ตกลงกันดิบดี แบบนี้พี่ชอบมาก น้องทำเลยพี่อยากเห็นงานเสร็จไวๆ ไม่ทันไรมาพร้อมไอเดียใหม่ อันเก่าทิ้งไปไม่อยากได้แล้ว กรรมการอึ้ง แต่คนทำอึ้งกว่า ก็หัวหน้าเล่นนำหนึ่งก้าวเสมอ อันเก่าเพิ่งทำได้ไม่ทันไรก็โดนรื้อทิ้ง หากเริ่มทำอันใหม่ก็กลัวซ้ำรอยเดิม เจอแบบนี้จะทำยังไงดีนะ
ด้วยเนื้องานของหลายตำแหน่ง งานจะดีจะร้าย จะผ่านไม่ผ่าน ก็ต้องเป็นไปตามความเห็นของผู้กำหนดทิศทางการทำงานอย่างหัวหน้า จะตัดสินใจอะไรแต่ละอย่าง ผ่านความเห็นหัวหน้านี่แหละชัวร์สุด สเต็ปการทำงานทั่วๆ ไป ก่อนจะลงมือทำอะไรใหม่ๆ ก็มาระดมความคิดกันก่อน แล้วใส่พานไปให้หัวหน้า approve ขอแค่คำเดียวว่า “พี่ชอบ” ก็พร้อมก้าวสู่สเต็ปต่อไป เหมือนมีหลักประกันไว้ให้อุ่นใจว่าสิ่งที่ทำไปเราไม่ได้มองว่าดีอยู่คนเดียว
แต่พี่ชอบอยู่แค่วันเดียว อีกเดี๋ยวพี่เขาไม่ชอบแล้วน่ะสิ
ยิ่งสายงานที่ต้องอาศัยประกาศิตจากหัวหน้า เชื่อว่าคงได้เจอเหตุการณ์นี้อยู่บ่อยๆ คนเราเปลี่ยนใจน่ะเปลี่ยนได้ เปลี่ยนนิด ปรับหน่อย แก้ไปตามขั้นตอนให้มันพอเข้าที่เข้าทาง ยังพอเข้าใจได้ แต่บางครั้งพี่เล่นเปลี่ยนแบบยกเครื่องใหม่ ล้มไอเดียเก่าทิ้งไป เปลี่ยนไอเดีย เปลี่ยนใจกันรายวัน ใครจะตามจะพี่ทันล่ะทีนี้
ในมุมหนึ่ง เราก็ต้องทำงานตามคำสั่งของหัวหน้าหรือเปล่านะ ถ้าเขาบอกให้เปลี่ยน เขาเห็นว่าอย่างอื่นดีกว่า เราก็ต้องว่าไปตามนั้นหรือเปล่า ถามว่าใช่ไหม ก็ใช่ส่วนหนึ่ง แต่การเปลี่ยนความคิดไปมาเสมอ เหล่ามดงานก็ต้องทำงานไปตามคลื่นอารมณ์ที่พัดไปมา มันชวนให้คนอื่นเข้าใจได้ว่า หัวหน้านั้นเป็นคนเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้หรือเปล่า
ไอเดียใหม่อาจดีกว่าจริงๆ แต่แรงกายแรงใจที่ลงกับงานที่ทำไปแล้วก็เหนื่อยจริงเหมือนกัน (ออกแนวเหนื่อยฟรีด้วย) เมื่อสิ่งที่ทำไปก่อนหน้าไม่ได้ผิดอะไร แถมยังไฟเขียวให้ลงมือทำไปแล้ว ยิ่งทำให้เกิดคำถามต่อการตัดสินใจครั้งต่อไปของหัวหน้า ไม่รู้เลยว่าการตกปากรับคำ “ดีเลยพี่ชอบ” “ได้สิ” “เอาเลย” มันจะย้อนกลับมาเล่นงานเราอีกวันไหน
ในเมื่อเขาคือหัวหน้าที่เรายังต้องทำงานด้วย จะพอมีทางไหนบ้างไหมนะที่ช่วยรับมือให้เราก้าวตาม (ใจ) หัวหน้าได้ทัน ทำงานท่ามกลางคลื่นอารมณ์แบบเหนื่อยน้อยลงมาหน่อย
คำแนะนำจากประสบการณ์ตรงของ เอลิซาเบธ โลทาร์โด (Elizabeth Lotardo) ผู้ให้คำปรึกษาการจัดการในองค์กร ที่รับฟังเรื่องราววุ่นๆ ในออฟฟิศมาแล้วมากมาย แน่นอนว่าเรื่องหัวหน้าเปลี่ยนใจรายวันก็เป็นหนึ่งในเคสจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว เราขอยกบางส่วนที่เห็นว่าเป็นประโยชน์มาให้ลองปรับใช้กัน
- ตั้งเป้าหมายให้เข้าใจตรงกัน
ก่อนจะเริ่มงาน เราก็ต้องใส่พานให้หัวหน้าปั๊มคำว่า approved ก่อนเสมอ งั้นเราก็อาศัยจังหวะนี้ในการพูดคุยให้ชัดเจน ว่าที่มา ใจความสำคัญ เป้าหมายของงานนี้คืออะไร ทำความรู้จักงานชิ้นนี้กันให้ถี่ถ้วนทั้งเราและหัวหน้า หากจะปรับอะไรก็ปรับกันตั้งแต่ตอนนี้ ในตอนที่มันยังไม่ขึ้นรูปขึ้นร่าง
หากใครที่เจ็บซ้ำๆ จนเกิด trust issues ลองเก็บหลักฐานการยืนยันในวันนี้ไว้ในรูปแบบที่เห็นสมควร ไม่ว่าจะเป็นอีเมล บันทึกเสียงหรือการจดบันทึกการประชุม เพื่อเอาไว้เตือนใจหัวหน้าก่อนจะล้มไอเดียนี้ทิ้งในสักวัน - แก้อย่างมีขอบเขต
การแก้งานไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร เป็นสิ่งที่ยังอยู่ในระดับเข้าใจได้ (มากกว่าล้มไอเดียแหละนะ) แต่บางความต้องการก็แทบให้ความรู้สึกไม่ต่างกับเริ่มต้นทำใหม่ ลองกำหนดขอบเขตว่าในขั้นตอนไหนจะแก้ไขอะไรได้บ้าง หากจะแก้ถึงขนาดนี้ ควรแก้ตั้งแต่ขั้นตอนไหน ว่ากันตามตรง บางครั้งมีแต่คนที่ทำเท่านั้นที่จะรู้ว่าอันไหนได้ไม่ได้ หากเราไม่บอกไปตามความจริง ก็อาจจะต้องจมอยู่กับการแก้ไขที่เหมือนเริ่มทำใหม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ - เปลี่ยนคำถามให้แคบลง
หากถามว่า “เป็นไงพี่ อยากแก้ตรงไหนไหม?” นำมาซึ่งความวายป่วงกันมานักต่อนัก งั้นเปลี่ยนคำถามแบบมีชั้นเชิง หลบแบบดิจิตอล (มันต้องออกเสียงเพื่ออรรถรสแบบนี้น่ะ) ด้วยการถามแบบวงแคบ เจาะจงลงไป เช่น “จุดอื่นเป็นไปตามแผนหมดเลย มีแต่จุดนี้เท่านั้นที่ยังไม่แน่ใจ พี่ว่าจุดนี้มันยังต้องแก้อะไรไหม” “รอบก่อนติดตรงนี้ รอบนี้ผ่านฉลุยเลย พี่ว่าดีขึ้นจากรอบที่แล้วไหม” ชี้ชัดลงไปให้แก้แค่จุดเล็กน้อยที่ยังไม่มั่นใจเท่านั้นพอ - ถามไถ่ฟีดแบ็กสม่ำเสมอ
สำหรับหัวหน้าคนไหนที่ยังพอพูดคุยได้ ลองให้เขาได้เห็นผลลัพธ์อยู่เรื่อยๆ ว่าตอนนี้เราทำไปถึงไหนแล้ว หน้าตาเป็นไง ใช่แบบเดียวกับที่เราตกลงไว้ไหม ทำออกมาแล้วชอบหรือเปล่า เพราะเวลาแก้จะได้แก้จุดเล็กๆ กุ๊กกิ๊กกุ๊กหม่ำ ไม่ถึงขั้นทำใหม่ยกแผง - สะกิดเตือนด้วยคำถาม
คือบางทีน่ะ เขาก็อาจคุยกับเสียงในหัวตัวเองเยอะไป เลยไอเดียบรรเจิดทุกครั้งที่นอนเต็มอิ่มขึ้นมา หากเรารับมือไม่ไหวละ ล้มหลายรอยไม่เปิดช่องให้ลุกเลย ไม่ถึงขั้นให้ล้มกลับ ไม่ทำแล้วโว้ย อาจจะต้องสะกิดเตือนกันหน่อย ด้วยประโยคทำนองว่า “เวอร์ชั่นปัจจุบันนี้เนี่ย มันไม่ตรงกับที่เราคุยกันไว้ตรงไหนหรือเปล่า” “หากเปลี่ยนตามที่มีบอก มันจะไปขัดกับที่เราคุยไว้ตอนแรกไหมนะ” “งานที่ทำมาเราใช้เงินใช้เวลาไปเท่านี้เลย หากต้องทำใหม่เรามีทรัพยากรมากพอไหม” อะไรเหล่านี้อาจช่วยให้หัวหน้ารู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงของเขา มันส่งผลขนาดไหน
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ บางครั้งเราเองก็ต้องย้อนถามตัวเองก่อนสู้กลับเหมือนกัน ความขุ่นข้องหมองใจ ไม่อยากจะเปลี่ยนไอเดียนี้ มันเพราะไม่น่าเวิร์กจริงๆ หรือมันติดที่ตัวเราเหมือนกัน ก็คนเหมือนกันนี่เนอะ มีอีโก้ในใจบ้าง มีความหงุดหงิดส่วนตัวบ้าง เราเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ แต่หากเป็นเพราะเรื่องเหล่านั้น แล้วทางใหม่ (ที่ไม่อยากทำ) มันดีกว่าจริงๆ เราอาจต้องโอนอ่อนไปตามลมบ้างเหมือนกัน สุดท้ายทั้งเราและหัวหน้า ต่างมีจุดร่วมตรงที่อยากให้งานออกมาดีทั้งคู่
การเปลี่ยนแปลงในโลกการทำงานไม่ได้มีแค่หัวหน้าเราเท่านั้น ยังมีความไม่คาดคิดอื่นๆ ดักตีหัวเราจากมุมมืดเสมอ รู้จักปรับตัว รู้จักยอมรับความเปลี่ยนแปลง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะให้เราอยู่รอดได้เหมือนกัน
อ้างอิงจาก