สำหรับเหตุการณ์ COVID-19 ฉันคิดว่าฉันอยู่ในกลุ่มผู้โชคดีค่ะ ฉันได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้น้อยกว่าคนอื่นมากมายนัก ฉันสิ้นสุดการฝึกงานเทอมสุดท้ายที่กรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ และเดินทางกลับมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดทันที ระหว่างนี้ฉันก็ยังหางานทำไม่ได้เนื่องจากสาขาที่ฉันเรียนจบมาต้องมีใบประกอบวิชาชีพซึ่งจะเปิดสอบในช่วงปลายปี
เป็นโชคดีของฉัน ฉันกลับจากกรุงเทพฯ มาก่อนจะเกิดการปิดสถานที่ต่างๆ และฉันเตรียมใจมาล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดแล้วว่า นับแต่นี้ไปจนถึงสอบใบประกอบวิชาชีพต้องอยู่บ้านอ่านหนังสือ ไม่ได้เที่ยวเล่นแน่ๆ และต่อมาเมื่อรัฐบาลได้มีการรณรงค์ให้ทุกคนอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ฉันจึงกลายเป็นผู้ที่ช่วยชาติได้ทันทีโดยแทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย
แต่ทว่าการอยู่บ้านเพื่อเตรียมสอบกับการที่ต้องกักตัวอยู่บ้านเพราะหลีกเลี่ยงเชื้อโรคนั้นก็ต่างกันอยู่นะคะ จากปกติที่ฉันสามารถออกไปทานอาหารที่ร้านอาหารนอกบ้านได้เกือบจะทุกวัน ฉันจึงต้องตระเตรียมอาหารสดไว้ทำอาหารเอง
การกักตัวครั้งนี้ทำให้ฉันต้องผันตัวมาเป็นเชฟชั่วคราว และฉันได้เห็นความสำคัญของบางสิ่งบางอย่าง ที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึง
ไข่ หลังจากที่ฉันได้เปลี่ยนมาเป็นเชฟแล้ว ไข่ในกระบะที่บ้านก็ทยอยสลายตัวไปด้วยความเร็วสูง จนแม่สังเกตเห็น จึงได้ทำการซื้อมาเพิ่มไว้ให้ ก็ไข่มันเป็นอาหารที่ทำง่ายที่สุดนี่นา จะไข่เจียว ไข่ข้น ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น และเมื่อมีข่าวไข่ไก่ขาดตลาดออกมา ฉันจึงได้แต่สันนิษฐานในใจ คาดว่าทั่วประเทศคงมีเชฟมือใหม่ฉายแววเกิดอีกไม่น้อย
มะนาว บ่ายวันหนึ่งในการกักตัว ฉันอยากทานยำค่ะ หลังจากเตรียมอุปกรณ์ เตรียมวัตถุดิบ ต้มหมูสับ ไส้กรอกอะไรเรียบร้อยแล้ว ไปเปิดตู้เย็น พบว่า มะนาวหมดค่ะ! มะนาวหมดถือเป็นปัญหาสำหรับการทำอาหารประเภทยำ แน่นอนว่าไปต่อไม่ได้ค่ะ มื้อนั้นจึงต้องพักก่อน แล้วออกไปหามะนาวให้ได้ก่อน ถึงจะมาดำเนินการต่อได้ ซึ่งนั่นแหล่ะค่ะ ท่านผู้อ่านคะ ฉันได้ทำการกักตุนมะนาวเป็นที่เรียบร้อย
ผงชูรส ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าสั่งอาหารร้านไหนแล้วแม่ค้า ถามว่า “ใส่ผงชูรสได้มั้ยคะ” ด้วยความเป็นสาว(ที่ทำเป็น)รักสุขภาพ จะตอบทันทีว่า อ๋อ ไม่ใส่ดีกว่าค่ะ โฮะๆ แต่เมื่อมาทำกับข้าวทานเอง ฉันเพิ่งค้นพบความจริงว่า ผงชูรสมันทำให้อาหารกลมกล่อมขึ้นได้ค่ะคุณ โดยเฉพาะอาหารประเภทยำ รสชาติมันละมุนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่า ทำไมบางพื้นที่ถึงเรียกน้องเค้าว่า ‘ผงนัว’ มันนัวจริงๆ ค่ะ
นอกจากวัตถุดิบทั้งสามอย่างด้านบนที่ฉันได้ค้นพบว่ามันสำคัญตอนฉันเข้าครัวแล้ว เมื่อฉันทำอาหารบ่อยเข้า ก็มีมื้ออร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้างตามประสาเชฟมือใหม่ แต่เมื่อมาสังเกตดูจะพบว่า วันใดที่ทำอาหารด้วยความตั้งใจ และพิถีพิถันในการตระเตรียมส่วนผสม วันนั้นอาหารจะออกมารสชาติดีกว่า วันที่ทำอาหารแบบขี้เกียจๆ อยู่มากโข
เย็นวันหนึ่งหลังจากแม่กลับมาจากที่ทำงาน (แม่ฉันเป็นข้าราชการค่ะ ซึ่งยังไม่ได้ work from home แต่อย่างใด) แม่ได้เอ่ยปากกับยายว่า เดือนนี้ของดเงินเดือนยายสักเดือนนะ เงินไม่พอใช้ ฉันที่นั่งกินข้าวอยู่จึงถามในทันทีว่า “แม่ หนูไม่ได้ออกไปกินข้าวหรือไปเที่ยวไหนเลยนะ ทำไมแม่ยังเงินเดือนไม่พอล่ะ (เหมือนเดือนที่หนูใช้เงินเยอะๆ ได้ยังไงกัน)” แม่ตอบกลับมาว่า “ก็เอาเงินไปซื้อหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและปลากระป๋องหมดแล้ว!”
และแล้วฉันก็ได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญในยามกักตัวอีกหลายอย่าง…
เงิน ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามักได้อ่านข้อความจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินทั้งหลายว่า ให้เก็บก่อนใช้ และควรมีเงินเก็บมากกว่า 6 เท่าของเงินเดือน เพื่อใช้ชีวิตได้ในยามฉุกเฉิน ฉันเพิ่งเห็นก็คราวนี้เองว่า เงินเก็บยามฉุกเฉิน มีความจำเป็นอย่างไรและเพิ่งเข้าใจว่าเหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถมาได้อย่างฉุกละหุกไม่ทันตั้งตัวจริงๆ (จากที่เมื่อก่อนคิดแค่ว่าเหตุการณ์ฉุกเฉินคงเป็นการเจ็บป่วยน้อยใหญ่แหล่ะมั้ง) โชคดีที่แม่ฉันเป็นข้าราชการ ยังได้รับเงินเดือนเท่าเดิม แต่ถึงกระนั้น เงินเดือนแม่ในช่วงที่ผ่านมาก็หมดไปกับการซื้อข้าวของจำเป็นอีกหลายอย่างเพิ่มเติมจากการใช้จ่ายปกติ ทั้งเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ หน้ากากอนามัย หรือข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน อาหารสด อาหารแห้ง ขนมนมเนย น้ำหวานต่างๆ ที่ต้องซื้อเพิ่มไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ปิดเมือง (อย่าเรียกว่ากักตุนเลย เรียกว่าเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินดีกว่า) รวมไปถึงการเตรียมสำรองเงินสดไว้อีกจำนวนเล็กน้อยเพื่อการจ่ายค่าไฟที่เพิ่มขึ้นแบบพรวดพราดในช่วงหน้าร้อนที่ร่างกายต้องการปะทะเครื่องปรับอากาศเย็นๆ ด้วย (แน่นอนว่าค่าไฟในเดือนที่ผ่านมา ทำเอาแม่และยายตกใจไปตามๆกัน)
ความเข้าใจในเหตุการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลยนะคะ เราควรตระหนักถึงความรุนแรงของเชื้อไวรัสชนิดนี้ แต่ก็ไม่ควรจะตื่นตระหนกตกใจจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันโชคดีที่เรียนในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพมา ทำให้เบื้องต้นฉันชินกับการใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ อยู่แล้ว เมื่อเจอเหตุการณ์โรคระบาดนี้เข้า ฉันจึงปรับตัวไม่ได้มากไปกว่าเดิม แม้จะล้างมือบ่อยกว่าเดิม เว้นระยะห่างจากคนในบ้านมากกว่าเดิม พ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ในทุกๆ ที่ที่มือหรือก้นไปสัมผัส และอาบน้ำทันทีมาจากข้างนอกก็ตาม (อืมมม ไม่มากไปกว่าเดิมเลยเนอะ)
แม้ในช่วงเริ่มแรกของการระบาดสมาชิกในบ้านฉันยังไม่ได้ตื่นตัวกับเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อการระบาดเริ่มมีทีว่าจะรุนแรงมากขึ้นฉันจึงให้คำแนะนำในการป้องกันตัวเองกับคนในบ้าน เพื่อให้ทุกคนระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อเวลาออกไปข้างนอกมากขึ้น แต่กระนั้นแล้ว บ้านฉันมักมีเพื่อนๆ ของตายายมาเยี่ยมบ่อยๆ ซึ่งบุคคลสูงอายุเหล่านี้ล้วนมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อทั้งสิ้น ฉันจึงจัดการจัดเก้าอี้รับแขกไว้ห่างๆ บริเวณนอกตัวบ้าน และขอให้(บังคับอ่ะแหล่ะ ตรงๆ เลย) ยายกับตาใส่หน้ากากอนามัยก่อนคุยกับเพื่อนทุกครั้ง และพยายามอธิบายถึงเหตุผลในการกระทำต่างๆ ว่าทำไมเราต้องมาใส่หน้ากากเข้าหากัน นั่งห่างๆ กัน ให้ยายกับตาได้ฟัง เพื่อที่ท่านทั้งสองจะได้อธิบายให้เพื่อนของท่านเข้าใจและตระหนักถึงความรุนแรงของโรคเช่นกัน แต่เมื่อการระบาดเริ่มรุนแรงขึ้นฉันจึงได้บอกตากับยายไปว่า ให้งดตั้งวงสนทนาชั่วคราวไปก่อนเนอะเพื่อความปลอดภัยของตัวเราและบรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลาย
ในภาวะฉุกเฉินแบบนี้สิ่งสำคัญที่สุดเลย คือ สติ ค่ะ ที่จะช่วยให้เราไม่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ยอมรับว่าหลายๆครั้งที่อ่านข่าว ก็พาจิตใจฟุ้งซ่าน กลัว และหวาดระแวงไปไม่น้อย แต่การมีสติจะช่วยให้เราตระหนัก ระมัดระวังตัว ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ นำพาตนเองผ่านวิกฤตินี้ไปได้ค่ะ
สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา. สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง
อดทนกันอีกนิด แล้วเราจะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันค่ะ