แรกเริ่มเดิมทีถุงพลาสติกถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป็นฮีโร่ช่วยกู้โลก
ปี 1959 สเตน กุสตาฟ ทูลิน (Sten Gustaf Thulin) วิศวกรชาวสวีเดนใช้โพลีเอทิลีน (Polyethylene) สร้างถุงพลาสติกขึ้นมา เพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าอันเกิดจากการใช้ถุงกระดาษเป็นหลักในช่วงเวลานั้น เนื่องจากถุงพลาสติกมีความยืดหยุ่นสามารถใช้ซ้ำได้หลายครั้ง แต่แล้วจากภาพลักษณ์ฮีโร่ ก็กลับกลายเป็นวายร้าย เมื่อคนใช้งานถุงพลาสติกกลับใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ประกอบกับถุงพลาสติกสามารถผลิตได้ในราคาไม่แพง จึงได้รับความนิยมใช้อย่างแพร่หลาย จนไม่สามารถลดการใช้พลาสติกได้อีกต่อไป

ตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ไม่ใช่แค่ถุงพลาสติกที่ได้รับความนิยม เพราะพลาสติกกลายมาเป็นวัสดุสำคัญในการผลิตเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายชนิด ด้วยคุณสมบัติคงทน บิดขึ้นรูปง่าย ราคาถูก จึงพบเห็นพลาสติกได้ทั่วไป ทั้งในเสื้อผ้า บรรจุภัณฑ์อาหาร ของเล่นเด็ก โทรศัพท์ เครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงสินค้าเฉพาะทางอีกมากมาย
และเมื่อมีพลาสติกอยู่มากในสังคม พอมันเสื่อมอายุการใช้งานก็จะกลายเป็นขยะพลาสติกจำนวนมหาศาล จนเกิดเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะขยะที่ไม่ถูกจัดการอย่างถูกต้องจะคงอยู่ในธรรมชาติต่อไปอีกยาวนานมากกว่าร้อยปี จึงมีผู้ที่เสนอว่าทางออกของการลดขยะพลาสติก คือ “การรีไซเคิล” แต่ทางออกที่ว่านี้ มันจะพาเราหลงทางหรือไม่? เราเจอทางออกที่แท้จริงหรือเปล่า?
ย้อนไปในช่วงทศวรรษ 1980s ประชาชนเริ่มตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะพลาสติก บางประเทศจึงเริ่มพิจารณาสั่งห้ามผลิตสิ่งของเครื่องใช้จากพลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่าง Big Oil ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทน้ำมันและพลังงานยักษ์ใหญ่ของโลกที่มีส่วนในการผลิตพลาสติกจึงหาทางแก้เกม โดยการออกแคมเปญรณรงค์การรีไซเคิลผลิตภัณฑ์พลาสติก ซึ่งมีการออกแบบสัญลักษณ์ RICs (Resin Identification Codes) ที่มีลักษณะเป็นลูกศรชี้กันเป็นสามเหลี่ยม พร้อมระบุตัวเลขชนิดของพลาสติกตั้งแต่ 1-7 เพื่อให้คนเชื่อว่าขยะพลาสติกสามารถนำมารีไซเคิลได้

แต่ความจริง แม้ผลิตภัณฑ์จะมีรูปสัญลักษณ์ลูกศรชี้กันเป็นสามเหลี่ยม ก็ไม่ได้หมายความว่าพลาสติกทุกชนิดจะสามารถนำมารีไซเคิลได้ เมื่อมีเพียงแค่พลาสติกเบอร์ 1 (PET) และเบอร์ 2 (HDPE) เท่านั้นที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ ส่วนพลาสติกตั้งแต่เบอร์ 3-7 นั้นยากต่อการนำกลับมาใช้ใหม่มาก สุดท้ายแล้วจึงมีพลาสติกจำนวนไม่มาก จากจำนวนขยะพลาสติกทั้งหมด ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้จริง
จากรายงานของ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นองค์กรการร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาระหว่างประเทศ ที่ทำหน้าที่รวบรวมสถิติระดับโลก ระบุไว้ว่าทั่วโลกมีการรีไซเคิลพลาสติกอยู่ไม่ถึง 10% จากปริมาณขยะทั้งหมด โดยในรายงาน OECD Global Plastics Outlook ปี 2019 ระบุว่าจากปริมาณขยะพลาสติกที่ผลิตทั้งหมดในปีนั้นมีอยู่ประมาณ 353 ล้านตัน ถูกเก็บรวบรวมได้เพียงแค่ 15% จากปริมาณขยะทั้งหมด และถูกรีไซเคิลได้จริงเพียงแค่ 9% จากปริมาณขยะทั้งหมด นอกจากนั้นไม่สามารถรีไซเคิลได้จริง ทำให้ต้องมีการกำจัดขยะพลาสติกด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น การเผาทำลาย หรือการฝังกลบ แต่ก็มีขยะพลาสติกอีกจำนวนมากที่ถูกจัดการอย่างไม่เหมาะสม หรือหลุดรอดออกไปสู่ธรรมชาติ
คราวนี้อยากชวนทำความรู้จักกระบวนการในการรีไซเคิล เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าปัญหาเกิดจากจุดไหน และจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป โดยการรีไซเคิลที่มักพบได้เป็นส่วนใหญ่เรียกว่า ‘การรีไซเคิลเชิงกล’ (Mechanical Recycling) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำความสะอาด การบด การหลอม และการแปรรูปพลาสติกให้อยู่ในรูปของเม็ดพลาสติก ซึ่งข้อจำกัดของการรีไซเคิลรูปแบบนี้คือ การปนเปื้อนคราบอาหารหรือพลาสติกต่างชนิดกัน จะทำให้เข้าสู่กระบวนการแปรรูปไม่ได้ นอกจากนี้การรีไซเคิลด้วยรูปแบบนี้ในทุกครั้ง คุณภาพของพลาสติกจะเสื่อมลง ทำให้สามารถรีไซเคิลได้เพียง 1-2 ครั้ง ก่อนจะกลายเป็นขยะที่ต้องนำไปกำจัดด้วยวิธีการอื่นต่อไป

เมื่อเปรียบเทียบการรีไซเคิลเชิงกลกับการผลิตพลาสติกใหม่ (Virgin Plastics) กลับกลายเป็นว่าการรีไซเคิลนั้นเสียเปรียบอย่างชัดเจน เนื่องจากพลาสติกใหม่นั้นมีคุณภาพสูง และไม่มีข้อจำกัดด้านวัตถุดิบ ต่างจากการรีไซเคิลที่คุณภาพลดลงตามจำนวนครั้งที่ถูกรีไซเคิล รวมถึงในกระบวนการจำเป็นต้องแยกชนิดพลาสติกและต้องทำความสะอาดอย่างดีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของราคา เพราะการรีไซเคิลเชิงกลมักมีราคาแพงกว่าการผลิตพลาสติกใหม่ประมาณ 35% โดยราคาการผลิตพลาสติกใหม่นั้นขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันลดลง การผลิตพลาสติกใหม่ก็ยิ่งถูกลงมาก ในขณะที่การรีไซเคิลยังคงต้องมีกระบวนการซับซ้อนดังเดิม
มีรายงานจาก Center of Climate Integrity (CCI) และเอกสารภายในที่เปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรม Big Oil ที่ลงทุนกับการส่งเสริมการรีไซเคิล รู้อยู่แก่ใจว่าการรีไซเคิลนั้นไม่สามารถทำได้อย่างยั่งยืน เพราะไม่มีความคุ้มค่าทั้งทางด้านเศรษฐกิจและด้านเทคนิค โดยรู้กันมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970s ถึง 1980s อยู่แล้ว ทำให้นักวิชาการบางส่วนมองว่าแคมเปญการส่งเสริมการรีไซเคิล เป็นการผลักภาระความรับผิดชอบให้กับผู้บริโภค ที่ต้องตรวจสอบฉลาก ล้างบรรจุภัณฑ์ แยกชนิดพลาสติก และนำไปรีไซเคิล โดยที่บริษัทผู้ผลิตพลาสติกกลับสามารถสั่งผลิตพลาสติกได้ดังเดิม
การแก้ปัญหาด้วยวิธีการรีไซเคิลแบบเดิมที่เราคุ้นเคยกัน สามารถทำกันได้อีกเพียงไม่นาน เพราะจากข้อมูลที่เคยเล่าว่า ตัวเลขการรีไซเคิลพลาสติกทั่วโลกอยู่ที่ปริมาณ 9% จากขยะทั้งหมดนั้น สถิติจากสหรัฐฯ ในปี 2021 ระบุว่าจากอัตราการรไซเคิลในปี 2018 อยู่ที่ 8.7% ของขยะทั้งหมด กลับร่วงเหลือเพียง 5-6% ในปี 2021 สะท้อนให้เห็นถึงทางตันที่พวกเรากำลังจะต้องเผชิญ กับการจัดการกับขยะพลาสติกที่มีอยู่เกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งโลก

เมื่อเป็นเช่นนั้น นักวิชาการจึงได้พิจารณาตัวอย่างวิธีการแก้ปัญหาออกมาในรูปแบบของการควบคุมที่ต้นทางผู้ผลิตพลาสติก เช่น ควบคุมการผลิตพลาสติกใหม่ เพื่อจำกัดปริมาณลง หรือการปรับราคาภาษีกับทางผู้ผลิตพลาสติก เพื่อให้สินค้าจากวัสดุรีไซเคิลสามารถต่อสู้ทางราคากับพลาสติกใหม่ได้
ส่วนวิธีการแก้ปัญหาที่ปลายทางอย่างการรีไซเคิล ตอนนี้กำลังมีการพัฒนาวิธีการรีไซเคิลขึ้นมาใหม่ จากรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical Recycling) เป็นรีไซเคิลทางเคมี (Chemical Recycling) โดยเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของขยะพลาสติกให้กลับไปเป็นสารเคมีพื้นฐานในการผลิตพลาสติกใหม่ได้ ด้วยเทคนิคทางเคมี ซึ่งมีการพัฒนาหลายเทคนิคในปัจจุบัน ข้อดีของการรีไซเคิลรูปแบบนี้คือพลาสติกหลังการรีไซเคิลจะมีคุณภาพสูงเทียบเท่ากับพลาสติกใหม่ และสามารถจัดการพลาสติกได้หลากหลายชนิดกว่าวิธีการดั้งเดิม แต่ข้อเสียคือใช้พลังงานมากกว่า อาจมีการปลดปล่อยมลพิษมากกว่าวิธีการดั้งเดิม รวมถึงกระบวนการนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา จึงยังเป็นกระบวนการที่มีค่าใช้จ่ายสูง และยังไม่สามารถทำให้คุ้มทุนในระดับใหญ่ได้
การรีไซเคิลจึงไม่ใช่ที่พึ่งของเราอย่างแท้จริง การลดขยะพลาสติกนั้นจึงต้องมาจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งผู้ผลิตที่ต้องปรับตัวตามมาตรการลดการผลิตพลาสติก ทั้งการรีไซเคิลที่ต้องพัฒนาหาวิธีใหม่ที่มีคุณภาพ และตัวผู้บริโภคอย่างพวกเราเอง ที่สามารถลดการใช้พลาสติกครั้งเดียวแล้วทิ้งได้ ด้วยการใช้ซ้ำหลายๆ ครั้ง หรือพกพาแก้ว กล่องอาหาร และช้อนส้อมไปเองเมื่อไปกินข้าวข้างนอกบ้าน ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ทันที และสามารถลดการใช้พลาสติกได้จริงเท่าที่พวกเราทำได้
อ้างอิงจาก