ท้ายที่สุด จะมีเพียงไม่กี่รัฐเท่านั้นที่เป็นผู้ตัดสินผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 นี้
แอริโซนา
เนวาดา
วิสคอนซิน
มิชิแกน
เพนซิลเวเนีย
นอร์ทแคโรไลนา
จอร์เจีย
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ 7 รัฐข้างต้น
รัฐเหล่านี้ถูกจัดว่าเป็น ‘สวิงสเตท’ (swing state) หรือรัฐที่จะเป็นพื้นที่เชือดเฉือนกันระหว่างพรรค ‘เดโมแครต’ กับ ‘รีพับลิกัน’ การจัดสวิงสเตท 7 รัฐนี้ สอดคล้องกันในสื่อใหญ่ต่างประเทศต่างๆ และโพลหลายสำนัก รวมไปถึง 2024 CPR Electoral College Ratings โดย The Cook Political Report องค์กรซึ่งจัดอันดับและจัดทำบทวิเคราะห์เกี่ยวกับการเมืองสหรัฐฯ ที่น่าเชื่อถือ
ในขณะที่ทุกคนเฝ้ารอดูผลคะแนนจากรัฐสวิงสเตทเหล่านี้ The MATTER ชวนไปดูกันว่า พวกเขาเคยเลือกใครกันบ้างในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา
‘สวิงสเตท’ (Swing state) คืออะไร?
สวิงสเตท มีความหมายค่อนข้างตรงตัว นั่นคือ รัฐที่จะมีคะแนนโหวต ‘สวิง’ หรือ ‘เหวี่ยง’ ไปมาระหว่างพรรคเดโมแครตกับรีพับลิกัน ในการเลือกตั้งแต่ละรอบของสหรัฐฯ เนื่องจากฐานเสียงของทั้ง 2 พรรคมีจำนวนพอๆ กันในรัฐนั้นๆ จึงฟันธงผลของการโหวตได้ไม่ชัดเจน
ในทางตรงกันข้าม รัฐที่มีฐานเสียงของพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเหนียวแน่น จะถูกเรียกว่าเป็น ‘เซฟสเตท’ (safe state)
ปัจจัยที่ทำให้รัฐใดรัฐหนึ่งเป็นสวิงสเตทก็แตกต่างกันไป แต่ปัจจัยหนึ่งที่ดูจะมีผลมากก็คือ กลุ่มประชากรในรัฐนั้นๆ
อย่างเช่น จอร์เจีย ซึ่งมีประชากรแอฟริกา-อเมริกันเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 แต่อาจจะไม่พอใจกับ โจ ไบเดน (Joe Biden) จนพาลให้ไม่โหวตให้กับ กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) หรืออย่าง เนวาดา ที่ทั้งแฮร์ริส และ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) พยายามยื้อแย่งคะแนนจากกลุ่มประชากรเชื้อสายลาตินอเมริกา ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก เป็นต้น
ทำไมสวิงสเตทจึงสำคัญที่สุด?
ประเด็นสำคัญของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ที่ ‘ป็อปปูลาร์โหวต’ (popular vote) แต่ผู้สมัครจะต้องชนะเป็นรัฐๆ ไป
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้ระบบ ‘คณะผู้เลือกตั้ง’ (Electoral College) อธิบายอย่างง่ายคือ โหวตเตอร์ไม่ได้เลือกประธานาธิบดีโดยตรง แต่ในแต่ละรัฐ โหวตเตอร์จะต้องเลือกกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า ‘คณะผู้เลือกตั้ง’ เพื่อไปออกเสียงเลือกว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีอีกที
ในแทบทุกรัฐ การเลือกคณะผู้เลือกตั้งจะใช้ระบบ ‘winner-take-all’ กล่าวคือ พรรคไหนได้คะแนนเสียงมากที่สุดในแต่ละรัฐ ก็จะได้เสียงของคณะผู้เลือกตั้งของรัฐนั้นๆ ไปทั้งหมด ซึ่งแต่ละรัฐก็จะมีเสียงของคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน แต่มีสัดส่วนตามจำนวนประชากร (เรื่องของสัดส่วนคณะผู้เลือกตั้งเองก็เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน)
อย่างไรก็ดี ยุทธศาสตร์ของผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ก็คือ จะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คะแนนเสียงมากกว่าคู่แข่งในแต่ละรัฐ และรวบรวมเสียงคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐต่างๆ ให้ได้มากที่สุด
นั่นจึงเท่ากับว่า การหาเสียง จนได้เสียงโหวตของเหล่าคณะผู้เลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่สวิงสเตท ย่อมสำคัญกว่าการได้ป็อปปูลาร์โหวตกว่าเป็นไหนๆ
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นทั้งทรัมป์และแฮร์ริสเดินทางไปหาเสียงในสวิงสเตทเหล่านี้ไม่เว้นแต่ละวันในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ เพนซิลเวเนีย ซึ่งครองแชมป์ ถูกเยี่ยมเยือนบ่อยที่สุด ทั้งจากผู้สมัครฝั่งเดโมแครตและรีพับลิกัน ทั้งนี้ เพราะมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งมากถึง 19 เสียงด้วย
สะท้อนคำกล่าวที่มีเสมอมาว่า “เพนซิลเวเนียเลือกแบบไหน ประเทศชาติก็จะได้แบบนั้น” (“As goes Pennsylvania, so goes the nation”)