“ถ้าต้องการสถาปนาอำนาจอธิปไตยที่มีอารยะทัดเทียมนานาประเทศ เราต้องเดินหน้าทำสิ่งที่คณะราษฎรทำไม่สำเร็จต่อไป แล้วถ้าสักวันหนึ่งเราทำสำเร็จ เราจะกลับมาเรียกการปฏิวัติ 2475 ว่า เป็นการปฏิวัติสำคัญ”
ข้อความข้างต้นเป็นคำกล่าวของ ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ในงานเสวนาชื่อ อำนาจ กับ/ของ ความรู้ประวัติศาสตร์ เพื่อ/ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
โดยในการเสวนาในครั้งนี้ อาจารย์ธงชัยเปิดสารคดี 2 เรื่อง ว่าด้วยการกำเนิดของประชาธิปไตยไทยให้รับชมกัน เพื่อให้ลองคิดตามและเปรียบเทียบความแตกต่าง
อาจารย์ธงชัยกล่าวต่อว่า ภาพที่ขัดแย้งกันระหว่างประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ชัดจากการเปรียบเทียบ 2 สารคดีนี้ ซึ่งสารคดีเรื่องแรกมีชื่อว่า พระที่นั่งอนันตสมาคม ผลิตโดยสำนักงานทีมข่าวรัฐสภา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนเพื่อซ่อมแซมและบูรณะอาคารพระที่นั่งอนันตสมาคมที่ทรุดโทรม สารคดีเรื่องนี้ออกฉายทางโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม (วันรัฐธรรมนูญ) ปี 2505
สารคดีเรื่องที่ 2 มีชื่อว่า แรกเริ่มประชาธิปไตยไทย ปี 2475-2476 ผลิตโดยสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย เป็นโครงการที่ตั้งใจจะผลิตออกมาในวาระครบ 50 ปีประชาธิปไตยไทย ในปี 2525 แต่ปรากฏว่าผลิตเสร็จช้า จนสารคดีออกฉายปี 2527 แทน อย่างไรก็ตาม สารคดีดังกล่าวไม่เคยฉายบนทีวีที่ไหนมาก่อน มีเพียงในแวดวงวิชาการที่รับรู้ว่ามีผลงานชิ้นนี้อยู่
“หลังสารคดีทั้งสองเรื่องฉายจบ ทุกคนคงเห็นความต่างกัน (contrast) อย่างชัดเจน แต่หากมองในมุมประนีประนอม อาจรู้สึกว่าทั้งสองเรื่องก็เล่าถูกทั้งคู่ เพียงพูดกันคนละแง่มุมเท่านั้น”
เพื่ออรรถรสในการอ่านบทความ สามารถรับชมสารคดีทั้งสองเรื่องได้ที่: youtube.com
หลังสารคดีทั้งสองเรื่องจบลง อาจารย์ธงชัยกล่าวถึงสารคดี ‘พระที่นั่งอนันตสมาคม’ ว่า เป็นการเล่าความเป็นมาของพระที่นั่งอนันตสมาคม กับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยในสยาม ที่เน้นถึงการเตรียมการของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถึงสมัยรัชกาลที่ 7 สำหรับการเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
“บางตอนถึงกับกล่าวว่า รัชกาล 5 ทรงเห็นการณ์ไกล จึงเตรียมที่จะสร้างพื้นที่สำหรับประชุมรัฐสภา ทำให้ที่นั่งอนันตสมาคม เป็นพระราชวังในฝันของพระองค์”
อาจารย์ธงชัย กล่าวสรุปเกี่ยวกับสารคดีเรื่องดังกล่าวเพิ่มว่า รัชกาลที่ 6 ก็ทรงสร้างดุสิตธานี เพื่อให้เป็นเมืองทดลองประชาธิปไตย และรัชกาลที่ 7 ก็จัดเตรียมเช่นเดียวกัน ทว่าเกิดการปฏิวัติสยาม 2475 ขึ้นเสียก่อน
“ถ้าคุณสังเกต สารคดีดังกล่าวพูดถึงคณะราษฎรราว 1 นาทีครึ่งเท่านั้น (สารคดีมีความยาว 30 นาที) หลังจากนั้นจะฉายภาพให้เห็นว่า พระที่นั่งอนันตสมาคม กลายเป็นเวทีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เท่ากับมีสิ่งดีๆ และสิ่งสร้างสรรค์เกิดขึ้นในพระที่นั่งฯ มากมาย หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง”
อาจารย์พูดว่า ในช่วงท้ายของสารคดีจะระบุถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 9 และการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ โดยตอนจบสารคดีระบุว่า พระที่นั่งฯ ถือเป็นประจักษ์พยานและสัญลักษณ์ให้แก่ปวงชนชาวไทยว่า
“สถาบันกษัตริย์ชาติไทยและระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะไม่มีวันแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างที่เป็นมาตั้งแต่โบราณกาล”
ต่อมาอาจารย์กล่าวถึงสารคดีเรื่อง ‘แรกเริ่มประชาธิปไตยไทย ปี 2475-2476’ หรือ เรื่องที่ 2 ว่า สารคดีเริ่มต้นด้วยการพูดว่า สยามปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นเวลากว่า 500 ปี ซึ่งนักประวัติศาสตร์สมัยนี้คงตั้งคำถามว่าเกินมา 450 ปีหรือเปล่า เพราะระบอบดังกล่าวมีมาราว 50 ปี หากนับในช่วงที่เกิดการปฏิวัติสยาม 2475 ฉะนั้นแล้วหากใช้คำว่า ราชาธิปไตยแทนอาจเหมาะสมกว่า อย่างไรก็ดี สารคดีเรื่องนี้ร้อยเรียงเรื่องราวตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก
เช่น ด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 (1801-1900) เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6 และพูดถึง กบฏ ร.ศ.130 หรือกลุ่มที่พยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นสาธารณรัฐ ซึ่งการต่อต้านดังกล่าวเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6
อาจารย์ธงชัย กล่าวว่า สารคดีเรื่องนี้พูดถึงคณะราษฎรเป็นส่วนมาก ตรงกันข้ามกับเรื่องแรกที่จะฉายภาพรถถัง แต่ไม่ได้พูดบรรยายใดๆ จนผ่านไปสักพักผู้บรรยายถึงพูดขึ้นมาว่า “เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร”
กลับมาที่สารคดีเรื่องที่ 2 จะพูดถึงพระมหากษัตริย์ในทำนองว่า กษัตริย์ซึ่งทำให้ประเทศเสื่อมโทรมลง ภายใต้การปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของแต่ละสารคดียังต่างกันตรงที่เรื่องแรกจบลงด้วยเรื่องราวในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 ตรงกันข้ามกับสารคดีเรื่องที่ 2 ที่จะเน้นเสนอภาพความขัดแย้งเป็นส่วนใหญ่ เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หรือสงครามกลางเมืองโดยกบฏบวรเดช
อาจารย์กล่าวสรุปสารคดีทั้ง 2 เรื่องว่า “สารคดีเรื่องแรกจะพยายามชี้ให้เราเห็นถึงความสืบเนื่องตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่พระองค์มีภาพสะท้อน (vision) ว่าอยากสร้างพระที่นั่งฯ ขึ้นมา ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงเพื่อเป็นที่ประชุมรัฐสภา แต่เรื่องที่ 2 จุดสำคัญคือ รัชกาลที่ 7 ลงนามรัฐธรรมนูญฉบับแรก ซึ่งประชาชนต่างรวมตัวกันสนับสนุนหลักแสนคน”

cr.International News Photos, Inc.
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราว (story) ของประชาธิปไตยมีอย่างน้อยด้วย 2-3 แบบประมาณนี้ รายละเอียดไม่ได้ต่างกันมาก ซึ่งทั้งสองเรื่องไม่ได้ต่างไปจากอนิเมชั่น ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ (2475 Dawn of Revolution) ที่เพิ่งออกฉายไม่นาน อาจารย์ชี้ว่าอนิเมชั่นดังกล่าวขยายส่วนความขัดแย้งระหว่างคณะราษฎร กับ รัชกาลที่ 7 ให้เห็นภาพมากขึ้น และยังกล่าวถึงความขัดแย้งเรื่องสมุดปกเหลือง และความขัดแย้งระหว่าง ปรีดี พนมยงค์ อีกด้วย
“สารคดีเรื่องแรกยังไม่ทำขนาดนี้ ยังเปิดช่องให้คนประนีประนอมกัน สามารถรับได้ทั้งรัชกาลที่ 7 และฝ่ายคณะราษฎร ต่างกับอนิเมชั่นที่กล้าจะระบุว่า มีความขัดแย้ง การปะทะกัน และยังย้ำอย่างชัดเจนว่า ปรีดีเป็นผู้ร้ายของเรื่อง”
อาจารย์ธงชัยยังกล่าวต่อว่า แต่โครงเรื่องของอนิเมชั่นกับสารคดีเรื่องแรกมีความเหมือนกันตรงที่มีความต้องการลบคณะราษฎรและปรีดีออกจากสังคมไทย อย่างไรก็ตาม หลังสารคดีเรื่องแรกออกฉาย ก็เกิดการท้าทายข้อมูลโดยสารคดีเรื่องที่ 2 หลังจากนั้น
ดังนั้น รายละเอียดของแต่ละเรื่องราว เช่น สารคดีทั้งสองเรื่อง และอนิเมชั่น อาจดูต่างกัน แต่กรอบของเรื่องไม่ได้ต่างกัน ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เป็นความรู้ใหม่ แต่อาจเรียกได้ว่าเป็นความรู้นอกตำรา เพราะตำราคงไม่ใส่รายละเอียดมากมาย สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นประเด็นจากฝ่ายอนุรักษนิยมหรือฝ่ายก้าวหน้า โครงเรื่องก็จะไม่ต่างกันมาก มีอยู่ราว 2-3 รูปแบบ เท่านั้น
“แต่ละเรื่องราวสามารถแปลงออกมาเป็นรายละเอียดได้มากมาย แต่โครงเรื่องหลักจะไม่มีทางต่างกันไปมาก ดังนั้น อย่าไปติดอยู่กับรายละเอียดมาก เพียงแค่จับโครงเรื่องและประเด็นให้ได้ก็พอ ซึ่งเราอาจเชื่อผสมกัน และเชื่ออันหนึ่งมากกว่าหรือน้อยกว่าอันหนึ่งก็ได้”
กลับมาที่ ทำไมประวัติศาสตร์ 2475 ยังเป็นเรื่องราวสำคัญ แม้ว่าจะผ่านไป 92 ปีแล้วก็ตาม โดยอาจารย์ให้เหตุผลว่า “ก็เพราะมันมีความหมายต่อสถาบันสังคมและการเมืองค่อนข้างมาก เพราะสามารถบ่งบอกสถานะของกษัตริย์ในการเมืองไทย”
อาจารย์ธงชัยเสริมว่า เราเล่าเรียนมาและรับรู้ว่า ‘กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง’ แต่จริงๆ แล้วมันมีความหมายว่าอะไรกันแน่ หมายถึงไม่มีความเกี่ยวข้อง ไม่แปดเปื้อนกับการเมืองที่สกปรก เท่ากับกษัตริย์ถือว่าบริสุทธิ์ มีสถานะสูงส่งกว่า หรืออาจแปลว่าอยู่เหนือระบบการเมือง ที่ยังเกี่ยวข้องกับระบบการเมืองตลอดเวลา
เพราะมีนักวิชาการฝ่ายอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่ง พูดถึงสถาบันกษัตริย์กับการเมืองอีกแบบหนึ่ง ด้วยการให้การชอบธรรม (justify) ว่าเป็นความจำเป็นที่พระมหากษัตริย์จะไม่ปล่อยปละละเลย จึงอาจมีการเข้ามาแทรกแซงเมื่อถึงเวลาจำเป็น เพื่อสร้างความเสถียรภาพทางการเมือง เช่น ในช่วงรัฐบาลทหาร ที่บ้านเมืองค่อนข้างปั่นป่วนจากสงครามเย็นและการต่อต้านรัฐบาลของประชาชน
กษัตริย์จึงจำเป็นต้องวางตัวอยู่เหนือฝ่ายที่ทะเลาะกัน เพื่อให้เกิดเสถียรภาพกับการเมืองทั้งระบบ และให้รัฐไทยได้รับการนับหน้าถือตาในระดับสากล ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ หรือ พฤษภาฯ 35 ที่เกิดการตั้งคำถามว่า ถ้าไม่ได้ในหลวงเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งงานวิชาการเหล่านี้จะกล่าวถึงช่วง 2475 น้อย เหมือนเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดการสะดุดของความต่อเนื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์
“การปฏิวัติ 2475 เป็นหมุดหมายสำคัญ ที่จะทำให้เราเข้าใจสถาบันกษัตริย์กับระบบการเมืองไทย”
อาจารย์ธงชัย ระบุปิดท้ายว่า ในช่วงเวลานี้ 10-20 ปีที่ผ่านมา กลุ่มอำนาจไทยไม่เคยผนึกกำลังเป็นหนึ่งอันเดียวกันได้ขนาดนี้มาก่อน ไม่ทั้งก่อนหน้าปี 2475 หรือแม้แต่ในยุครัฐบาลทหาร เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำให้ขณะนี้กองทัพกับฝ่ายอนุรักษนิยมประสานกำลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเหนี่ยวแน่น ขนาดเกิดการละเลยเสียงการเรียกร้องของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาเชื่อว่าอำนาจไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ทำให้ไม่ต้องแคร์เสียงนกเสียงกา แม้ว่าจะเกิดความไม่พอใจ หรือประท้วงแค่ไหนก็ตาม ซึ่งความเฉยเมยต่อความชอบธรรมของประชาชนไม่เคยเกิดขึ้นชัดขนาดนี้ในประวัติศาสตร์ไทย
ทั้งนี้ แม้ว่าอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญหลักสี่ หมุดคณะราษฎร จะไม่มีแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้กลับอยู่ในตัวของเราไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมหรือนักวิชาการคนอื่นๆ ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า ภาวะที่ฝ่ายผู้มีอำนาจไม่สนใจข้อเรียกร้องของสาธารณชนจะนำไปสู่อะไร เพราะมันผิดแปลกจากตำรารัฐศาสตร์สมัยใหม่ แต่มันคือภาวะที่กลับเกิดขึ้นในสังคมไทยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ไม่มีใครสามารถให้คำตอบอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า อำนาจอธิปไตยเคยเป็นหรือไม่เคยเป็นของประชาชน เนื่องจากหลังการปฏิวัติ 2475 อำนาจเหมือนไปอยู่กับประชาชนเพียงระยะหนึ่ง พอปกครองกันล้มเหลวก็เกิดการรัฐประหาร อำนาจอธิปไตยก็กลับไปอยู่ที่พระกษัตริย์ทุกครั้งไป ดังนั้น นักวิชาการยังมีภารกิจที่ต้องทำต่อไปว่า ตกลงแล้วปฏิวัติ 2475 นำไปสู่การผลักดันประชาธิปไตยที่ไม่สำเร็จ ไม่สมบูรณ์ ไม่เต็มที่ ไม่สำคัญ หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งขนาดถอยกลับไม่ได้ หรือยังไงกันแน่”