หนึ่งในนโยบายที่หลายพรรคชูขึ้นมาแข่งกันอย่างดุเดือดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คือการดูแลเด็กเล็ก โดยทุกพรรคอ้างว่า เนื่องจากมีผลการศึกษาว่า เป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญ และมีจุดที่เหมือนกันก็คือ หนึ่งในนโยบายสำคัญของแต่ละพรรค ก็คือการให้เงินช่วยเหลือ
ลองมาดูกันซิว่า พรรคหลักๆ เสนออะไรกันบ้าง
1.) พรรคประชาธิปัตย์ “เกิดปั๊บรับแสน”
เป็นพรรคแรกที่นำเสนอนโยบายตั้งแต่ปลายปีก่อน ภายใต้สโลแกน ‘เกิดปั๊บรับแสน’ เพราะจะให้เงินเด็กแรกเกิดรวมกันสูงสุดคือ 1 แสนบาท อาทิ
– ให้เงินเมื่อแรกคลอด 5,000 บาท
– ให้เงินช่วยเหลือเด็กเล็ก 0-8 ขวบ เดือนละ 1,000 บาท
– พัฒนาคุณภาพศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ
– เรียนฟรี อาหารเช้าและกลางวันฟรี ตั้งแต่อนุบาล – ม.3
ฯลฯ
“การพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถือเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุด ยืนยันว่านโยบายนี้ไม่ใช่ประชานิยม” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ขณะที่กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็คำนวณว่า เฉพาะนโยบายเกิดปั๊บรับแสนจะใช้งบประมาณราว 12,000 ล้านบาทในปีแรก และจะเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านบาทในทุกๆ ปี จนถึงปีที่ 8 ที่จะเริ่มลดลง
ส่วนนโยบายพัฒนาศูนย์เด็กเล็กจะใช้เงิน 15,000 ล้านบาท/ปี และอาหารเช้าและกลางวันฟรี จะใช้เงิน 27,000 ล้านบาท/ปี รวมจะใช้เงินขั้นต้นอยู่ที่ 54,000 ล้านบาท/ปี
2.) พรรคอนาคตใหม่ “ไทยเท่าเทียม”
เสนอนโยบายช่วยเหลือเด็กเล็กไว้ในชุดนโยบายสวัสดิการถ้วนหน้า ไทยเท่าเทียม ซึ่งจะใช้งบประมาณรวมกัน 650,000 ล้านบาท มีรายละเอียดอาทิ
– เพิ่มสิทธิในการลาคลอดเป็น 180 วัน
– ให้เงินช่วยเหลือเด็กเล็ก 0-6 ขวบ เดือนละ 1,200 บาท (และจะขยายเป็นจนถึง 17 ปีในอนาคต)
– พัฒนาคุณภาพศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ
– ให้เงินช่วยเหลือวัยรุ่น 18-22 ปี เดือนละ 2,000 บาท
– เรียนฟรี
ฯลฯ
สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ จะมาจากส่วนอื่นๆ เช่น ขึ้นภาษีที่ดิน ลดงบกระทรวงกลาโหม เอาหวยมาไว้บนดิน ฯลฯ
3.) พรรคพลังประชารัฐ “มารดาประชารัฐ”
ดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เสนอนโยบายนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีรายละเอียด อาทิ
– ตั้งท้องให้เงินดูแลเดือนละ 3,000 บาท
– ให้เงินช่วยค่าคลอด 10,000 บาท
– ให้เงินช่วยเหลือเด็กเล็ก 0-6 ขวบ เดือนละ 2,000 บาท
– พัฒนาคุณภาพศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ
– พ่อลาไปช่วยเลี้ยงลูกก่อนและหลังคลอดได้ 30 วัน
– จัดการดูแลปัญหาภาวะขาดสารอาหารเฉพาะอย่าง
ฯลฯ
“นี่เป็นนโยบายที่สำคัญกับอนาคตของเด็กไทย ที่จะดูแลตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนถึงถึง 6 ขวบ เพราะจากงานวิจัย นี่เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในการเจริญเติบโตของเด็ก” อุตตมว่าไว้ แต่ยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลว่า นโบบายนี้จะใช้งบประมาณเท่าใด และจะหาเงินมาจากไหน
ทุกๆ พรรคปฏิเสธว่า นโยบายนี้ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นรัฐสวัสดิการ ลองพิจารณากันดูว่า นโยบายของพรรคใดถูกใจที่สุด แล้วเข้าไปกาเลือกพรรคนั้นๆ ในวันที่ 24 มี.ค.นี้