หญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุ 25 ปี ถูกกระหน่ำตีด้วยของแข็ง ในเพ้นท์เฮาส์สุดหรูของเธอเอง คดีฆาตกรรมปริศนานี้มีผู้ต้องสงสัยเกี่ยวพันเหตุการณ์เป็นชายหนุ่ม 5 คน แต่ตำรวจกลับไม่มีหลักฐานใดมัดตัวพวกเขาได้เลย เว้นเสียแต่ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนสิ้นลมหายใจ…ใบหน้าฆาตกรโหด
เป็นไปได้ไหมที่เราจะใช้มัน เพื่อไขคดีลึกลับนี้?
ย่อหน้าข้างบนอาจเหมือนบทนำของนิยายสืบสวนสอบสวนไซไฟสักเล่ม แต่โลกแห่งความจริงก็ได้เขยิบเข้ามาใกล้กับสิ่งในจินตนาการมากขึ้นเมื่อมีนวัตกรรมกล้องถ่ายรูปที่เลียนแบบธรรมชาติดวงตามนุษย์ โครงสร้างของเลนส์กล้องที่ว่านี้แทบไม่ต่างจากกลไกการทำงานของดวงตาพวกเราเลย ถ้าอย่างนั้นไอเดียที่ว่า “ดวงตาจะสามารถบันทึกภาพสุดท้าย” ก็ดูเป็นเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้ แน่นอนว่างานวิจัยหลายชิ้นก็พยายามพิสูจน์เรื่องนี้
‘ออพโตกราฟฟี’ (Optography) คือกระบวนการที่พยายามศึกษาการทำงานของจอตา ว่ามันสามารถบันทึกภาพสุดท้ายที่คนเห็นก่อนตายได้หรือไม่ และนำมาพิมพ์เป็นภาพ งานวิจัยถูกพัฒนาขึ้นโดย Franz Christian Boll นักสรีระวิทยาในปี ค.ศ. 1876 ทฤษฏีนี้มีกระบวนการคือ เม็ดสี (Pigment) ที่แอบซ่อนอยู่ตรงหลังลูกตาจะฟอกขาวเมื่อถูกแสง และคงสภาพเป็นสีเดิมเมื่ออยู่ในความมืด เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘วิทัศน์สีม่วง’ (Visual Purple) ซึ่งในปัจจุบัน วิทยาการทางจักษุวิทยาค้นพบว่ามันคือ เซลล์บาง ๆ รูปสี่เหลี่ยม ภายในบรรจุ Pigment ชื่อโรดอปซิน (Rhodopsin) หรือเรียกง่ายๆ ว่าสารสีม่วงแดงที่ไวต่อแสงนั่นเอง
คราวนี้เทคนิค Optography ถูกนำไปต่อยอดอย่างรวดเร็วและน่าตื่นตาโดย Wilhelm Friedrich Kühne (วิลเฮล์ ฟรีดริช คุนน์) นักสรีระวิทยาชาวเยอรมัน จาก University of Heidelberg โดยเอาการค้นพบเซลล์โรดอปซินไปทดลองในกระต่ายเผือก (หวาดเสียว!)
คุนน์มัดกระต่ายเผือกไว้กับหลักแล้วบังคับให้มันเพ่งไปยังหน้าต่างที่ติดเหล็กดัดแบ่งเป็นตารางหลายขนาดเจ้ากระต่ายจะเห็นเพียงแค่มุมเดียวและยากที่ละสายตา หลังจากนั้นเจ้ากระต่ายมันจะถูกคลุมผ้านานหลายนาทีเพื่อให้สายตาปรับเข้ากับความมืด เมื่อเซลล์โรดอปซินปรับตัวกับความมืด คุนน์จะเปิดผ้าออก ให้สายตากระต่ายเพ่งมองไปยังหน้าต่างที่สว่างจ้า และทันใดนั้น
ฉัวะ!! คุนน์ตัดหัวกระต่ายทันที
ลูกตาถูกควักออกมาผ่าตามแนวเส้นผ่านศูนย์กลาง เพื่อดึงเอาจอตาและล้างมันในน้ำยาสร้างภาพคล้ายการล้างฟิล์มเนกาทีฟ
ซ้ายสุด – จอตากระต่ายที่ไม่มีการทำด้วยเทคนิค Optogram มีแค่เส้นเลือดและเส้นประสาท
กลาง – ภาพสุดท้ายที่กระต่ายเห็นคือหน้าต่างที่ถูกแบ่งเป็น 7 ช่อง
ขวาสุด – ภาพสุดท้ายของกระต่ายที่มองไปยัง หน้าต่าง 3 ช่อง
การทดลองของคุนน์ สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงนิติวิทยาศาสตร์ โดยมีการทดลองสืบคดีจากภาพสุดท้ายของเหยื่อคดีฆาตกรรมในปี ค.ศ. 1877 จะว่าไปแผนจับตัวยฆาตกรฉาวโลกอย่าง’แจ็คจอมเชือด’ (Jack the Rippe) ที่ออกอาละวาดในลอนดอน ราวปี ค.ศ. 1888 ก็ใช้เทคนิคนี้ด้วยเช่นกัน
แล้วฆาตกรอยู่ไหน? วิธีนี้ใช้ได้ชัวร์หรือมั่วนิ่มนะ?
ศรัทธาในการสืบคดีด้วย Optogram เริ่มลดบทบาทลง เนื่องจากข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้ไม่เสถียรและมีน้ำหนักไม่เพียงพอในเชิงนิติวิทยาศาสตร์ การทดลองของคุนน์ เหยื่อจะต้องเห็นแสงที่ตัดกันมากๆ อย่างแสงมืดและแสงสว่างจึงจะสร้างภาพจากเซลล์โรดอปซินที่ชัดเจนได้ และเมื่อคุนน์เสียชีวิตก็ไม่มีนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่สานต่อองค์ความรู้นี้เลย
ภาพ Optogram สุดท้ายที่มาจากมนุษย์ โดยฝีมือคุนน์ คือภาพจากจอตาของฆาตกร Erhard Gustav Reif ผู้ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดหัวโดยเครื่องกิโยตินซึ่งคุนน์ต้องรีบจัดแจงควักลูกตามออกมาสร้างภาพ Optogram ภายในเวลา 10 นาที
เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า ภาพที่คุนน์วาดนั้นคือใบมีดกิโยติน หรือขั้นบันไดลานประหารก่อนที่ฆาตกรจะถูกปิดตา น่าเสียดายที่ภาพ Optogram ที่แท้จริงกลับสูญหายพร้อมกลับการจากไปของคุนน์
ในโลกนิติวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน มีการกล่าวอ้างหลายครั้งว่า เรากำลังพยายามไขคดีจากใบหน้าฆาตกรด้วยเทคนิค Optogram แต่กลับเป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริง หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ในซีรีส์วิทยาศาสตร์แฟนตาซีอย่าง Doctor Who หรือ Fringe
อย่าเสียดายไปเลย นิติวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไปไกลกว่านั้นเยอะแล้ว
เริ่มตั้งแต่การหาเอกลักษณ์เฉพาะจากลายนิ้วมือ วิถีกระสุน DNA และก้าวหน้าไปถึงขั้นการสืบจาก ฟีโนไทป์ (Phenotype) ลักษณะที่ปรากฏให้เห็นภายนอกซึ่งเป็นผลมาจากยีน ไล่มาตั้งแต่ เส้นขน ลูกตา ผิวหนัง ไปจนถึงแบคทีเรียที่ต่างชนิดกันของเรา
ความก้าวหน้าทางวิทยาการพันธุศาสตร์ และอณูชีววิทยา (Molecular biology) ยิ่งทำให้เราค้นพบความมหัศจรรย์ว่าร่างกายของมนุษย์นั้นทิ้งอะไรไว้มากมายในที่เกิดเหตุ และนั่นยิ่งมัดตัวฆาตกรให้ดิ้นยาก
แม้วิทยาการเหล่านี้จะก้าวไกลไปมาก แต่ระบบการพิจารณาคดีภายใต้ความยุติธรรมก็ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ไปพร้อมๆ กัน
เมื่อถึงเวลานั้นความยุติธรรมจะศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ต้องพึ่งพา’ภาพสุดท้ายของคนตาย‘เลยด้วยซ้ำ
อ้างอิงข้อมูลจาก
Optography and optograms