ตอนทำงานก็จำได้นะว่านั่งทำเองกับมือ หลังขดหลังแข็งอยู่หลายวัน แต่เมื่อผลงานออกไป ทำไมกลับกลายว่าคนนู้นก็เข้ามามีส่วน คนนี้ก็มีส่วน จนกลายเป็นงานกลุ่มที่ทำอยู่คนเดียวได้นะ? เราทำเองอยู่คนเดียวแท้ๆ แต่กลับต้องยกความดีความชอบให้คนอื่น เพราะไม่อยากหักหน้ากัน แต่บ่อยครั้งเข้าก็สร้างความลำบากใจไม่ใช่น้อย เพราะคนแบบนี้ดูไม่มีท่าทีจะให้เกียรติน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นสักเท่าไหร่นัก แม้จะเจอเรื่องนี้บ่อยในออฟฟิศแทบทุกที่ แต่ก็ใช่ว่าจะมองสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติไปได้ มาดูกันดีกว่าว่าเราจะรับมือกับคนชอบเคลมผลงานแบบนี้ยังไงดี
การเคลมผลงานนั้น มีให้ปวดหัวอยู่หลายแบบ ตั้งแต่ขอเข้ามามีเอี่ยวในความดีความชอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ มาก่อน ไปจนถึงการเคลมเอาทั้งหมดไปไว้ในมือ ว่าฉันเนี่ย เป็นเจ้าของไอเดียนี้เอง ไม่ว่าจะเริ่มจากขโมยไอเดียเล็กๆ น้อยๆ หรือเคลมเอาผลงานเป็นชื่อตัวเองทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ใจความสำคัญ มันคือชื่อเจ้าของผลงาน ที่ไม่ได้ปรากฎในชื่อที่ควรจะเป็น
ตัวเลขที่น่าสนใจจาก OfficeTeam กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหาร สำรวจความเห็นจากชาวออฟฟิศจำนวน 444 คน พบว่า กว่า 29% เคยโดนเคลมผลงานหรือไอเดีย แต่ที่น่าสนใจ (ปนตกใจ) กว่านั้น 51% ของคนที่โดนเคลมผลงานไปเนี่ย พวกเขาไม่ตอบโต้ ไม่ทำอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทำไมการนิ่งเฉยถึงเป็นทางออกที่คนส่วนใหญ่เลือก?
อาจเพราะอำนาจหรือความสัมพันธ์ ที่ทำให้เรื่องอยุติธรรมนี้กลายเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมปาก ถ้าหัวหน้าของเราเอง กลับบอกว่าเขาเป็นเจ้าของไอเดียกลางที่ประชุม เราจะกล้าแย้งหรือเปล่า? หรือถ้าหากเพื่อนในทีมที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอด กลับบอกว่าเขามีส่วนช่วยครั้งใหญ่ในงานที่เราก็นั่งปาดเหงื่ออยู่คนเดียว เราจะกล้าแฉเรื่องนี้แล้วละทิ้งความสัมพันธ์ที่มีหรือไม่? สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นเงื่อนไขที่สร้างความลำบากใจให้กับเรา ทั้งที่คนที่ควรจะลำบากใจควรจะเป็นอีกฝ่ายมากกว่า
เมื่อเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น การเงียบ จึงเป็นคำตอบของเรื่องนี้ อาจด้วยความตกใจ หรือไม่กล้าลุกขึ้นงัดข้อกับอำนาจหรือละทิ้งความสัมพันธ์ จึงจำต้องปล่อยให้อะไรมันเลยตามเลยไป แต่ถ้าหากวันหนึ่งเราอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง คนที่กล้าดับเครื่องชน ถามตรงๆ ว่าแกเข้ามาช่วยตอนไหนมิทราบ อาจจะรอดพ้นเงื้อมือนักเคลมไปได้ แต่สำหรับคนที่ถนัดไม้อ่อน หากไม่ให้น้ำพักน้ำแรงของเราถูกแจมด้วยความดีความชอบของคนอื่น จะรับมือกับคนชอบเคลมแบบนี้ได้อย่างไรบ้าง?
ไม่ต้องรู้สึกผิดหากต้องเสียความสัมพันธ์ไป
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า หลายคนเลือกที่จะเงียบเพราะไม่อยากมีปัญหากับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน แต่ต้องแลกกับผลงานที่ถูกหารความดีความชอบไป โอเค ยังไงก็มีชื่อเราอยู่ดีนี่นะ แบ่งๆ กันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งที่เราไม่อยากทนกับคนชอบเคลมแล้ว เราต้องเริ่มจากความรู้สึกของเราเป็นอันดับแรก เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่จะทวงสิ่งที่เป็นของเราคืนมา ผลงานไม่ใช่ขนม เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหากไม่แบ่งสิ่งนี้ให้ใคร และถ้าหากการทวงสิทธิ์อันชอบธรรมของเราทำให้เราถูกตัดความสัมพันธ์ไหนไป ความสัมพันธ์นั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ควรรักษาไว้ในระยะยาวตั้งแต่แรก
แจกแจงไอเดียอย่างชัดเจน ต่อที่ประชุมหรือทีม
หากเราไม่ใช่สายดับเครื่องชน ต้องลองวิธีนี้ที่อาศัยความมั่นใจว่านี่คือไอเดียที่เราปลุกปั้นมากับมือ เราย่อมแจกแจงรายละเอียด ที่มาที่ไป ได้อย่างหมดจด ลองหาโอกาสที่ทีมอยู่กันครบหน้า หรืออาจจะเป็นในที่ประชุม เกริ่นว่า เราเริ่มงานนี้อย่างไร ตั้งแต่คิดไอเดีย บอกที่มาของไอเดียนี้ว่าตอนที่เราคิดขึ้นมาได้เนี่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันมาจากไหน ใครมีส่วนร่วมในงานนี้บ้าง ในเชิงบอกเล่ามากกว่าจะแหกใครตรงๆ ด้วยอารมณ์ เพื่อยืนยันที่มาและช่วงเวลาอย่างชัดเจน มากกว่าการทวงไอเดียของฉันคืน ที่เหลืออาจจะต้องปล่อยให้คนอื่นตัดสินใจว่า สิ่งที่เราและนักเคลมพูดไม่ตรงกันนั้นหมายถึงอะไร
ทำเนียนขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
เมื่อผลงานของเราถูกเอ่ยชมในที่ประชุมหรือในที่ทำงาน แม้ใครจะสไลด์ตัวเอาชื่อมาห้อยท้ายในตอนหลังให้เจ็บใจเล่นๆ ลองตอบกลับด้วยมุกนี้ที่สร้างความเจ็บแสบแบบเรียบง่าย ด้วยการลุกขึ้นมาบรรยายว่ากว่าจะสำเร็จลุล่วงได้ช่างยากเย็นเหลือเกิน ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนี้ อาจเป็นเรื่องร่วมงานที่เราเคยถามความคิดเห็นผ่านๆ หรือหัวหน้าที่เราเคยให้ช่วยออกความคิดเห็น และแน่นอนว่าจะไม่มีชื่อของนักเคลมอยู่ในนั้น การแสดงออกอย่างชัดเจน แต่ไม่หักหน้ากันตรงๆ นี้ จะช่วยให้ผู้ฟังรับรู้ได้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของผลงานตัวจริงในครั้งนี้
ไม่ผิดเลยที่เราจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ทางออกของเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่การดับเครื่องชนเพียงทางเดียว ด้วยเงื่อนไขของแต่ละคน (และแต่ละออฟฟิศ) ต่างกัน ถ้าหากเรารู้ว่า เราอยู่ในสถานะที่ไม่อาจปล่อยให้อารมณ์ด้านลบมาพังความสัมพันธ์ในที่ทำงานลงได้ การรับมือกับเรื่องนี้จึงควรคิดอย่างถี่ถ้วน อาจเริ่มด้วยไม้อ่อนที่สะกิดให้นักเคลมรู้ตัวว่า เราจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของเขาอีกต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก