กลุ่มผมร่วงลงพื้น เส้นแล้วเส้นเล่า เสียงกรรไกรหรือแบตตาเลี่ยนกร้อนผมออกไป แต่สิ่งที่ร่วงหล่นลงมานั้นไม่ได้มีเพียงเส้นผม ยังมีตัวตนของเด็กๆ ที่เลือนหายไปด้วย
กฎระเบียบเรื่องทรงผม เป็นสิ่งที่มีมานาน พร้อมกับการตั้งคำถามว่า เมื่อสถานศึกษาควรจะเป็นที่ที่ให้เด็กได้บ่มเพาะ เรียนรู้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี แล้วระเบียบทรงผมช่วยให้เด็กมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไร?
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย … แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือบาดแผลทางใจให้กับเด็ก
แม้ว่าระเบียบล่าสุด จะดูเหมือนว่าทำให้นักเรียนมีอิสระในการไว้ทรงผมมากขึ้น แต่ข้อจำกัดหลายอย่างก็ยังคงอยู่ นั่นแปลว่า เสรีภาพในเนื้อตัวร่างกายของเด็กยังไม่เกิดขึ้นจริง ซ้ำร้ายกว่านั้น บางโรงเรียนยังคงยึดกฎเก่า และตัดหรือกร้อนผมเด็กอยู่เหมือนเดิม
ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกมากล่าวว่า โรงเรียนต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กระทรวงออกมา เพราะกฎโรงเรียนเล็กกว่ากระทรวง ขัดกันไม่ได้ แต่ข่าวคราวเด็กโดนครูตัดผมก็ยังมีมาให้เห็นทุกวัน นั่นแปลว่า สิทธิของเด็กยังถูกละเมิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
The MATTER เลยขอทำภาพมาให้เห็นกันว่า ทรงผมไหนที่ครูไม่มีสิทธิว่ากล่าวเด็กว่าผิดระเบียบ ยิ่งกว่านั้น การลงโทษเด็กด้วยการกร้อนผมหรือตัดผม ยังถือเป็นการละเมิดสิทธิของมนุษย์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่พึงกระทำได้
ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ระบุว่า นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านข้าง ด้านหลังต้องยาวไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะให้เป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย
ส่วนของนักเรียนหญิง ระเบียบกระทรวงระบุไว้ว่า นักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย
ขณะที่ ข้อห้ามตามที่ระเบียบนี้กำหนดไว้คือ ห้ามดัดผม ห้ามย้อมสีผมให้ผิดไปจากเดิม ห้ามไว้หนวดหรือเครา และการกระทำอื่นใดซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพการเป็นนักเรียน เช่น การตัดแต่งทรงผม เป็นรูปทรงสัญลักษณ์หรือเป็นลวดลาย
โดยกฎเหล่านี้ไม่ให้นำมาใช้บังคับกับนักเรียนที่มีเหตุผลความจำเป็นในการปฏิบัติตามหลักศาสนาหรือการดำเนินกิจกรรมของสถานศึกษา ให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุญาต
ขณะเดียวกัน วิธีการที่ครูลงโทษได้
- ว่ากล่าวตักเตือน
- ทำทัณฑ์บน
- ตัดคะแนน
- ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับปรุงพฤติกรรม
จะเห็นว่า ไม่มีกฎข้อไหนที่ระบุว่า ให้ครูสามารถตัด/กล้อนผมนักเรียนได้
แต่อย่างที่บอกว่า จริงๆ แล้วนักเรียนควรกำหนดการแต่งกายและทรงผมของตัวเองได้อย่างอิสระ และไร้ข้อจำกัด เพราะตามอนุสัญญาสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามเป็นภาคีตั้งแต่ปี 2535 แล้ว
และอนุสัญญานี้ก็ระบุด้วยว่า
- ข้อ 14 รัฐภาคีมีหน้าที่เคารพเสรีภาพในทางความคิดของเด็ก
- ข้อ 28 รัฐภาคีมีหน้าที่ดำเนินการให้ระเบียบวินัยของโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่จัดการศึกษาของเด็กนั้น สอดคล้องกับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และที่สำคัญต้องสอดคล้องกับอนุสัญญาสิทธิเด็กด้วย
- ข้อ 37 รัฐภาคีต้องไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่เด็กถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพโดยไม่มีกฎหมายกำหนด
นั่นแปลว่า สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ และการกำหนดกฎระเบียบที่ละเมิดสิทธิเหล่านี้ก็คือการทำผิดกฎอนุสัญญาสิทธิเด็กเช่นกัน