ในยุคที่เรื่องสุขภาพคือสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ประเด็นของการลดไขมันชนิดที่ไม่ดีหรือไขมัน LDL (Low Density Lipoprotein) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคหลอดเลือดสมองตีบ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเป้าหมาย ว่าควรจะลดให้เหลือเท่าไหร่ดี
ซึ่งตัวเลข 100 มก./ดล. คือค่ากลางที่หลายคนอาจะรับรู้ว่าเป็นค่าที่เหมาะสมในการลดไขมัน LDL แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเลข ไม่เกิน 100 อาจไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวเลขเป้าหมายของทุกคนได้ เพราะยังมีอีกหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของสุขภาพร่างกายที่ไม่เหมือนกัน พฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิต ไปจนถึงพันธุกรรม ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่เท่ากัน
ชวนไปพูดคุยประเด็นนี้กับ ศ.นพ. รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ นายกสมาคมเเพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด จากโรงพยาบาลศิริราช ถึงความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเป้าหมายในการลดระดับไขมัน LDL ว่าควรเป็นเท่าไหร่ รวมไปถึงข้อแนะนำเมื่อตรวจพบว่าค่าไขมันสูงเกินกว่าระดับเป้าหมาย จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร ไปจนถึงการใช้ยาลดไขมันอย่างถูกต้อง
อยากให้อธิบายว่าไขมันแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร
ปกติไขมันในเลือดที่เราตรวจกันโดยทั่วไปจะมีหลายตัว จะมีทั้งตัวคอเลสเตอรอลรวม หรือที่เรียกว่า Total Cholesterol มีทั้งไตรกลีเซอไรด์ มีตัวไขมัน LDL (Low Density Lipoprotein) ซึ่งเรียกว่าไขมันไม่ดีหรือไขมันเสีย เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นต่ำ ส่วนไขมันดีเรียกว่า HDL (High Density Lipoprotein) เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง เพราะฉะนั้นระดับของไขมัน HDL ถ้าสูงคือดี ระดับของไขมัน LDL ถ้าสูงคือไม่ดี ปัจจุบันประชากรทั่วไปก็จะมีความตื่นตัว จะรู้จักไขมันพวกนี้พอสมควรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาเข้ามาเช็คสุขภาพหรือมาเจอหมอ บางครั้งเขาก็จะถามเลยว่าระดับไขมันไม่ดีมีอยู่เท่าไหร่
กระบวนการเกิดไขมัน LDL เกิดขึ้นได้อย่างไร
ไขมัน LDL หรือไขมันไม่ดี ปกติจะถูกสร้างที่ตับ เกิดขึ้นจากส่วนประกอบต่างๆ ของไขมันที่เรากินเข้าไป มีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปที่ตับ แล้วก็ผ่านกระบวนการย่อยสลาย ผ่านกระบวนการเอนไซม์หลายขั้นตอน แล้วก็ผลิตออกมาเป็น LDL ก่อนจะเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อระดับ LDL ที่สูงก็จะมีผลต่อการเกิดคราบไขมันไปเกาะตามส่วนต่างๆ ของหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการหลอดเลือดแข็งตัวในอนาคต ซึ่งระดับของ LDL ที่มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สูบบุหรี่เยอะก็จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น หรือกระทั่งผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่เป็นความดัน ก็มีความเสี่ยงที่ส่งเสริมกันทั้งหมด
แสดงว่ากลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยง คือกลุ่มที่เป็นโรคเบาหวานหรือความดันอยู่แล้วใช่ไหม
มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างมากกว่านั้น ทั้งอายุมากขึ้น เพศชาย ประวัติครอบครัวก็มีผล คุณพ่อคุณแม่ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองตั้งแต่อายุไม่มาก ก็จะส่งผลทางพันธุกรรมเช่นเดียวกัน ทำให้เกิดการเกาะตัวของไขมันสะสมมากกว่าปกติ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าปัจจัยเสี่ยงหลายชนิดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เราสามารถรักษาป้องกันได้ แต่ปัจจัยเสี่ยงบางชนิดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันไม่ได้ อะไรก็ตามที่เราสามารถป้องกันได้ก็ควรต้องป้องกันก่อน
ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับ LDL ในเลือดไม่ให้สูงจนเกินไป
ทุกคนจะรู้จักโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามหัวใจตายฉับพลัน หรือที่เรียกว่า Heart attack ถ้าเป็นเกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง ก็จะเป็นอาการสมองขาดเลือดฉับพลัน ทำให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตได้ เราจะได้ยินโรคพวกนี้กันอยู่เป็นประจำ จัดอยู่ในกลุ่มโรค NCDs (non-communicable diseases) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คนที่เสียชีวิตจากโรคเหล่านี้มีเป็นจำนวนมาก เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับแรกๆ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการรักษา ทั้งการสวนหัวใจ ขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด นี่คืออาการที่โรคเป็นมากแล้ว แต่ตอนที่ยังเป็นไม่มาก อาจจะไม่แสดงอาการอะไรเลย ไขมันก็ไปเกาะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามผนังหลอดเลือดโดยที่เราไม่รู้ตัว ไปรู้อีกทีก็ตอนหลอดเลือดมันตีบค่อนข้างเยอะแล้ว ถ้าเป็นที่หัวใจก็จะมีอาการจุกๆ แน่นๆ หน้าอกเกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นหลอดเลือดสมอง บางครั้งก็จะมีอาการชาครึ่งซีก เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าเส้นเลือดอุดตันปุ๊บ ก็จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายฉับพลันได้ ซึ่งขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลานาน ตั้งแต่อายุ 10 – 20 ปี ปริมาณไขมันที่สูงก็จะสะสมไปเรื่อยๆ โดยที่เจ้าตัวจะไม่รู้เลย จึงไม่ได้ให้ความสำคัญในการควบคุม ยังใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ควบคุมปัจจัยเสี่ยง ไม่มีการควบคุมอาหาร น้ำหนักตัว ยังสูบบุหรี่ ช่วงวันดีคืนร้ายก็สามารถเกิดเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้ทันที
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าระดับไขมัน LDL มาถึงจุดที่วิกฤตแล้ว
คือถ้าอาการของตัวโรคถึงจุดวิกฤตแล้ว ส่วนใหญ่จะสายเกินไป เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่ามีการสะสมของไขมันได้ จะต้องมีการเช็คสุขภาพ เนื่องจากกระบวนการต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีอาการ ถ้าไม่เช็คเลือดก็ไม่รู้ หรือถ้าไม่วัดความดัน ก็อาจจะไม่รู้ว่าเป็นความดันโลหิตสูง ความถี่ในการเช็คก็แล้วแต่คน ถ้าช่วงอายุ 20 ปี แนะนำให้เช็ค 1 ครั้งต่อปี หลังจากนั้นถ้าไม่มีอะไร ก็อาจจะเช็คทุกๆ 5 ปี แต่ถ้าเกิดอายุมากกว่านั้น เช่น อายุ 30 – 40 ปีขึ้นไปก็ให้เริ่มเช็คทุกปี เนื่องจากความเสี่ยงเริ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันกลุ่มอายุน้อยก็จะมีบางคนที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม ทำให้ไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือดอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องได้รับยาตั้งแต่อายุน้อยๆ เพื่อป้องกันก่อน
ทำไมค่าไขมัน LDL 100 มก./ดล. จึงไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน
ตัวเลข LDL ที่กำหนดไว้ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน เพราะเกณฑ์สมัยก่อนกับเกณฑ์ปัจจุบันนี้ก็ไม่เหมือนกัน อย่างในสมัยก่อนบอกว่าคนปกติทั่วไป ถ้าไม่มีปัจจัยเสี่ยง LDL ไม่เกิน 160 ก็เพียงพอ ต่อมามีการบอกว่าผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงควรคุมให้ไม่เกิน 130 แต่ผู้ป่วยที่มีอาการโรคหลอดเลือดชัดเจนแล้ว มีหลักฐานเคยสวนหัวใจ ก็ควรจะคุมไม่เกิน 100 ซึ่งใบรายงานผลการตรวจเลือดตามโรงพยาบาลต่างๆ ก็จะมีเกณฑ์ไม่เหมือนกัน แล้วในเวลาต่อมา เนื่องจากมีข้อมูลมากขึ้นว่าการลด LDL มากจะส่งผลดี เกณฑ์ของการควบคุมในปัจจุบันจึงเข้มข้น อย่างคนไม่มีปัจจัยเสี่ยงก็ควรจะคุมไม่เกิน 115 ส่วนคนที่มีปัจจัยเสี่ยงก็ควรจะคุมไม่เกิน 100 กระทั่งคนที่มีความเสี่ยงสูงมากก็ควรจะกดไม่ให้เกิน 55 เนื่องจากผู้ป่วยที่ควบคุมได้ดีมากๆ ความเสี่ยงก็จะลดลงมาก เกณฑ์ต่างๆ จึงมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อรู้ถึงค่าเป้าหมายที่เหมาะสมแล้ว จะวางแผนในการลดไขมัน LDL ได้อย่างไร
เบื้องต้นเป็นการดูแลสุขภาพ ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้ชีวิต ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักตัว กินอาหารที่มีคุณภาพ และลดปริมาณไขมัน โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ซึ่งมาจากสัตว์ อาหารทะเล หรือน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม เป็นมาตรฐานที่คนทั่วไปควรจะทำ อาจจะมีผลต่อระดับ LDL บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ลดลงอย่างมาก เพราะในคนที่ต้องการให้ระดับ LDL ลดลงอย่างมาก จำเป็นต้องใช้ยา ซึ่งเวลาคนไข้มาบอกว่าเขาคุมอาหารทุกอย่างแล้ว ทำไม LDL ยังสูง เพราะยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ปรับไม่ได้ เช่น ปัจจัยทางพันธุกรรม ส่งผลให้การผลิต LDL ยังมากอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ยากำกับ
ระดับของการใช้ยา ต้องพิจารณาจากปัจจัยอะไรบ้าง
ปกติเราก็จะแนะนำว่าให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อน แต่ในบางรายที่ตรวจพบว่าเป็นโรคแล้ว ก็จำเป็นต้องได้รับยาตั้งแต่ต้น หรือบางรายที่ระดับไขมันสูงมาก ต้องใช้ยาควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็มี ส่วนยากลุ่มแรกที่ให้ผลดีต่อการลด LDL จะเป็นยากลุ่มสแตติน ที่ลดการหลั่งไขมันออกมาจากตับ หลังจากนั้นถ้าเกิดใช้ยาแล้วยังลดไม่ถึงเป้าหมาย หรือใช้ยาแล้วมีผลข้างเคียง เราก็ใช้ยาตัวที่ 2 ก็คือยาที่ลดการดูดซึมไขมันจากลำไส้ ซึ่งยาประเภทนี้มีข้อมูลชัดเจนว่า เมื่อเพิ่มเข้าไปกับยากลุ่มสแตตินแล้วสามารถลดความเสี่ยงของคนไข้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงได้ในอนาคต แต่ระดับของไขมันที่ลดลง อาจจะสู้ยากลุ่มแรกไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้เป็นยาเสริม และสุดท้ายในกรณีที่ใช้ยา 2 ตัวแล้วยังควบคุมไม่ได้ เราก็แนะนำให้ใช้ยาตัวที่ 3 ซึ่งเป็นยาฉีด เนื่องจากเป็นการใช้ฉีด ผู้ป่วยก็อาจจะไม่ชอบและมีราคาแพง เพราะฉะนั้นจึงมีการใช้ในรายที่มีความจำเป็นเท่านั้น เพื่อกำกับให้ระดับไขมันลดลงมาถึงเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมยากหรือกลุ่มที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมรุนแรง
สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงคนที่มีความเสี่ยงในการเกิดไขมัน LDL สูงกว่าปกติ
ส่วนใหญ่เวลาเจอโรค มักจะเป็นระยะท้ายแล้ว เพราะฉะนั้นจึงอยากเน้นที่การป้องกันโรค เพราะถ้ารู้ก่อนป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่าแน่นอน ซึ่งจำเป็นต้องรู้ว่ากระบวนการต่างๆ ของโรคมันเกิดขึ้นมานานตั้งแต่อายุน้อยๆ อยากแนะนำให้ตั้งใจดูแลสุขภาพอย่างดีตั้งแต่เนิ่นๆ กินอาหารที่มีคุณภาพ อย่ากินอาหารที่มีไขมันเยอะมากเกินไป หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงอย่างเช่นสูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน ออกกำลังกาย ลดความตึงเครียด และเช็คสุขภาพตามความเหมาะสม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่จะช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคน้อยลง ถ้าพยายามที่จะควบคุมป้องกันตั้งแต่ต้นแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่ดี