การทำงานที่บ้านไม่ใช่ของใหม่ เป็นเรื่องคุ้นเคยที่ชาวออฟฟิศต้องอยู่กับมันแบบเต็มอัตรามาเป็นเวลาสองปี ทั้งฝ่ายบริหารก็ต้องปรับนโยบายให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมองค์กร การทำงาน และพนักงานเองก็ต้องปรับตัวกับการทำงานรูปแบบใหม่ แต่สำหรับบางที่การทำงานที่บ้านอาจกลายร่างเป็นนโยบายถาวร หรือถูกนำมาปรับใช้กับการทำงานบางส่วน แล้วทีนี้หากเราเป็นหนึ่งในคนที่ต้องทำงานที่บ้านในระยะยาว เราจะสามารถแยกความยุ่งเหยิงของงานออกไปจากหัว ได้ในเวลาเลิกงานจริงๆ หรือเปล่า เมื่อเรายังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ต้องเดินทางไปไหน และใช้ชีวิตส่วนตัว ใช้เวลาพักผ่อนในพื้นที่เดิมที่เรานั่งปวดหัวกับงานอยู่เมื่อห้านาทีที่แล้วนี้
แม้จะอยู่กับการทำงานรูปแบบนี้มาสองปีแล้ว และมันกำลังจะกลายเป็นทางเลือกใหม่ในอนาคตสำหรับหลายๆ องค์กร ในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 แล้วหลายบริษัทต้องใช้นโยบาย Work From Home อย่างเต็มรูปแบบเนี่ย 82% ของบริษัท วางแผนไว้ว่าจะให้พนักงานของพวกเขาทำงานที่บ้านไปก่อนเรื่อยๆ และอีกกว่า 77% อยากใช้นโยบายนี้ถาวรไปเลย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทั้งคนที่ปรับตัวได้ มีความสุขกับการตื่นมาทำงาน ใช้เวลาในพื้นที่อันเป็นส่วนตัว ลดเวลาเดินทาง มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น แต่ก็ยังมีคนที่ปรับตัวไม่ได้ (และไม่ได้ผิดอะไร) ยังคงรู้สึกว่าการทำงานที่บ้านเป็นยาขม และจะขมยิ่งขึ้นหากต้องอยู่กับสิ่งนี้ในระยะยาว เมื่อบ้านที่เคยเป็นที่พักอาศัย มุมตัวส่วนตัวไว้พักผ่อนหย่อนใจ โซฟาตัวโปรด โต๊ะกินข้าวมุมเดิม จะกลายมาเป็นพื้นที่ทำงานที่กระจายไปทั่วทั้งห้อง เคยมีไว้ใช้ในเวลาส่วนตัว แต่ก็ต้องใช้ในเวลางานเช่นกัน พอมานั่งตรงนี้แล้วก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะคิดถึงเรื่องไหนก่อนดี
แม้การทำงานที่บ้านเราจะยังมีเวลาเข้าออกงานตามปกติ แต่มันไม่เด็ดขาด เรายังคงนั่งอยู่ที่เดิมที่เราปวดหัวกับงานเมื่อห้านาทีที่แล้ว เหมือนกับไม่ได้มูฟออนจากบรรยากาศการทำงานสักเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับตอนเดินจากออฟฟิศ ที่เราพร้อมสลัดเรื่องงานออกจากหัวเมื่อถึงเวลาที่เดินจากโต๊ะทำงานตัวนี้ไป แล้วค่อยกลับมาเข้าโหมดทำงานใหม่ในพรุ่งนี้เช้า พอต้องนั่งที่เดิมไปเรื่อยๆ ในทุกวัน จนบ้านกับที่ทำงานหลอมรวมเป็นพื้นที่เดียวกันแล้ว เราจะเลิกคิดเรื่องงานในเวลาส่วนตัวได้ยังไง เราจะไม่แอบแบ่งเวลางานไปทำเรื่องส่วนตัวจนต้องมารีบทำงานในตอนหลังได้หรือเปล่า จะทำยังไงให้การทำงานที่บ้าน คงประสิทธิภาพไว้ไม่ต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศ และที่สำคัญไม่กระทบกับชีวิตส่วนตัว
นั่นอาจจะต้องเริ่มที่การแยกทั้งสองอย่างนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน แต่เราจะแยกได้อย่างไรเมื่อทั้งสองสิ่งนี้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
สร้างมุมออฟฟิศประจำให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้าน
แม้เราจะมีมุมนั่งทำงานประจำของเราในบ้านอยู่แล้ว แต่นั่นอาจจเป็นโต๊ะกินข้าว โซฟา โต๊ะทำงานในห้องต่างๆ อีกที นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของบ้านแล้วนี่นา จะต้องแยกยังไงอีกนะ? นั่นไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่ง แต่การสับเปลี่ยนไปนั่งทำงานตรงนั้นที ตรงนี้ที มันกำลังหลอมหลวมบ้านและที่ทำงานให้เป็นที่เดียวกัน จนสุดท้ายแล้วเราเองจะรู้สึกแยกไม่ได้ว่าพื้นที่ตรงนี้มันมีไว้สำหรับอะไรกันแน่ เลยอยากแนะนำสำหรับคนที่มีทุน มีพื้นที่ มีเวลามากพอ ให้หามุมทำงานที่เป็นส่วนตัว เป็นสัดส่วนชัดเจน ชนิดที่ว่าเดินเข้าไปนั่งแล้วสามารถสวมวิญญาณทำงานเหมือนนั่งที่ออฟฟิศได้เลย เพื่อแยกชีวิตการทำงานกับเวลาส่วนตัวได้อย่างชัดเจน แบบนี้จึงเป็นการสร้างออฟฟิศให้มาเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน เช่นเดียวกับห้องอื่นๆ ไม่ใช่การสวมทับออฟฟิศกับบ้านให้เป็นสิ่งเดียวกัน
พูดคุยกับคนรอบข้างให้มากขึ้น
แม้ช่วงนี้อาจต้องสื่อสารกันผ่านตัวหนังสือมากขึ้น (จากเดิมที่อาจจะมากอยู่แล้ว) อาจทำให้เราเบื่อที่ต้องพูดคุยกับใครด้วยการพิมพ์อยู่ทั้งวัน พิมพ์ตอบเพื่อนร่วมงานก็กินเวลามากแล้ว ยังต้องพิมพ์คุยกับเพื่อนนอกเวลางานอีกหรอ หลายครั้งที่เราเหนื่อยกับการพูดคุยผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ไม่ได้มีน้ำเสียง ไม่ได้มีอรรถรสเหมือนการเจอหน้ากัน นั่งพูดคุยแฮงเอาต์กัน จนทำให้หลงลืมรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ไว้ แต่ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ลองหาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง สื่อสารกับคนรอบข้างบ่อยๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึก รักษาความสัมพันธ์ ให้เราเองได้รับรู้ว่าคนรอบข้างก็มีปัญหาในลักษณะคล้ายกันนะ เราไม่ได้เผชิญปัญหานี้เพียงคนเดียว หรืออย่างน้อยยังมีคนรับฟังเราอยู่ เพื่อประคับประคองสุขภาพใจของเราให้เดินต่อไปได้ ด้วยการชิตแชตกับเพื่อนหลังเลิกงานนี้นี่แหละ
รักษาตารางเวลาไว้ให้ดี
แม้จะนั่งทำงานที่บ้านแต่เรายังคงมีเวลาเข้าออกงานตามปกติ หลายคนอาจจะยังรวนๆ ในช่วงแรก เมื่อไม่ต้องเดินทาง เราจะตื่นตอนไหนดีนะ ตื่นตอนเวลาเริ่มงานเลยได้หรือเปล่า อีกสักพักค่อยกินข้าวกลางวันก็ได้มั้ง งานยังไม่เสร็จเลยทำต่ออีกสักหน่อยดีกว่า ไหนๆ ก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางแล้ว ความหย่อนยานในตารางเวลานี้ ทำให้มันกลายเป็นโดมิโนล้มครืน กระทบกันเป็นทอดๆ ทอดยาวไปพร้อมเข็มนาฬิกาที่เดินไปข้างหน้าจนเราวิ่งไล่จับไม่ทัน ยิ่งเราหยวนๆ กับตารางเวลาเท่าไหร่ เราจะยิ่งเสียความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและเวลาส่วนตัวไปมากเท่านั้น
ลองหาตารางเวลาที่เหมาะสมกับเงื่อนไขในชีวิตเราเอง อาจจะไม่ต้องเหมือนตอนเข้าออฟฟิศเป๊ะ แต่ก็ขอให้ยึดเวลาเข้าออกงานและกิจวัตรในวันทำงานไว้เป็นหลัก ถ้าเริ่มในเวลานี้ เราควรตื่นเวลาไหน ตราบใดที่ยังต้องทำงาน เราไม่อาจตื่นสายหัวฟูไปนั่งทำงานในออฟฟิศได้ฉันใด การทำงานที่บ้านก็ควรเป็นอย่างนั้นด้วย รักษากิจวัตรในวันทำงานให้เหมือนเดิม หาตารางเวลาที่เหมาะสมให้กับตัวเอง และทำตามนั้นอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่เพื่อให้เรากลายเป็นพนักงานดีเด่น เป็นสุดยอดพนักงานโปรดักทีฟ แต่เพื่อตัวเราเอง ได้แยกชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้เหมือนในวันทำงานปกตินั่นเอง
การนั่งทำงานที่บ้านมาสองปีได้โดยไม่มีปัญหาอะไร อาจเป็นสัญญาณบอกเราว่าเราอาจจะต้องนั่งที่บ้านไปอีกนานเช่นกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่าปล่อยให้พื้นที่พักผ่อนของเราหลอมรวมกับพื้นที่ทำงานไปจนหมดสิ้น เหลือพื้นที่ให้เราได้ถอนหายใจออกแล้วชูแขนบิดขี้เกียจเมื่อถึงเวลาเลิกงานกันเถอะ
อ้างอิงข้อมูลจาก