“เช้าตรู่ของทุกวันหลังเปิดห้องขัง นักโทษหลายคนยืนมองไปที่ท้องฟ้า บ้างมองนก บ้างมองเครื่องบินบ้างมองไปที่อวกาศ มีบ้างที่มองเห็นอดีต ข้าพเจ้ามองเห็นอนาคต เช้าตรู่ของทุกวันหลังเปิดห้องขัง ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ ตรงนั้น และในทุกที่ที่มีความหวัง มิตรสหายของข้าพเจ้าก็เช่นกัน” อานนท์ นำภา กล่าว
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ศาลอาญาลงโทษจำคุก ทนายอานนท์ นำภา เพิ่มอีก 2 ปี 8 เดือน ในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งการปราศรัยในครั้งนี้ อานนท์ได้วิพากษ์กระบวนการยุติธรรม วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป พร้อมกับเสนอข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ในวันฟังคำพิพากษาคับคั่งไปด้วยประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจอานนท์ ขณะที่ภรรยาและลูกชายของอานนท์ก็มาให้กำลังใจเช่นเดียวกัน
อานนท์ถูกดำเนินคดีมากกว่า 26 คดี
จวบจนปัจจุบัน อานนท์ ถูกลงโทษจำคุกรวมแล้วทั้งสิ้น 24 ปี 33 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 26 ปี 9 เดือนเศษ แยกเป็นข้อหาหลักมาตรา 112 จำนวน 9 คดี, คดีข้อหาหลักตามมาตรา 116 จำนวน 1 คดี และคดีอื่นๆ โดยทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา เท่ากับว่าตอนนี้ไม่มีคดีใดของอานนท์ที่สิ้นสุดแล้ว
ทั้งนี้ ยังมีคดีตามมาตรา 112 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีอีก 5 คดี ได้แก่
- ปราศรัยในการชุมนุม #กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ (คดีนี้จะพิพากษา ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2568)
- ปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกา63
- ปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ25พฤศจิกาไปscb
- ปราศรัยในการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร
- ปราศรัยในการชุมนุม #เชียงใหม่จะไม่ทน
เท่ากับว่าจำนวนโทษจำคุกของอานนท์อาจเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ แม้ว่าจำนวนโทษที่เขาต้องเผชิญจะถูกนับเป็นหนึ่งในโทษต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพ ในการแสดงออกโดยสงบที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยยุคปัจจุบันแล้วก็ตาม
การพิจารณาคดีและการคุมขัง ‘อานนท์’ ขัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

23 กันยายน 2023 (Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)
“สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับการรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และสิทธิประกันตัวในการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี ยังเป็นสิทธิที่ได้รับรองในรัฐธรรมนูญ และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน” แอมเนสตี้ ประเทศไทย ระบุ
แอมเนสตี้ ประเทศไทย ยังตั้งข้อสังเกตว่า คำพิพากษาคดีของอานนท์ สะท้อนถึงการละเมิดสิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม เนื่องจากในกระบวนการพิจารณาคดี พบข้อกังขาหลายประการ เช่น ศาลปฏิเสธคำร้องขอเรียกพยานหลักฐานจำเลย โดยอ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อจำเลยปฏิเสธการซักค้านโดยไม่มีพยานหลักฐาน ศาลกลับยกเลิกการไต่สวนทั้งหมด และนัดฟังคำพิพากษาทันที
และศาลสั่งให้พิจารณาคดีลับโดยอ้างเหตุผลความมั่นคงแห่งชาติ โดยไม่มีรายละเอียดชัดเจน และห้ามเผยแพร่ข้อมูลในห้องพิจารณา ซึ่งขัดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ขณะนี้ ยังมีผู้ถูกคุมขังจากการแสดงออกทางการเมือง จำนวนอย่างน้อย 51 คน โดยมีผู้ต้องขังในคดีตามมาตรา 112 จำนวน 32 คน
การคืนสิทธิประกันตัว-พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทางออกของผู้ต้องหาคดีทางการเมือง

3 พฤศจิกายน 2020 (Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)
เมย์—พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ถึงการเข้าไม่ถึงสิทธิประกันตัว โดยเฉพาะผู้ต้องหาคดีทางการเมืองว่า
สิทธิในการประกันตัว เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่สิทธิดังกล่าว ถูกตั้งคำถามว่ากลายเป็น ‘สิทธิที่ถูกยกเว้น’ โดยเฉพาะกับผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีตามมาตรา 112 ซึ่งเหตุผลที่ศาลใช้ในการไม่ให้สิทธิประกันตัว คือ ‘น้ำหนักของข้อหา’ เพื่อทำให้เหตุผลเรื่องกลัวจำเลยหลบหนี หรือการกระทำความผิดซ้ำมีน้ำหนัก
“การให้เหตุผลทั้งเรื่องกลัวการหลบหนี หรือกลัวทำผิดซ้ำ เป็นเหตุผลที่ขาดข้อเท็จจริงรองรับ และขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า จำเลยหรือผู้ต้องหายังเป็นผู้บริสุทธิ์”
นอกจากนี้ เธอยังพูดถึงกฎหมายนิรโทษกรรมว่า เป็นการเยียวยา การบรรเทาผลร้าย บรรเทาความขัดแย้ง ถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ประชาชนทุกฝ่ายและทุกสีควรจะได้รับ ซึ่งไม่สร้างผลกระทบกระเทือนถึงโครงสร้างใดๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขมาตรา 112
ในวันที่ 3 กรกฎาคม สภาผู้แทนราษฎร มีวาระพิจารณาร่าง ‘นิรโทษกรรมประชาชน’ อีกครั้ง หลังถูกเลื่อนการพิจารณาไปเมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งร่างกฎหมายเกี่ยวกับนิรโทษกรรมคดีจากการชุมนุมทางการเมือง มีรวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ อย่างไรก็ดี มีเพียงร่างของภาคประชาชนที่ระบุไว้อย่างชัดเจนให้ ‘นิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดีตามมาตรา 112’
“สำหรับในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุมสภา รัฐบาลจะต้องเดินหน้าผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ให้เข้าสู่การพิจารณาอย่างเต็มที่ และถือเป็นวาระเร่งด่วน” บัญชา ลีลาเกื้อกูล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทย ระบุ
อ้างอิงจาก