันเป็นบรมสุข เป็นที่ที่สัตว์เลี้ยงทั้งหลายของเราจะได้กลับไปวิ่งเล่นได้อย่างสนุกใจ ในนิยามของดาวหมา-ดาวแมว เราอาจไม่ได้หวังว่าจะได้กลับไปเจอพวกมันอีกครั้ง แต่เรามองว่าโลกอีกใบที่แสนน่ารัก และเต็มไปด้วยความดีงามของพวกมัน คือดินแดนที่พวกมันจากมาและเดินทางกลับไป
ดาวหมา-ดาวแมวเป็นอีกโลกของพวกมัน ที่เราเองก็นึกภาพและคงได้แต่ฝากความคิดถึงไป เมื่อหมาแมวเดินทางกลับไป เราก็ฝากเอาความคิดถึงไปยังอีกโลกหนึ่งของพวกมันด้วย ขอให้วิ่งเล่นอย่างสนุก กินของชอบให้อิ่ม ไม่เจ็บป่วย ไม่ทรมานอีกต่อไป และพวกมันจะอยู่ในใจของเราเสมอ
ประเด็นเรื่องดาวหมา-ดาวแมว ไปจนถึงเรื่องเล่าที่เป็นรูปธรรมอย่างสะพานสายรุ้ง จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่เราเล่าออกมา และนึกฝันขึ้นร่วมกัน เป็นหนึ่งในการรับมือกับประสบการณ์พื้นฐานอย่างการสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่เรารัก การรับมือกับความเจ็บปวด และความทรมานของพวกมัน ซึ่งทั้งดาวหมา-ดาวแมวและทุ่งหญ้านั้น แม้ว่าจะถูกพูดถึงในรายละเอียดที่ต่างกันเล็กน้อย แต่ภาพการนำเอาเจ้าตัวแสบทั้งหลายของเราเข้าไปไว้ในดินแดนสุดท้าย ซึ่งจริงๆ คือดินแดนในจินตนาการ ก็คงเป็นสิ่งที่คนรักสัตว์อย่างเราๆ ทำกัน
แด่…ทุกการเดินของเจ้าสี่ขา และจนกว่าเราจะได้พบกันใหม่
อ้างอิงจาก