ตอนแรกดูดี แต่ทำไมจู่ๆ ถึงเริ่มหงุดหงิดกับนิสัยเล็กๆ ของเขาได้นะ
ทั้งที่ก่อนคบกัน เรากับแฟนก็เหมือนจะเข้ากันได้ทุกอย่าง ไม่มีเรื่องให้ขัดใจแม้แต่นิดเดียว แต่พอหลังจากคบไปไม่นาน เรื่องที่เคยทำเป็นปกติกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่มีเหตุผล อย่าง เดินเร็วเกินไปไม่รอบ้างละ ชอบขัดเวลาเราพูดบ้างละ หรือชอบนัดปุบปับ จะว่าเขาเปลี่ยนไปก็ไม่ใช่ มานึกดูดีๆ เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก แต่ทำไมเราเพิ่งมารู้สึกเอาตอนนี้นะ
เห็นแต่ข้อเสียแบบนี้แปลว่าเราไม่รักกันแล้วหรือเปล่า เหตุผลอะไรที่แปรเปลี่ยนให้คนเราเริ่มมองคนรักเปลี่ยนไป วันนี้เราชวนไปทำความเข้าใจระยะของความสัมพันธ์ พร้อมวิธีรับมือหลังจากตกลงปลงใจไปแล้วเราทำอะไรกับสถานการณ์นี้ได้บ้าง
เมื่อแรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นเนิ่นนานน้ำอ้อยก็กร่อยขม
คงจะจริงอย่างที่ใครว่าไว้ ช่วงแรกๆ ที่คบกันอะไรก็ดูดีไปหมด ราวกับว่ากำลังสวมแว่นสีพาสเทลตลอดเวลา ก็เธอขาตรงใจขนาดนี้ อบอุ่น ใส่ใจ แถมยังตลกอีกต่างหาก พระแม่ต้องส่งคนนี้มาให้คู่กับเราชัวร์ๆ แต่พอผ่านไปไม่กี่เดือน จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนยาเสน่ห์หมดฤทธิ์ จากคนที่น่ารักตลอดเวลา เหลือแต่คนที่ชอบติดตลกไม่ดูสถานการณ์ จู้จี้จุกจิกแม้แต่เรื่องเล็กๆ จนอดสงสัยกับตัวเองไม่ได้ว่า ข้อเสียขนาดนี้มองไม่เห็นได้ไง
สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ว่าใครต้องเคยพบเจอ เหตุผลของเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากเป็นเรื่องของสมองและฮอร์โมนของเรานั่นเอง โดยนักประสาทวิทยาได้ศึกษาการทำงานของสมองเวลาคนเรามีความรัก พบว่าเราสามารถแบ่งความรักออกเป็น 4 ระยะ เรียกว่า ‘4 Stages of a Relationship’ ซึ่งแต่ละช่วงก็ให้ความรู้สึกและวิธีการมองคนรักต่างกันออกไป
ถ้าแต่ละระยะมีผลต่อการมองคนรักเปลี่ยนไป งั้นเรามาลองดูกันหน่อยดีกว่าว่า 4 ระยะของความสัมพันธ์ มีอะไรกันบ้าง
- ระยะที่ 1 คือ ฮันนีมูน ช่วงนี้เรามักมองเห็นแต่ความสุข อะไรก็ดีไปหมดพร้อมให้อภัยได้ทุกอย่าง แม้อีกฝ่ายจะมีข้อบกพร่องเราก็เลือกที่จะมองข้ามไป
- ระยะที่ 2 คือ เริ่มต้นผูกพัน หลังจากผ่านห้วงอารมณ์แห่งรักไปแล้ว ระยะนี้สมองส่วนใช้เหตุเป็นผลจะเริ่มทำงานมากขึ้น เราอาจไม่ได้คิดถึงอีกฝ่ายตลอดเวลา แถมยังมองเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายทำตามความเป็นจริงมากขึ้น
- ระยะที่ 3 วิกฤต จุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ อาจเป็นช่วงที่เริ่มห่างเหินกันไป หรือมีความขัดแย้งกันมากขึ้นเนื่องจากทั้งคู่ต่างเติบโตและมีเส้นทางที่เปลี่ยนแปลงไป หากคู่รักสามารถผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ ก็จะเข้าสู่ขั้นต่อไป
- ระยะที่ 4 ผูกพันลึกซึ้ง หลังจากพายุผ่านพ้นไป นี่คือช่วงเวลาแห่งความสงบ ทั้งคู่ต่างรู้จักกันดี เพราะผ่านช่วงเลวร้ายกันมาแล้ว พวกเขารู้ว่าสามารถรับมือกับวิกฤตในอนาคตได้ นี่จึงเป็นระยะที่ทั้งคู่รู้สึกสงบ มั่นคง และปลอดภัยกับความสัมพันธ์มากที่สุด
เมื่อดูจาก 4 ระยะของความสัมพันธ์ดังกล่าว หลายคนก็น่าจะพอเดาได้ว่าช่วงที่ทำให้เราเริ่มมองเห็นข้อเสียของคนรักมากขึ้น ก็คือช่วงเปลี่ยนผ่านจากระยะฮันนีมูนมาสู่ระยะเริ่มต้นผูกพันโดยนักวิทยาศาสตร์ก็ได้เหตุผลว่า เพราะช่วงนี้สมองเราจะหลั่งสารความฟินแบบจัดเต็ม ทั้งโดปามีน (dopamine) ออกซิโทซิน (oxytocin) และวาโซเพรสซิน (vasopressin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับความสุข ความรัก และความผูกพัน นอกจากนี้สมองส่วนการตัดสินใจยังทำงานได้น้อยลงด้วย ทำให้เรามองข้ามข้อเสียของอีกฝ่ายไปได้ง่ายๆ
หลังจากผ่านไปซักพัก ราว 6 เดือน – 2 ปี สารออกซิโทซินและวาโซเพรสซินลดลง ทำให้เราเริ่มมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น และเห็นข้อบกพร่องของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก แบบว่า ‘เอ๊ะ ทำไมเขาทำแบบนี้บ่อยจัง’ สิ่งที่เคยปล่อยผ่านก็สังเกตเห็นได้ชัดขึ้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ เช่น วางของไม่เป็นที่ หรือเปิดคลิปเสียงดัง จนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ทั้งๆ ที่เขาก็ทำเหมือนเดิมนั่นแหละ
ฮอร์โมนไม่เพียงแต่เข้ามาเปลี่ยนฟีลเตอร์ที่เรามองคนรักเท่านั้น ยังมีเรื่องความเครียดในชีวิตประจำวัน ที่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งทำให้เรามองเห็นข้อเสียของอีกฝ่าย และทำให้ระยะฮันนีมูนหายไปเร็วกว่าที่คิดด้วย
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Social Psychological and Personality Science ปี 2022 ที่ศึกษาความสัมพันธ์ในคู่แต่งงานใหม่ครั้งแรก พบว่าคนที่มีความเครียดจากเรื่องใหญ่ๆ เช่น ปัญหาจากที่ทำงาน มักจะสังเกตข้อเสียของคนรักมากเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับคนที่มีความเครียดน้อยกว่า ที่น่าสนใจ คือ การเลือกศึกษาในคู่แต่งงานใหม่ ซึ่งควรจะมีระยะฮันนีมูน ที่สามารถมองข้ามข้อเสียของอีกฝ่ายไปได้ แต่เมื่อมีความเครียดเข้ามากระตุ้น ก็ทำให้ระยะแรกรักหายไปเร็วกว่าปกติ จนข้อเสียของอีกฝ่ายใหญ่ขึ้นและบดบังข้อดีอื่นๆ ไป
แม้ว่าช่วงแรกของความรักจะทำให้เรามองข้ามข้อเสียเล็กๆ น้อยๆ ไปได้ แต่ถ้าทั้งคู่ไม่พยายามพูดคุยหรือปรับตัวเข้าหากัน ความสัมพันธ์ก็อาจไปไม่รอด และจบลงเร็วกว่าที่คิด เพราะยังอยู่ในช่วงที่เปราะบางนั่นเอง
ผ่านช่วงฮันนีมูนไม่ได้แปลว่าหมดรัก
แม้ว่าเราจะมองเห็นข้อเสียของอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะผ่านพ้นช่วงฮันนีมูนไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าความสัมพันธ์นี้ต้องจบลงนี่นา เราอาจได้ทำความรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น โดยไม่มีฟีลเตอร์สีพาสเทลมาบดบัง และถือโอกาสนี้ทบทวนความต้องการจริงๆ ของเราไปด้วย
หากใครอยู่ในสถานการณ์นี้ โดยที่ยังไม่รู้ว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้ดี กาเยน อารามยัน (Gayane Aramyan) นักบำบัดด้านความสัมพันธ์คนโสดและคู่รัก ได้ให้คำแนะนำเพื่อให้เราไปปรับใช้ ดังนี้
เรียนรู้ข้อเสียของอีกฝ่าย
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า หลายครั้งที่เรารู้สึกไม่ดีต่อนิสัยหรือคำพูดของอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะพฤติกรรมนั้นไปกระตุ้นความทรงจำหรือบาดแผลที่ยังไม่หายดีของเราเอง เช่น ถ้าโตมากับพ่อแม่ที่มักพูดแทรก เราก็อาจจะฝังใจเพราะรู้สึกว่าไม่มีใครฟัง ดังนั้นเวลาคนรักพูดแทรกบ้าง เราเลยไม่ชอบใจ เพราะสิ่งนี้กระตุ้นความเจ็บปวดในอดีต เวลาที่เจอข้อเสียอีกฝ่าย
ทางแก้คือ เราอาจลองกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ข้อเสียนี้ทำให้เรารู้สึกอย่างไร ทำให้เรานึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีหรือเปล่า แล้วลองเปิดใจกับคู่รักเพื่อหาทางแก้ร่วมกัน เพราะบางครั้ง ทางออกอาจทำได้ง่ายๆ แค่ทำให้เรารู้สึกว่ามีคนรับฟังอยู่ก็เพียงพอแล้ว การได้เผชิญหน้ากับเรื่องที่เราไม่สบายใจ และได้พูดมันออกไป จะช่วยสร้างเชื่อใจ และความสัมพันธ์ในระยะยาวต่อไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องจบความสัมพันธ์เสมอไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อเสียของเขาต้องไม่ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยด้วยนะ เช่น ดูถูก พูดหยาบคาย หรือใช้ความรุนแรง เพราะนี่คือการคุกคามและข้ามเส้นที่คนรักจะปฏิบัติต่อกัน ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้เมื่อไหร่ อย่าลังเลที่จะออกจากความสัมพันธ์ทันทีที่ปลอดภัยนะ
ถามตัวเองว่าคุณต้องการความสัมพันธ์ไปเพื่ออะไร
ข้อนี้ชวนให้เรากลับมาทบทวนดูดีๆ ว่าจริงๆ แล้วตัดสินใจคบกับแฟนเพราะอะไรกันแน่ เช่น เราคบเพราะไม่มีใครช่วงนั้นพอดี หรือคบเพราะรักที่เขาเป็นเขาจริงๆ หากเป็นเพราะข้อแรกก็ไม่แปลกหากเราจะรู้สึกว่าข้อเสียเหล่านี้ทำให้รู้สึกกวนใจ ดังนั้นคำถามนี้จะทำให้เรากลับมาทบทวนกับตัวเองได้ว่าสิ่งที่เราต้องการจริงๆ คืออะไร เช่น ต้องการความมั่นคง อยากอยู่กับคนที่มีอารมณ์ขัน มองหาคนรักครอบครัว คบกันแล้วความสุข
เมื่อใช้เวลากับตัวเอง คุยกับเพื่อน หรือคุยกับนักบำบัด จนได้คำตอบได้แล้ว ก็อาจทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะหากข้อเสียของเขาไม่ได้กระทบกับคุณค่าที่ยึดถืออยู่ ก็ทำให้เรามองข้ามข้อเสียเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น หรือหาทางปรับร่วมกันได้อย่างตรงจุดมากกว่า เช่น เราให้ความสำคัญกับคนที่คบแล้วมีสบายใจ การที่เขาเป็นคนติดบ้านก็อาจไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้นะ หรืออาจจะขอให้มีวันออกไปเที่ยวด้วยกันสัปดาห์ละครั้ง ก็ทำให้ปัญหานี้คลี่คลายได้โดยไม่กระทบกับเรื่องอื่นๆ ด้วย
สุดท้ายแล้ว การโอบรับทั้งข้อดีและข้อเสียของอีกฝ่ายอาจไม่ใช่เพียงคำเชยๆ ที่ได้ยินบ่อยๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นทางออกที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้เดินหน้าต่อ แม้จะหมดช่วงฮันนีมูนแล้วก็ตาม
อ้างอิงจาก