ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งวงวรรณกรรมไทยและวงวิชาการด้านวรรณกรรมมีวรรณกรรมประเภทที่เรียกว่า ‘สัจนิยมมหัศจรรย์’ หรือ magical realism ถูกพูดถึงขึ้น จนเป็นหนึ่งในกระแสสำคัญของวรรณกรรมและการวิจารณ์วรรณกรรมร่วมสมัย แน่นอนว่าแค่ชื่อประเภทงานเขียนก็ฟังน่าหลงใหลแล้ว อะไรคือส่วนผสมที่ดูเป็นโลกแห่งสัจจะของสัจนิยม และอะไรคือความมหัศจรรย์ เป็นสองคำที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ แต่ฟังดูแล้วก็น่าจะสนุกมาก
ความนิยมในงานประเภทสัจนิยมมหัศจรรย์ส่วนหนึ่งมาจากงานเขียนสำคัญที่ถือว่ากรุยทางให้กับงานสัจนิยมมหัศจรรย์เช่นงานของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ งานกลุ่มลาตินอเมริกาที่เต็มไปด้วยสีสัน เรื่อยมาจนถึงงานของมูราคามิที่มีภาพเมืองอันแปลกประหลาดและเรื่องราวเหนือจริงที่ดูเป็นจริงนั้น ก็ทำให้งานแนวสัจนิยมมหัศจรรย์อ่านสนุก ทั้งฝีมือการเขียนชั้นครูก็ส่งอิทธิพลให้กับนักเขียนรุ่นต่อๆ ไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย
คำว่าสัจนิยมมหัศจรรย์ ถ้าอธิบายอย่างรวบรัด คือ เป็นวรรณกรรมที่สืบเนื่องมาจากงานแนวสัจนิยม—งานเขียนที่เน้นความสมจริง—ในขณะเดียวกันในงานเขียนนั้นก็กลับมีเรื่องราวประหลาดอันเหนือจริงเกิดขึ้น ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาหนึ่งของโลกอันสมจริงนั้น ตรงนี้สัจนิยมมหัศจรรย์จึงต่างจากงานแนวแฟนตาซีอยู่ตรงที่แฟนตาซีคือการสร้างโลกอีกใบขึ้นมาแล้วอาจจะมีการก้าวข้ามไปมาไปสู่โลกอีกใบนั้น ในขณะเดียวกัน สัจนิยมมหัศจรรย์อาจจะเป็นโลกทั่วๆ ไป ตัวละครที่เราเข้าใจและคิดภาพว่านั่งอยู่ข้างๆ เราได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นโดยที่โลกใบนั้นไม่รู้สึกแปลกประหลาดอะไร
ถ้าเราย้อนประวัติศาสตร์และที่มาของสัจนิยมโดยสังเขป งานแนวสัจนิยมมหัศจรรย์แน่นอนเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา หัวใจหนึ่งของงานสัจนิยมหัศจรรย์คือความเป็นการเมือง และการใช้ความเหนือจริงนั้นตอบโต้ความจริง—ความจริงที่โลกตะวันตกใช้เพื่อกดทับความเป็นอื่น ความจริงที่มีเหตุผล มีวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ที่มากำกับการมองโลก—แต่ทว่าในมุมของลาตินอเมริกาก็บอกว่านี่คือความจริงของฉัน ความจริงที่โลกของคนเป็นและคนตายปรากฏขึ้นพร้อมกันเป็นครั้งคราว โลกความจริงที่สรรพสัตว์และพืชพรรณเก็บงำความลับบางอย่าง และพวกมันอาจพูดหรือเล่าบางอย่างได้ถ้าเราทำตามเงื่อนไขที่เหมาะสม
ในแง่นี้ งานเขียนแนวสัจนิยมมหัศจรรย์มักสัมพันธ์กับเสียงของผู้ถูกกดขี่ และเป็นวิธีที่ผู้ถูกกดขี่หรือเรื่องราวที่ถูกละไว้ใช้ เมื่อไม่อาจเปล่งเสียงออกมาผ่านรูปแบบเรื่องเล่าธรรมดาหรือหน้าบันทึกของประวัติศาสตร์ได้ ความมหัศจรรย์นั้นบางครั้งเป็นนัยที่นักเขียนนำเอาเรื่องต้องห้ามเล่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ความเป็นเรื่องแต่งกลับมายอกย้อนกับเรื่องจริงที่ถูกเขียนให้มีเพียงหนึ่งเดียว
คำว่าสัจนิยมมหัศจรรย์ในแง่หนึ่งเป็นการจัดประเภทวรรณกรรมเพื่อทำความเข้าใจกระแสของวรรณกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังส่งอิทธิพลกับวงวรรณกรรมต่อไป การนิยามงานประเภทนี้จึงมีลักษณะเป็นกรอบกว้างๆ เช่น การที่ผู้เขียนปนโลกความจริงเข้ากับความเหนือจริง การใส่องค์ประกอบอันประหลาด และการใช้เรื่องราวเหนือจริงนั้นอธิบายประเด็นทางสังคมหรือเลียนล้อโลกแห่งความจริงอย่างเหนือจริง นิยามของงานเขียนที่เลือกมาในข้อเขียนชิ้นนี้ก็มาจากกรอบการนิยมทางวรรณกรรมศึกษาอย่างกว้างๆ
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา และในฐานะที่โลกความจริงก็เริ่มพร่าเลือนและดูเหนือจริงขึ้นไปทุกขณะ The MATTER จึงชวนไปรู้จักกับงานวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ทั้ง 9 เล่ม จากงานระดับคลาสสิก—ที่แน่นอนคือ ‘100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว’ ของมาร์เกซ ไปสู่งานละตินอเมริกันที่ว่าด้วยผู้หญิงและการถูกกดทับในครัวเรือน ที่ในที่สุดอาหารที่มีหยดน้ำตาของพวกเธอก็ส่งผลกับครอบครัวอย่างเหลือเชื่อ หรืองานสำคัญเช่น ‘Beloved’ ที่แม้จะเขียนขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยน้ำเสียงของคนผิวดำที่ไม่เคยมีเสียงในประวัติศาสตร์ รวมถึงการใช้ผีสางและเรื่องราวเหนือจริง ก็ได้รับการนิยามว่าเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์การกดขี่ของคนผิวดำด้วยวิธีการเขียนที่ตอบโต้วิธีเขียนประวัติศาสตร์ขาวคนผิวขาว เรื่อยมาจนถึงงานเขียนที่พูดเรื่องเมืองในมุมประหลาดตั้งแต่ญี่ปุ่นถึงกรุงเทพ และงานเขียนไทยที่พาไปสำรวจปัญหาชายแดนใต้ผ่านเสียงสะท้อนของเรื่องเหนือจริงที่เต็มไปด้วยบาดแผล
One Hundred Years of Solitude, Gabriel García Márquez
‘100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว’ เรียกได้ว่าคนรักหนังสือส่วนใหญ่น่าจะเคยได้ยิน บ้างคงเคยได้อ่านเรื่องราวอันแปลกประหลาดของชาวมาก็อนโดที่ใช้ชีวิตกันอย่างธรรมดาสามัญไปพร้อมกันเรื่องราวแปลกประหลาดของเมือง ชาวเมืองมาก็อนโดใช้ชีวิตกับคำสาปของตระกูล การกลับชาติมาเกิด เรื่องเหนือธรรมชาติ และพรมวิเศษได้อย่างธรรมดาสามัญ ทว่าแค่จากบทเปิดที่ถือกันว่ายอดเยี่ยมที่สุดของวรรณกรรมร่วมสมัย บทที่พูดที่ในหนึ่งประโยคมาร์เกซได้พูดถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตซึ่งทั้งหมดนั้นก็สัมพันธ์กับเรื่องราวในมาก็อนโดที่สัมพันธ์กับทั้งกับวัฒนธรรมโคลอมเบียที่อยู่ร่วมกับความเชื่อ และสัมพันธ์กับบริบทสงครามและความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ช่วงทศวรรษ 1960 ของโคลอมเบียเอง
Like Water for Chocolate, Laura Esquivel
เล่มนี้สนุกมาก มีฉบับหนังด้วย Like Water for Chocolate เป็นนวนิยายจากนักเขียนชาวเม็กซิกัน ตัวเรื่องพูดถึงติต้า นางเอกของเรื่องที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านกับครอบครัวขนาดใหญ่ ตัวเรื่องพูดถึงประเด็นเรื่องครัวเรือนและตำแหน่งแห่งที่ของผู้หญิงในครัวเรือน บางส่วนพูดเรื่องผู้หญิง ความปรารถนา และอาหาร ชื่อภาษาไทยของเรื่องคือ ‘รักซ้อนซ่อนรส’ ในเรื่องเราจะเห็นการใช้อาหารและการครัวในการแสดงอำนาจทางอ้อมของผู้หญิงซึ่งมักจะปรากฏออกมาในรูปแบบของความมหัศจรรย์ ส่วนใหญ่สัมพันธ์กับอาหารที่กลายมาเป็นอำนาจหนึ่งของตัวละครเอกที่ถูกกดทับในฐานะผู้หญิง เช่น ตัวละครเอกร้องไห้ตั้งแต่ในท้องเมื่อแม่หั่นหอม หรือการที่อารมณ์ของนางเอกส่งต่อผ่านอาหารไปที่คนกินได้ในหลายรูปแบบ นวนิยายเรื่องนี้ถือเป็นงานที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเมื่อเราพูดถึงกระแสวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์
Beloved, Toni Morrison
เป็นอีกครั้งที่เราพูดถึงงานสำคัญชิ้นนี้ของ โทนี มอร์ริสัน แต่ถ้าเราพูดถึงงานเขียนแบบสัจนิยมมหัศจรรย์ Beloved ถือเป็นงานเขียนที่มีความเป็นสัจนิยมมหัศจรรย์ และมีนัยทางการเมืองอย่างเข้มข้นในฐานะบันทึกและเสียงของคนผิวดำ โดยเฉพาะผู้หญิงอยู่ถูกกดขี่ซึ่งไม่เคยปรากฏในงานเขียนของคนผิวขาว หรือของประวัติศาสตร์อเมริกา ในเรื่อง Beloved เต็มไปด้วยเหตุการณ์อันแปลกประหลาด การกลับมาของคนที่ตายจากไปแล้ว เรื่องเล่าอันแปลกประหลาดทั้งหลายสัมพันธ์กับบาดแผล กับเสียงของเหล่าผู้หญิงที่อยู่ในโลกของกดขี่และการเป็นทาสที่ก้องออกมาผ่านความทรงจำอันซับซ้อน—หลายครั้งที่คอยหลอกหลอนพวกเธอ ถ้าเรามองการบันทึกประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยระบบเหตุผล การเล่าผ่านมุมมองที่มีความสมจริงที่คนผิวขาวบอกว่านี่คือการบันทึกความจริง แต่นวนิยายเรื่องนี้กำลังบันทึกเรื่องเล่าอีกด้านของประวัติศาสตร์อเมริกันที่ใช้กลวิธีของวรรณกรรมและความเหนือจริงเข้าบันทึกความรู้สึกอันแหลกสลายของพวกเธอเอาไว้ งานเขียนชิ้นนี้เลยเป็นงานที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่อยู่ในบริบทของการกดขี่และเป็นการใช้วรรณกรรมในมิติที่ความซับซ้อนและยอกย้อนต่อความจริง
Midnight’s Children, Salman Rushdie
ออกนอกลาตินอเมริกามาที่อนุทวีปอินเดียกันบ้าง Midnight’s Children ของ ซัลมัน รัชดี เป็นอีกหนึ่งงานเขียนที่มีลักษณะแบบสัจนิยมมหัศจรรย์ นวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1981 ตัวเรื่องเริ่มต้นในคืนของวันที่ 15 สิงหาคม ปี ค.ศ.1947 คืนที่อินเดียประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ ท่ามกลางเสียงพลุแห่งการเฉลิมฉลอง เด็ก 1,001 คนที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เกิดขึ้นพร้อมกับพลังพิเศษ ที่เด็กทั้งหมดนั้นจะสามารถเชื่อมต่อกับเด็กอีก 1,000 คนที่เหลือได้ด้วยญาณพิเศษบางอย่าง อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการประกาศเอกราช อะไรคือผลต่อเนื่องของการตกเป็นอาณานิคม และอะไรคือเรื่องราวต่อไปจากกลิ่นอายอันอัศจรรย์ของเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นในอินเดีย หนึ่งในประเทศที่รุ่มรวยไปด้วยเรื่องอัศจรรย์
Kafka on the Shore, Haruki Murakami
ฮารูกิ มูราคามิ เป็นอีกนักเขียนที่อันที่จริงก็ยากที่จะไปนิยามว่างานของเฮียแกเป็นแนวไหน แฟนตาซี หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ แต่ถ้าเรามองวิธีการเขียนของมูราคามิที่มักพูดถึงเมือง หรือการผูกเรื่องและวิธีการเขียนที่ค่อนไปทางสัจนิยม—เน้นการประกอบเรื่องขึ้นโดยที่ผู้อ่านเองไม่ได้รู้สึกแปลกแยกกับเรื่องเล่านั้นๆ—ฉากของเมือง เรื่องราวของตัวเอกดูธรรมดาสามัญก่อนที่จะถูกดึงเข้าไปสู่เหตุการณ์และบรรยากาศอันแปลกประหลาด ที่สุดท้ายเราเองก็อาจจะรู้สึกว่า ชีวิตในเมืองหรือชีวิตที่เรากำลังมุ่งไปบางครั้งเราอาจจะหลุดไปเจออะไรแปลกประหลาดเช่นในเรื่องได้ ในวงวรรณกรรมศึกษาหลายส่วนจึงค่อนข้างจัดให้งานของมูราคามิมีลักษณะของสัจนิยมมหัศจรรย์ โดยเฉพาะการดึงเอาองค์ประกอบเหนือจริงเข้ามาสู่เรื่องราวโดยทั่วไป Kafka on the Shore เองก็เช่นกันที่มูราคามิเล่นกับเรื่องเล่าชุดก่อนหน้าและเรื่องเล่าอื่นๆ ที่ล่องลอยอยู่บนโลกใบนี้ การอ้างอิงไปยัง ฟรานซ์ คาฟคา และการค่อยๆ ถักทอการพบเจอและชีวิตอันแปลกประหลาดที่ผสานทั้งเรื่องแปลกๆ ฝนที่ตกลงมาเป็นปลา วิญญาณแมวในขลุ่ย คำทำนายของโอดิปุส ตำนานสฟิงซ์ของอียิปต์ ไปจนถึงนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเอง
Kitchen, Banana Yoshimoto
ด้วยความที่บ้านเราระยะหลังค่อนข้างใกล้ชิดกับวรรณกรรมญี่ปุ่น และงานวรรณกรรมญี่ปุ่นร่วมสมัยจำนวนไม่น้อยก็ล้วนมีกลิ่นอายของสัจนิยมมหัศจรรย์ คือ เรามักเห็นภาพของเมือง ของวิถีชีวิตธรรมดาที่เมื่อจ้องมองดีๆ ก็กลับมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นโดยที่เรื่องราวทั้งหลายก็ดำเนินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น Kitchen ของ โยชิโมโตะ บานานา เองก็เป็นอีกงานเขียนหนึ่งที่อาจจะไม่ได้ประกอบขึ้นด้วยองค์ประกอบแปลกประหลาดอย่างชัดเจนเช่นงานของมูราคามิ แต่ว่างานเขียนของบานานาจับความรู้สึกและการใช้ชีวิตสามัญของคนเมืองเช่นใน Kitchen พูดเรื่องการใช้ชีวิตลำพังและการรับมือกับความสูญเสีย ตัวละครเอกใช้อาหารและห้องครัวเป็นแกนหลักของการใช้ชีวิต ในเรื่องเราอาจไม่ได้เห็นเหตุการณ์ประหลาด แต่ทว่าบานานาจะพาเราไปสำรวจเส้นแบ่งของโลกของความจริงและโลกของความฝันที่มีฉากเป็นเมืองใหญ่ที่เราคุ้นเคย การพานพบอันแปลกประหลาด การหลับ การตื่น และการรับมือกับความตาย
หมานคร, คอยนุช
หมานครเป็นนวนิยายขนาดสั้นที่กลายมาเป็นหนังซึ่งค่อนข้างเป็นที่รู้จัก ตัวเรื่องเป็นผลงานเขียนของคอยนุช นามปากกาของ ศิริพรรณ เตชจินดาวงศ์ งานเขียนชิ้นนับเป็นงานตัวอย่างของสัจนิยมในวงวรรณกรรมไทย ตัวเรื่องอิงบริบทการอพยพเข้าสู่กรุงเทพมหานคร การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ของคนชั้นแรงงานและผู้คนอันหลากหลาย การตามหาความฝันและการตามหาหาง เรื่องราวแปลกประหลาดของผู้คนในหมานคร นิ้วมือที่หายไป ยายที่กลายเป็นจิ้งจก ภูเขาขวดพลาสติก เรื่องราวเหนือจริงของคนที่ใช้ชีวิตประหลาดในหมานคร—ในกรุงเทพ—เมืองที่มีคนเหงาเท่ากับเสาไฟฟ้านั้น ช่างดูเป็นกรุงเทพที่เรารู้จักยิ่งกว่าที่ตาเราเห็นเสียอีก
นิมิตต์วิกาล, อนุสรณ์ ติปยานนท์
ประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องแท้จริง หรือเป็นกระแสของเรื่องเล่าจำนวนมาก เรื่องเล่าที่หลายครั้งก็เจือไปด้วยสิ่งอันมหัศจรรย์และยากจะเข้าใจ อนุสรณ์ ติปยานนท์ เป็นหนึ่งในนักเขียนไทยร่วมสมัยที่เล่นกับประวัติศาสตร์โดยผสมเข้ากับความเป็นเรื่องแต่ง โดยเฉพาะองค์ประกอบอันเหนือจริงทั้งหลายได้อย่างแนบเนียน และชวนให้เราย้อนกลับไปขบคิดถึงความเป็นประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเมืองที่เราดูจะเข้าใจแต่กลับมีชั้น (layer) อันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ หรือเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่ไกลแต่กลับโยงใยกลับมาสู่ตัวเราได้อย่างน่าอัศจรรย์
งานเขียนชุดนี้รวมเรื่องสั้นที่ทรงพลังที่ทั้งหมดชวนเรากลับไปสำรวจประวัติศาสตร์ และการอยู่ในกระแสธารเรื่องเล่าอันไม่รู้จบ จากการจ้องมองหนังกวางในพิพิธภัณฑ์ที่นางาซากิที่พาเราทบทวนกลับไปยังประวัติศาสตร์อยุธยาและประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล หรือเรื่องสั้นเงาแห่งฝนที่พูดถึงหญิงสาวลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้น ความสัมพันธ์ของเรื่องเล่าของผู้คนที่เชื่อมโยงการล่าอาณานิคมในเขมร การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเสียงอันแปลกประหลาดที่แทรกอยู่ในทะเลเรื่องเล่าที่เราเรียกว่าประวัติศาสตร์
โลกที่กระจัดกระจาย, ศิริวร แก้วกาญจน์
ศิริวร แก้วกาญจน์ เป็นนักเขียนและกวีจากภาคใต้ งานเขียนหลายชิ้นจึงเป็นการตีแผ่ปัญหาของสามจังหวัดชายแดนด้วยวิธีการของวรรณกรรมและกวีนิพนธ์ แน่นอนว่าปัญหาอันซับซ้อนรวมถึงบรรยากาศของวัฒนธรรมมลายูหลายส่วนประกอบขึ้นบนนิทานและเรื่องปรัมรา โลกที่กระจัดกระจาย เป็นนวนิยายที่ว่าด้วยตำนาน ปกรณัม และการเข้าไปปกครองของรัฐสมัยใหม่ในบริบทภาคใต้ ตัวเรื่องใช้องค์ประกอบของตำนานและเรื่องเหนือจริงโดยที่ผู้คนในเรื่องก็ไม่ได้นึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิด เช่น หญิงตั้งครรภ์ที่กินดินเหนียวขนาดเท่าลำเรือหมดในไม่กี่วัน เรือที่ลอยไปโดยไม่แตะผิวน้ำ การเติบโตขึ้นของตัวละครที่รายล้อมไปด้วยความมหัศจรรย์ ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของ เกศวรางค์ นิลวาส เรื่อง ‘การวิเคราะห์วรรณกรรมไทยร่วมสมัยแนวสัจนิยมมหัศจรรย์’ อ้างอิงบทสัมภาษณ์ว่า ศิริวร แก้วกาญจน์ เองก็ชื่นชอบนักเขียนสำคัญคือมาร์เกซและมูราคามิ กรณีนี้เราอาจเห็นร่องรอยและอิทธิพลของงานที่ใกล้เคียงกันในการปนเรื่องเหนือจริงเข้ากับตำนานพื้นบ้านเพื่อนำเสนอบริบทประวัติศาสตร์และปัญหาชายแดนใต้ที่ยอกย้อนมากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Kodchakorn Thammachart