แค่น้ำในหูไม่เท่ากัน ชีวิตคุณก็ลำบาก อย่าว่าแต่จะเดินไปฟังคำพิพากษาเลย แค่ทรงตัวอยู่นิ่งๆ โลกทั้งใบก็เหมือนจะชวนเต้นสวิงโดยไม่ขออนุญาตสักคำ
“วันนี้ขอเทนะ ออกไปข้างนอกไม่ได้ น้ำในหูไม่เท่ากัน” มีคนเป็นล้านๆ ที่ตื่นเช้ามาพบกับอาการ ‘บ้านหมุน’ หรือ Vertigo ภาพที่เห็นคือความบิดเบี้ยวจนเกิดอาการเวียนหัว หน้าซีด ความดันสูง ซึ่งคนไทยประมาณ 5% ต้องเผชิญหน้ากับอาการนี้ และในกรณีคนปกติมีสถิติว่า 69 ล้านคนเคยมีประสบการณ์บ้านหมุนหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น ยิ่งพ่อๆ แม่ๆ ของเราที่อายุเกิน 50 ปี มีโอกาสเสี่ยงจากอาการนี้ถึง 40% หากอาการบ้านหมุนเกิดขึ้นในขณะที่กำลังขับรถ เดินขึ้นบันได หรือไต่ยอดเขาคิลิมันจาโร (จะมีคนทำไหม) เราอาจเสียการทรงตัวอย่างรุนแรงจนอาจส่งผลต่อชีวิตของตนและคนอื่นด้วย
ต้นเหตุของอาการมาจากโรคหลายประการ ตั้งแต่ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Benign paroxysmal position vertigo) โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โรคน้ำคั่งในหู หรือ โรคมีเนียร์ (Meniere’s disease) หรือแม้กระทั่งโรคไมเกรน (Migraine) แต่หากมานั่งวิเคราะห์จากสาเหตุโรค The MATTER ก็ไม่ใช่หมอ งั้นลองอ่านเพิ่มจากข้อมูลที่โรงพยาบาลพญาไทจัดทำไว้กันนะจ๊ะ
ในหู ไม่รู้มีอะไร
หลายคนคิดว่า ‘หู’ มีไว้แค่รับฟังเสียงจากโลกภายนอก แต่จริงๆ แล้วหูสองข้างของคุณมีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะมันช่วยทำให้รู้ว่าคุณหันไปทิศทางไหนและช่วยให้คุณมองเห็นอะไรๆ ต่างชัดขึ้น ด้วยโครงสร้างอันลึกลับซับซ้อนที่มีชื่อว่า ‘ระบบการทรงตัวของร่างกาย’ (Vestibular system) ซึ่งแอบซ่อนอยู่หูส่วนในใกล้บริเวณ ‘ท่อขดก้นหอย’ หรือ ‘คอเคลีย’ (Cochlea) ถึงแม้ดูจากรูปด้านล่างมันอาจจะหน้าตาเหมือนก้นหอยมรณะ แต่มันสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตของพวกเรา ดังนั้นปั่นหูกันเบาๆ มือ เพราะนอกจากจะทำให้แก้วหูทะลุ คุณเองอาจทำลายระบบทรงตัวอย่างน่าหวาดเสียว
ในระบบทรงตัวของร่างกายเรา มีหลอดกึ่งวงกลม (Semicircular) 3 หลอดที่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเหม็งสุดๆ แล้วตามธรรมชาติ เพื่อบอกตำแหน่งหัวของคุณว่าหันไปทิศทางไหน เหมือนแกน 3 มิติ โดยมีของเหลวหยุ่นๆ เหนียวๆ อยู่ภายใน ส่วนกระเปาะยูตริเคิล (Utricle) และแซคคูล (Saccule) เป็นส่วนที่รับความรู้สึกเคลื่อนไหวของร่างกายในแนวราบและแนวดิ่ง
ในกระเปาะที่หน้าตาเหมือนเกสรดอกไม้นี้เองจะมีเส้นขนเล็กๆ พริ้วๆ ที่อ่อนไหวและบอบบาง เรียกว่าเส้น Stereocilia เมื่อเราหันหัวไปทางไหนเส้นที่ว่านี้จะโค้งงอไปตามทิศทางนั้นเพื่อส่งสัญญาณไปตามเส้นประสาทการทรงตัว (Vestibular Nerve) ให้สมองคุณรับรู้ว่านี่หันซ้ายนะ นี่หันขวาอยู่ ฟังดูละเอียดอ่อนทีเดียวเชียว!
อาการบ้านหมุนที่เราสงสัยกันก็อาจมีสาเหตุมาจากสัญญาณประสาทการทรงตัวส่งไปสู่สมองไม่เท่ากัน 2 ข้าง จึงเกิดอาการเวียนศีรษะ หรือกระเปาะยูตริเคิล (Utricle) หลุดเข้าในท่อครึ่งวงกลม ซึ่งเอาเข้าจริงๆอาการนี้ก็รักษายากอยู่
แล้วนักกีฬาเขาไม่มึนกันเหรอเวลาหมุนติ้วๆ กระโดดตีลังกาไปกลางเวหา 6 ตลบของนักฟรีรันเนอร์ หรือหมุนเป็นลูกข่างสลาตันของบัลเล่ต์มืออาชีพ แน่ล่ะสมองของพวกเขารับมือการความวิงเวียนแตกต่างจากคนธรรมดาอย่างเราเพราะได้รับการฝึกฝน เมื่อการรับรู้เกี่ยวกับการหมุนมีความอ่อนไหว ‘น้อยกว่า’ คนธรรมดาจึงทำให้พวกเขาสามารถต้านทานอาการบ้านหมุนได้ดีกว่า
แอบติดตามความก้าวหน้าของการรักษาอาการบ้านหมุนแนวใหม่
ปรกติแล้วอาการบ้านหมุนสามารถรักษาด้วยยาหรือการทำกายภาพบำบัด แต่ผู้ป่วยอีกหลายพันคนพบว่าไม่ได้ช่วยให้อาการของพวกเขาดีขึ้น
“ผู้ป่วยหลายคนที่สูญเสียสมดุลการทรงตัวบอกกับพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การรักษาที่มีอยู่ช่วยพวกเขาไม่ได้” Charles Della Santina นักโสตศอนาสิกวิทยา (Otolaryngology) จากสถาบัน Johns Hopkins ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิศวกรรม จึงหาทางออกด้วยการฝังหูชั้นในเทียม (Prosthetic ear implants) ในผู้ป่วยที่มีอาการบ้านหมุนเรื้อรัง ซึ่งได้ไฟเขียวจาก FDA แล้ว โดยเจ้าหูชั้นในเทียมจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวขนาดจิ๋ว 2 ชิ้น เหมือนระบบ Gyroscope ในเครื่องบิน (ในมือถือคุณเองก็มีระบบนี้นะ) แล้วส่งสัญญาณไปยังสมองโดยไม่ต้องพึ่งระบบการทรงตัวของร่างกายตามธรรมชาติ
ส่วนอีกวิธีคือการปลูกถ่ายเส้นขน Stereocilia (ถ้าจำไม่ได้กลับไปดูที่รูปด้านบน) ด้วยการควบคุมยีน ATOH1 ที่มีหน้าที่ทำให้ขน Stereocilia งอก ซึ่งเป็นงานวิจัยของ Hinrich Staecker นักโสตศอนาสิกวิทยาจาก University of Kansas โดยฉีดส่วนผสม CGF166 ที่ทำให้ยีน ATOH1 งอกขึ้นมาใหม่ แต่การรักษาด้วยยีนก็ยังมีข้อสังเกตว่าอาจไปขัดขวางการทำงานของภูมิต้านทางร่างกาย จึงยังต้องศึกษาในระยะยาวอีก