นี่เราทำงานอยู่ที่ไหนกัน ใช่บริษัท ความอดทนมี จำกัดหรือเปล่านะ อยากจะทำงานด้วยความสงบแต่จบที่หัวร้อนทุกที ไม่ว่าจะพี่ฝ่ายบัญชี พี่ฝ่ายขาย น้องกราฟิก น้องฝึกงาน ต่างดาหน้าเข้ามาท้าทายความอดทนตั้งแต่เช้าจรดเย็น ยิ่งเจอคำไม่เข้าหูทีไร ก็ไม่เคยจะอดทนได้สักที แต่ถ้าตอบกลับไปแรงๆ อย่างใจคิด เราดูเป็นคนปากแจ๋วหรือเปล่านะ?
แน่นอนว่าโลกของการทำงาน ส่วนมากมักไม่ปล่อยให้เราได้นั่งเงียบๆ คนเดียวอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ได้คุยกับคนนัั้น ประสานงานกับคนนี้ พี่คนนั้นตามงาน น้องคนนั้นถามเป็นเจ้าหนูจำไม การสื่อสารกัน จึงกลายมาเป็นทักษะสำคัญที่เราต้องมีติดตัวไว้ แต่ละคนต่างก็มีวิธีสื่อสารเป็นของตัวเอง เราจึงต้องรู้ว่าพูดกับพี่คนนี้ยังไงเขาถึงจะฟัง น้องคนนี้ต้องบอกแบบไหนถึงจะเชื่อ
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสื่อสารออกมาได้ดีเหมือนกันหมด บางครั้งเราก็เจอคนที่พูดห้วนๆ คนที่เลือกคำพูดไม่เข้าหู แต่ก็ใช่ว่าเราจะสามารถลุกไปด่าทุกคนที่พูดไม่เข้าหูเราได้ แม้จะรู้สึกว่า เราต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ฝ่ายนั้นสิ เป็นฝ่ายเริ่มพูดไม่ดีมาก่อน เราก็ลูกพระยานาหมื่น จะให้เราเงียบเฉยอย่างงั้นหรอ ขอด่ากลับสักทีจะดีไหม
ถ้าตอบเอาสะใจก็คงตอบว่า ดีเลย ด่าไปเลย เจ็บเท่ากันแน่ แต่ไม่รับประกันว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อระเบิดอารมณ์ออกไป เราเองก็จะถูกจดจำภาพนั้น เช่นเดียวกับอีกฝ่าย ที่อาจจะเรื่องชื่อเรื่องความปากร้ายไม่แพ้กัน เรารู้ว่าการตอบกลับใครด้วยคำร้ายๆ คำแรงๆ ไม่ใช่เรื่องดี แล้วเราจะอยากทำในแบบเดียวกันจริงๆ หรอ
ผลสำรวจจาก The American Institute of Stress บอกว่า คนทำงานกว่า 29% ถูกตะคอก ขึ้นเสียง เพราะความเครียดในที่ทำงาน และอีก 42% ก็เคยตะคอกใครสักคนในที่ทำงานเพราะความเครียดเช่นกัน อะไรเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในออฟฟิศ หากตอบกลับกันไปมาด้วยคำพูดร้ายกาจ ด้วยคติแรงมาแรงกลับ ลองนึกถึงบรรยากาศของออฟฟิศแบบนั้นดู ว่าเราอยากจะลุกจากเตียงตอนเช้าเพื่อไปเจออะไรแบบนี้หรือเปล่า?
อ้าว แบบนี้จะบอกให้ยอมโดนด่าฟรีงั้นหรอ? ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เราเข้าใจดีว่าอารมณ์โกรธเกรี้ยวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เมื่อมีการกระทบกระทั่งกัน แต่หากเรามีสติมากพอ เราจะสามารถหาทางลงให้กับเรื่องนี้ได้ดีกว่าอีกฝ่าย (ที่แรงใส่เราก่อน) และเราจะเป็นฝ่ายได้แต้มต่อด้านความฉลาดทางอารมณ์ไปแบบเต็มๆ โกรธได้แต่เรามาลองหาวิธีตอบกลับ ฉบับคนมีสติกันดีกว่า
มาดูกันหน่อยว่า เมื่อเจอคนแรงใส่จนโมโห เราจะตอบกลับยังไง ไม่ให้ดูเป็นคนปากแจ๋ว?
ยังไม่ตอบกลับในทันที
แค่อ่านข้อความก็จี๊ดขึ้นสมอง แค่สองหูฟัง เลือดก็เดือดปุดๆ ในร่างกาย ก่อนอื่นเลย หายใจเข้าออกจนกว่าจะรู้สึกเย็นลง สักองศาก็ยังดี อย่างที่บอกไปข้างต้น ความโกรธเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ โกรธได้ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากอยากจะทำอะไรในตอนนี้ ขอยั้งเอาไว้สักนิด ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือข้อความ อาจจะลองคิดคำตอบในหัว พิมพ์มันไว้แต่อย่าเพิ่งส่ง ให้เราได้ทำการบ้านกับคำตอบของเราเองอีกนิด
มองหาต้นตอทำร้ายใจ
เบื้องหลังคำร้ายๆ ที่เจอ มาลองพิจารณากันว่าจุดไหนกันที่ทำให้เราโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาโยนความผิด เขาพูดคำหยาบ เขาเสียดสี ประชดประชัน สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำตรงข้ามกับเขา เพื่อให้เขารู้ตัวว่า สิ่งที่เขาพูดออกมาไม่สามารถจุดระเบิดให้ติดได้ ให้ฝ่ายนั้นเป็นคนเดียวที่ต้องเสียแต้มความฉลาดทางอารมณ์ไป
มองหาเหตุผลหลังสงครามอารมณ์
หลังจากนั้น ลองตัดเรื่องอารมณ์ เรื่องความเข้าใจผิดออกไป ฝั่งนั้นกำลังต้องการอะไรจากเรากันแน่ ต้องการคนรับผิดชอบ ต้องการความจริง ต้องการปกป้องตัวเอง หรืออะไรก็ตาม เราสามารถตอบกลับไปให้ตรงจุดได้ เพื่อให้เรื่องนี้ไม่ต้องต่อความยาวลามไปยังเรื่องอื่น เช่น “เรื่องนี้อาจมีความเข้าใจผิดนะคะ เพราะจริงๆ แล้วเรื่องจากทางฝั่งเรามีดังนี้ค่ะ”
เน้นแก้ปัญหามากกว่าสร้างปัญหา
พยายามโฟกัสที่ไปทางของออกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะยื่นปัญหาไหนมา หลังจากอธิบายไปแล้ว ลองเสนอทางออกของเรื่อง อาจเป็นการถามความต้องการของอีกฝ่าย บอกถึงความต้องการของเรา อะไรก็ตามที่ทำให้เรื่องนี้จบลงได้ไวที่สุด คนที่ยังโมโหและสร้างเรื่องต่อทั้งที่เราพยายามจบปัญหา คนนั้นต่างหากจะเป็นคนที่เสียแต้มในเกมนี้
การตอบกลับไม่จำเป็นต้องแรงให้เท่ากันถึงจะได้เรื่อง ไม่จำเป็นต้องสุภาพอ่อนน้อมจนเหมือนประชดถึงจะดูเป็นคนชนะ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการสื่อสารให้เป็น แต่เป็นเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์ แม้อีกฝ่ายจะสร้างเรื่องมากแค่ไหน เราไม่จำเป็นต้องเล่นไปตามเกมของเขา
ใครที่สงบสติอารมณ์ได้ก่อน จะเป็นคนที่ได้ก้าวต่อในเกมอารมณ์นี้
อ้างอิงจาก