แด่คนเหงาทุกคน ในเมืองแห่งความเดียวดาย
บางที หัวค่ำ กินข้าวเรียบร้อย บางทีอาจจะเพราะเพื่อนๆ มีธุระแยกย้าย หรือเราอาจจะเหนื่อยกับการงาน กลับบ้านดีกว่า นั่งๆ นอนๆ อยู่คนเดียว สายตาก็มองโซเชียลอย่างไม่มีจุดหมาย เพลงถูกเปิดไว้ให้ห้องไม่เงียบเกินไป…
นอนมองเงาตัวเองที่ทาบกับกำแพง อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเงียบขึ้นมาเฉยๆ ในใจรู้สึกโหวงๆ เหมือนอะไรหายไป ห้องที่อยู่ เตียงที่นอนดูกว้างขึ้นอย่างไม่ควรจะเป็น… ‘เหงาเนอะ’
‘ความเหงา’ คำที่แสนสั้น สะกดง่ายๆ ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คำและความรู้สึกที่ดูจะเข้ามาเยี่ยมเยือนเราบ่อยครั้ง ยิ่งเราอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยี ที่ออกแบบแบบมาเพื่อทำลายความเงียบ เป็นสิ่งที่ช่วยแก้เหงา แต่ในที่สุดแล้วทั้งซีรีส์ ทั้งเพลง ทั้งโลกออนไลน์ที่เชื่อมต่อเราทุกคนอยู่ตลอดเวลา กลับดูจะยิ่งทำให้เราเหงาและอ้างว้างง่ายขึ้นทุกวัน
ทำไมต้องเหงาด้วย – บางทีเราก็ถามตัวเอง – คนเรามันอยู่คนเดียวเป็นเรื่องปกติ เราต้องอยู่คนเดียวได้สิ อย่างหัวค่ำในวันแบบนี้ เราควรจะพัก ได้อยู่เงียบๆ กับตัวเอง อยู่สงบ การอยู่เพียงลำพังจำเป็นต้องพังด้วยเหรอ ไอ้ความรู้สึกแหว่งวิ่น รู้สึกเหมือนหัวใจมันโบ๋ รู้สึกเบาโหวงเหมือนตัวจะปลิวไปให้ได้มันคืออะไร เราสามารถอยู่คนเดียวได้โดยไม่พังได้ไหม ในภาษาอังกฤษยังมีคำว่าโดดเดี่ยว (solitude) และเดียวดาย (loneliness) มันก็คือการอยู่คนเดียว (alone) เหมือนกัน
เมื่อเราไม่อาจจบได้ในตัวเอง
ปรัชญาหนึ่งที่เรารู้คำนึงเสมอคือ เราทุกคนต่างเกิดมาคนเดียว และตายลงคนเดียว รู้ก็รู้อยู่แหละว่าเราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จะเอาตัวเองและความรู้สึกไปพึ่งพิง-พึ่งพาคนอื่นได้อย่างไร รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจ แต่ใจมันก็ยังไขว่คว้าสิ่งมีชีวิตอื่นมาอยู่เคียงข้าง นักปรัชญาใจร้ายหลายคนเลยชอบบอกว่าชีวิตเราคือวิญญาณที่ถูกแบ่งออกเป็นสองและสาปให้เราใช้ทั้งชีวิตตามหาอีกครึ่งหนึ่งที่หายไป
โลกใบนี้ดูจะถูกออกแบบให้คนมีคู่เป็นส่วนใหญ่ เป็นโลกของ couple-oriented ละครและเรื่องสวยงามทั้งหลายต่างจบลงด้วยการครองรัก ร้านอาหาร โรงแรม และโรงหนังส่วนใหญ่ถูกออกแบบให้ไปเป็นคู่ หรือไปเป็นหมู่คณะ ในโลกของสินค้าและบริการ ยิ่งมากคนยิ่งดีก็เข้าใจ แต่บางทีก็อยากเรียกร้องพื้นที่และสิทธิของคนที่ไปลำพังบ้างเนอะ
ความเหงาที่พูดไม่ออก
คำว่าเหงาดูจะเป็นคำง่ายๆ ที่แสนจะยาก ยากในแง่ที่ว่า ตอนที่เราเหงา เรารู้สึกยังไงแน่ เรารู้สึกเหงา แต่เรากลับเข้าใจมันไม่มาก อธิบายก็ลำบาก พูดออกมากับคนอื่นก็ยาก คนเหงาๆ เลยยิ่งร้าวราน เพราะมีแต่ความรู้สึก สื่อสารก็ไม่ได้ จะเที่ยวไปบอกระบายว่าฉันเหงานะ ก็ดูลำบากใจ ร้องไห้ฟูมฟายให้มันจบไปก็ไม่ใช่เรื่อง
Olivia Laing เจ้าหนังสือชื่อมหัศจรรย์ The Lonely City: Adventures in the Art of Being Alone ตั้งคำถามและพยายามแยกแยะเจ้าความรู้สึกเหงาว่าเป็นอย่างไร เธอบอกว่า การรู้สึกเหงามันเหมือนกับการที่เรารู้สึกหิว แต่คนอื่นกำลังกินกันอย่างอิ่มหน่ำ ความเหงาเป็นความรู้สึกที่น่าอายและไม่พึงปรารถนา ความแย่คือ ด้วยความรู้สึกแปลกแยกและขาดไร้นี้ยิ่งทำให้คนเหงายิ่งเหงาหนักขึ้น ความเหงาเป็นความรู้สึกที่ในที่สุดกระทบกับร่างกายของเราอย่างลึกซึ้ง ทั้งเย็นเยือกและแจ่มชัด
ลำพังไม่ใช่เรื่องพังๆ
‘Solitude’ หมายถึงความรู้สึกสันโดษ ในทางกายภาพก็น่าจะหมายถึงการอยู่คนเดียว – การอยู่กับตัวเองได้ – แต่ในทางความรู้สึก ความสันโดษต่างจากความเหงา คือเราอยู่คนเดียวแล้วไม่เหงา เรารู้สึกสงบ รู้สึกสันติ เหล่าศิลปินทั้งหลายต่างบอกว่าความสงบสันโดษในขณะที่เราอยู่คนเดียวนี้แหละเป็นบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์ ลองนึกภาพเหล่านักคิดศิลปินทั้งหลาย ความสามารถเบื้องต้นของคนเหล่านี้คือการที่สามารถปลีกวิเวกออกไป ไปอยู่กับตัวเอง อยู่คนเดียว แล้วสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้
อีกครั้งที่ทัศนคติของเราส่งผลกับตัวเรามากกว่าที่คิด เราอยู่คนเดียวได้อย่างสร้างสรรค์ (creative)ไหม หรืออยู่คนเดียวแล้วกลับเกิดความรู้สึกที่บ่อนทำลายตัวเอง (destructive) แต่ในมิติของความรู้สึก มันก็จัดการยากเนอะ ใครๆ ก็อยากใช้ชีวิตเชิงสร้างสรรค์ทั้งนั้นแหละ
เดียวดายใต้เงาของสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ความเดียวดายเกิดขึ้นใต้เงาของความเป็นไปไม่ได้ เป็นความเป็นจริงที่เราเอื้อมไม่ถึง ความเหงาคือความปรารถนา ปรารถนาที่จะมีใครเคียงข้าง เรากำลังปรารถนาบางห้วงเวลาที่หายไปหรือไม่มีวันมาถึง ความเหงาเป็นญาติสนิทของการสูญเสีย คือการกลับมาของอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ ข้อสังเกตหนึ่งบอกว่าความเหงาเป็นญาติของการสูญเสีย เมื่อเราเสียใครไปสักคน เสียความสัมพันธ์ เสียช่วงเวลาที่เคยมี ห้วงขณะที่เรากลับไปสู่อดีต ไปสู่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน เวลานั้นแหละคือห้วงเวลาที่หัวใจของเราแหว่งวิ่นลง
Brock Hansen นักจิตวิทยาแห่ง Psych Central เลยบอกว่าความเหงาเป็นเรื่องของความรู้สึก (feeling) ไม่ใช่ข้อเท็จจริง (fact) แกเตือนว่าสมองเราถูกออกแบบให้สนใจกับความเจ็บปวดและอันตราย ดังนั้นในทางปฏิบัติเมื่อเราอยู่คนเดียวเลยเป็นเรื่องง่ายที่ความเหงาจะผุดพรายขึ้นมา (เจ้าสมองบ้า!) ดังนั้นแกเลยบอกว่าถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราก็ทำความเข้าใจความรู้สึกนั้นซะ ปล่อยไป อย่าไปอะไรกับมันมาก
คำแนะนำที่แสนพื้นฐานเลยกลับมา ในเมื่อความเหงาคือการที่ใจเราไปผูกกับอดีตหรือความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้ ความเหงาคือการอยากได้ หรืออยากอะไรก็ตามที่มันเป็นจริงไม่ได้ในห้วงขณะนั้นๆ การแก้เหงาเลยน่าอยู่ที่การยุติการผูกกับอดีตหรือความคาดหวัง คือการกลับมาอยู่กับปัจจุบัน กับห้วงขณะที่เราได้อยู่ลำพัง
ผูกมิตรกับตัวเอง
ความเหงาเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่ใช่แค่เรื่องเชิงกายภาพ พูดง่ายๆ การไปเจอใครหรือการอยู่ท่ามกลางผู้คนไม่ใช่ยาแก้เหงา และบางครั้ง ยิ่งเหงาหนักเข้าไปใหญ่
จริงอยู่ที่มนุษย์เราปรารถนาการเชื่อมต่อ (connected) กับคนอื่น เราเป็นสัตว์สังคม เราต้องการคนอื่นๆ มาเป็นเพื่อน ดังนั้นคำว่า companionship การมีคนอยู่เป็นเพื่อนเลยไม่ใช่ว่าใครก็ได้มาอยู่ข้างๆ หน่อย เราต้องการเพื่อน ต้องการสายใยบางอย่าง ความโหยหาไมตรีนี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นนามธรรม เป็นเรื่องทางความรู้สึก ดังนั้นในทางกลับกันการเป็นเพื่อนหรือหยิบยื่นไมตรีจึงอาจไม่ต้องถูกผูกมัดด้วยลักษณะทางกายภาพ – คือการมีคนอื่นมาอยู่เป็นเพื่อนเรา
คำแนะนำในการแก้เหงาสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะ ‘ผูกมิตรกับตัวเอง’ ให้ได้ รู้จักเติมเต็มตนเอง อยู่กับตัวเอง เป็นมิตรกับตัวเอง ไม่เอาความรู้สึกกลับมาบ่อนเซาะทำลายตัวเองโดยไม่จำเป็น
เมืองแห่งความเดียวดาย
การเข้าใจว่าเราอยู่ภายใต้อำนาจของอะไรบางอย่างที่ใหญ่โตกว่าเราเสมอ อาจเป็นหนทางในการอยู่และต่อสู้กับสิ่งนั้นๆ ได้ ความเหงา – ในฐานะอิทธิพลของเมืองเองก็เช่นกัน
เราเองก็เป็นคนเล็กๆ ที่อยู่ในเมืองอันมหึมา บางครั้งความเหงาจึงไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงหรือจัดการได้ง่ายๆ จากแค่การปรับหัวใจ เราอยู่ในโลกที่แสนเดียวดาย ท่ามกลางตึกสูงเสียดฟ้า หลังกระจกบานใสเต็มไปด้วยผู้คนที่อยู่เพียงลำพัง หัวใจของเราถูกสาดไปด้วยแสงนีออนอันชืดชา ข้าวของ สิ่งบันเทิงต่างๆ ถูกซื้อหามาเพื่อเติมเต็มช่วงว่างอันชืดชาในหัวใจ
‘เมือง’ เป็นพื้นที่ของความเหงา ดินแดนที่คนแปลกหน้านับพันเดินสวนกันไปมา ความเหงาอาจจะไม่ใช่เรื่องสวยงามและน่าเชยชม ไม่ใช่ความหว่องคูลๆ ความเหงาคือความรวดร้าว คือผลกระทบของโลกสมัยใหม่ที่มีต่อคนตัวเล็กๆ เช่นพวกเรา
ในเมืองที่คนเหงาเยอะกว่าเสาไฟฟ้า การทลายความเหงาและความเดียวดายของกันและกัน ดูจะเป็นสิ่งพึงทำ
แม้ว่าเราจะเกิดเพียงลำพังและสิ้นสุดเพียงลำพัง ระหว่างนั้นคือความรักและความไว้ใจกัน อย่างที่บอร์เกสว่า
“You are born alone. You die alone. The value of the space in between is trust and love.” – Louise Bourgeois
อ้างอิงข้อมูลจาก