หลายคนแบกเอาความฝันขึ้นบ่า ตั้งเป้าหมายไว้เป็นเส้นชัย ให้ความรักเป็นดั่งน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจ ให้มีแรงเดินหน้า ชีวิตที่ถูกโอบอุ้มด้วยความรัก เดินหน้าด้วยความฝัน แต่ถ้าวันหนึ่งทั้งสองสิ่งไม่อาจมาบรรจบกัน เราจะสามารถตัดใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือเปล่า?
ในช่วงชีวิตหนึ่ง เรามีความรักเป็นดั่งแรงขับเคลื่อนหลักในชีวิต เฝ้าฝันถึงวันที่จะได้มีกัน แต่เมื่อผ่านมาถึงช่วงเวลาที่ต้องเดินหน้าต่อนั้น กลับเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เราได้เรียนรู้แล้วว่า แค่ความรักเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอให้ทั้งสองคนอยู่ข้างกันไปจนวันสุดท้าย คู่รักหลายคู่ จึงมักเจอกับปัญหาความรักและความฝันไม่อาจไปด้วยกันได้ในชีวิตจริง
หากยังไม่เห็นภาพ เราขอภายมือไปที่ภาพยนตร์รักรสขม ‘La La Land นครดารา’ กับเนื้อเรื่องแสนธรรมดาอย่างความรักไม่ลงเอยกับความฝันอย่างที่เรากล่าวไปข้างต้น แต่ทำไมเนื้อเรื่องนี้ยังขายได้และทัชใจผู้คนจนถึงปัจจุบัน นั่นก็เพราะมันเป็นเรื่องที่พร้อมจะเกิดขึ้นกับเราทุกคนยังไงล่ะ…
บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ La La Land นครดารา
‘เซบาสเตียน’ และ ‘มีอา’ ก่อร่างสร้างสัมพันธ์รักใน ฮอลลีวูดเป็นดั่งนครดาราเหมือนชื่อเรื่อง ทั้งคู่ต่างมีความฝัน มีความทะยานอยากจะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง ต่างคนต่างคิดว่าความรักจะคอยผลักดันให้พวกเขาได้ไปถึงวันนั้นได้ง่ายขึ้น แต่ต่างคนต่างเป้าหมาย มีอาเองเห็นว่าทางเดินที่เซบาสเตียนเลือก อาจจะยังไม่ใช่ทางที่ถูกนัก มีอาเชื่อว่าเขาสามารถเป็นนักดนตรีแจ๊ซชื่อดังได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องทนทำวงดนตรีในรูปแบบที่เขาไม่ชอบ สุดท้ายเองจะเสียทั้งเวลาและตัวตนในที่สุด แต่เซบาสเตียนมองว่า นี่เป็นการปูทางที่ดีให้กับตัวเองและไม่เชื่อว่ามีอาจะไปได้ไกลอย่างที่เธอฝัน จึงเลือกซัพพอร์ตเธอแค่ในทางที่เป็นไปได้เท่านั้น
เมื่อต่างคนต่างไม่เชื่อในความฝันของอีกฝ่าย จึงปล่อยมือจากกันไปเรื่อย ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าสุดท้าย ต่างเดินห่างกันออกไปในทางฝันของตัวเอง ซึ่งเป็นทางแยกที่ไม่อาจบรรจบกันอีกต่อไปแล้ว เลยได้แต่ยินดีกับหนทางที่ถึงฝั่งฝันของอีกฝ่าย แต่ก็เป็นหนทางที่ต้องแลกมาด้วยการแยกจาก ทั้งคู่จึงได้แต่เฝ้าฝันถึงความเป็นไปได้ในห้วงความคิดของตนเอง หากวันนั้นทั้งคู่หันมาใส่ใจในความต้องการของอีกฝ่าย หากวันนั้นทั้งคู่เลือกจะซัพพอร์ตความฝันของกันและกัน หากทั้งคู่หาตรงกลางร่วมกันได้ ภาพในวันนี้อาจเป็นตอนจบอีกแบบก็ได้
เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นกับคู่รักหลายคู่ ต่างกันไปในรายละเอียดของเรื่องราว แต่สุดท้ายแล้วเรื่องราวของความรักและความฝัน ยังคงเป็นอีกปัญหาคลาสสิกที่ไม่มีวันจากเราไป ความฝันที่อยู่กับเราแล้วกลายเป็นเป้าหมาย ทำไมถึงกลายมาเป็นตัวร้ายทำลายความสัมพันธ์?
เรารักในกันและกัน แต่เราต่างมีฝันเป็นของตนเอง
หากถามว่าเรามีความฝันอยากจะทำอะไร อาจตอบได้ง่ายกว่าคำถามเราเริ่มต้นมีความฝันกันตั้งแต่ตอนไหน? ความฝันที่มีอาจเป็นทั้งความฝันในวัยเด็ก ที่มองภาพตัวเองในอนาคต มันช่างสดใส มีไฟ หรือหนทางที่เพิ่งเจอตอนโต ความคิดที่ตกตะกอน ลดทอนเหลือเพียงหนทางที่เป็นไปได้ แม้ไม่ได้ชอบเท่าฝันวัยเด็ก แต่จะเป็นฝันที่ทำให้เราอยู่รอดไปยันแก่ ทั้งนี้ทั้งนั้น มันคือการเลือกเป้าหมายในใจด้วยตัวเอง เลือกเอาจากความต้องการ ความเป็นไปได้ ที่เราประเมินตัวเองไว้เสร็จสรรพ เราไม่ได้มีปัจจัยอื่นมาเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจ เราจึงยึดมั่นถือมั่นว่าฝันนี้นี่แหละที่เป็นตัวเอง 100% หากต้องเปลี่ยนไป อย่างน้อยก็ขอให้เปลี่ยนไปเพราะตัวเอง
เมื่อถึงเวลาที่ความรักพาให้สองคนมาเล่นกลกับหัวใจด้วยกัน เราอาจชื่นชมความทะเยอะทะยานเปี่ยมล้น ชื่มชมความเรียบง่ายแต่ได้ผล ชื่นชมฝันที่เราไม่เคยมีของอีกคน เป้าหมายที่เขามีทำให้เขาช่างเปล่งประกายและเราเองก็หวังว่าจะได้เห็นเขาเฉิดฉายเป็นเพชรเม็ดงามได้ในสักวัน
แต่เมื่อความสัมพันธ์เดินทางจากคนรัก ที่ต่างคนต่างยังมีพื้นที่หลวมๆ ให้ต่างฝ่ายได้เป็นตัวเองในยามที่ไม่มีสายตาของใครเฝ้ามอง ไปสู่ความสัมพันธ์ที่จริงจังยิ่งขึ้น อย่างการขยับเข้ามาอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน เริ่มจะต้องแชร์พื้นที่ชีวิตให้กันและกัน หลายคู่เลิกรากันไปตั้งแต่ขั้นตอนนี้ เพราะเมื่อทดลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว มันกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด พฤติกรรมเล็กน้อยของเรา กลายเป็นเรื่องขัดหูขัดตาของเขา เรื่องใหญ่ของเรา กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ควรใส่ใจของเขา นี่เรายังพูดถึงแค่ในชีวิตประจำวัน ความจริงจังที่มากขึ้นในความสัมพันธ์กลายมาเป็นปราการด่านใหญ่ที่คาดไม่ถึง แล้วเรื่องความฝันที่กำหนดชีวิตในวันข้างหน้า ยากที่จะบอกว่าไม่มีผลอะไรในความสัมพันธ์
ความฝันเป็นเหมือนไกด์นำทางว่าเราวางแผนชีวิตคร่าวๆ ของเราไว้แบบไหน แต่ความฝันที่ว่านั้น เราดันเลือกก่อนที่จะมีความรักมาเป็นเงื่อนไข เราต่างถือความฝันของเรามาเจอกัน ถ้ามันสามรถเดินหน้าไปด้วยกันได้ นับว่าเราโชคดีกว่าใครหลายคนที่ต้องแยกจากกันด้วยเรื่องนี้ แม้จะมีความรักให้กันแค่ไหน เข้าอกเข้าใจกันทุกอย่าง แต่รูปแบบการใช้ชีวิต เป้าหมายของเราไม่ตรงกันขึ้นมา จะมีสักกี่คนที่ยอมสละความฝันของตนเองเพื่อให้ความรักได้ไปต่อ (อย่างน้อยก็ไม่ใช่เซบาสเตียนและมีอา)
งานวิจัยหัวข้อ ‘How romantic relationships affect individual career goal attainment: A transactive goal dynamics perspective’ จาก University of East Anglia ได้ศึกษาเกี่ยวกับความรักและเป้าหมายในชีวิต พบว่า ความรักและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด หากได้มีเป้าหมายร่วมกัน จะยิ่งช่วยให้ทั้งคู่มีโอกาสประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้นมากขึ้น จากการได้ใช้ทรัพยากรที่มีร่วมกัน ในทางกลับกัน หากต่างฝ่ายมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกัน ก็จะส่งผลเสียต่อเป้าหมายของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
นั่นหมายความว่า หากฝันคนละฝั่ง คำตอบคือต้องแยกย้ายกันเท่านั้นหรือเปล่า? เราคิดว่าไม่ หากฝันที่มีแต่แรกทำให้เราไปต่อไม่ได้ แล้วฝันใหม่ร่วมกันล่ะ จะช่วยให้เราไปต่อได้หรือเปล่า?
ไม่ใช่ฝันของใครของมัน แต่เป็นฝันร่วมกันของเรา
“ฝันของเราจะไปต่อได้ หากมีจุดร่วมกัน” ย่อมดีกว่า “ถ้ารักฉันต้องยอมรับทางของฉัน หรือไม่มีฉันไปเลย” หากรักที่มีมันมากพอ เราไม่จำเป็นต้องใจร้ายต่อกัน ด้วยการปัดตกความฝันของอีกฝ่าย เพียงเพราะนั่นไม่ใช่ทางที่เรามองว่าดี ไม่ใช่ทางที่เราเลือก หากความรักนำพาเรามาถึงจุดที่อยากจะเดินหน้าไปต่อด้วยกันได้ ลองให้ความรักทำงานอีกสักหน่อย ถอยความคิดยึดมั่นในฝันของเราเองเพียงคนเดียว มาเป็นมองหาฝันร่วมกัน ฝันในวันข้างหน้าที่จะมีเราทั้งสองคนไปต่อด้วยกันได้
เมื่อต่างคนต่างมีฝัน เราจะเริ่มต้นวาดฝันร่วมกันอย่างไร?
- สื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ หากมีแพลนในใจว่าคนนี้เป็นคนที่ใช่มากพอให้เราไปต่อในวันข้างหน้า อย่าลืมที่จะสื่อสารแพลนในใจของเราให้อีกฝ่ายรับรู้อยู่เสมอ อย่างน้อยหากมองภาพไว้ตรงกัน ก็ยังสามารถไปต่อกันได้ แต่ถ้าไม่ตรงกันตั้งแต่แรก จะได้ไม่เสียเวลาและน้ำตาอีกเป็นลิตรในวันที่รักฝังรากลึกในใจไปแล้ว
- เราเปลี่ยนแปลงไปในทุกปี ยังไม่ได้พูดถึงฝันร่วมกัน เอาแค่ฝันของเราเอง ผ่านเวลา ผ่านการตกตะกอนทางความคิดคืนแล้วคืนเล่า เราก็แอบเปลี่ยนแผนของเราให้เหมาะกับความเป็นจริงไปเรื่อยๆ เมื่อความเปลี่ยนแปลงไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ขนาดเรายังเปลี่ยนได้เสมอ แล้วทำไมเราถึงไม่ลองขยับความฝันที่มีสักเล็กน้อย ถอยเพื่อให้รักได้ไปต่อ
- เชื่อในกันและกัน หากเรายังมั่นใจว่าเราจะทำฝันของเราให้เป็นจริงได้ แล้วทำไมเราถึงไม่เชื่อในตัวคนรักของเรากันล่ะ ต่อให้เรารู้สึกว่ามันยังไม่ได้เป็นทางที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่เราควรให้เขา ควรเป็นคำแนะนำ การซัพพอร์ตกัน มากกว่าการดูถูกความฝันที่เราเองก็เคยหลงรักมันในตอนแรกหรือเปล่านะ
ในคืนที่เราตื่นมากลางดึก รู้สึกถึงเว้าแหว่งข้างในลึกๆ เรารู้ดีว่าเขาจะกล่อมให้เราสงบลงได้ อ้อมกอดนั้นจะคอยโอบอุ้ม คำปลอบใจจะช่วยเยียวยา เป็นเขาคนเดียวกันที่อยู่กับเราในวันที่เรามีความสุขจนไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นความจริง หากเราเจอคนนั้นแล้ว อย่าปล่อยให้วันที่เรามีกัน เป็นเพียงภาพฝันในวันที่เรายืนอยู่บนความสำเร็จเพียงลำพัง
อ้างอิงจาก