กระแส ‘ปลุกพลังบวก’ ยืนไชโยโห่ฮิ้ว แล้วบอกว่าฉันทำได้ ฉันเอาชนะโลกนี้ได้ ฉันจะเป็นอะไรก็ได้ แค่ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับ ‘มุมมองบวกๆ’ แค่นี้เธอก็จะมีความสุขกับชีวิตได้ง่ายๆ แค่เปลี่ยน ‘มุมมองโลก’ กำลังมาแรง
ระยะหลังก็มีหลายกระแสที่สงสัยว่า ไอ้ ‘การพลิกชีวิต’ ด้วยการเปลี่ยนมุมมองมันเป็นไปได้จริงหรอ นักวิทยาศาสตร์เชิงสังคมจำนวนหนึ่งเริ่มตั้งข้อสงสัยและพยายามหาคำตอบว่าอะไรคือลักษณะนิสัย (characteristic) ของเหล่าผู้คนที่ประสบความสำเร็จ ผลคือ ลักษณะฮิตๆ แบบมุมมองเชิงบวกหรือความมั่นใจในตัวเองไม่ได้ติดโผเท่าไหร่ แต่กลับเป็นความอึดอดทน- การมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและไม่ละทิ้งต่อเป้าหมายของตนไม่ว่าจะมีอุปสรรคแค่ไหน
นอกจากนี้หลายคนก็บอกว่า เฮ้ย ทนไม่ได้จริงๆ กับการมี ‘มุมมองเชิงบวก’ อะไรมากมายนักหนา ความสุขมันเกิดขึ้นจากการมองเรื่องต่างๆ ‘ดีกว่าความเป็นจริง’ ได้เหรอ บางคนก็แค่บอกว่าฉันเห็นโลกนี้ในอย่างที่มันเป็น ถ้ามันไม่สวย มันไม่เห็นว่าจะดีไปทางไหนได้ เราก็ต้องมองไปทางนั้นไหม จะให้ห่อหุ้มความไม่สวยพวกนั้นไว้ด้วยเปลือกสวยๆ เหมือนห่อลูกอมมันก็ไม่ใช่ปะ
มันเลยเป็นเหมือนทัศนคติสองด้าน คือความจริงมันก็เป็นอย่างหนึ่ง มุมมองเชิงบวกบอกว่าก็หามุมดีๆ แล้วทำให้สบายใจ ก้าวไปข้างหน้าสิ ส่วนพวกมองโลกในแง่ร้ายก็จะจิ้มส่วนที่แย่ๆ ออกมา ไม่รู้ว่ามีความสุขไหม แต่ก็จะบอกว่าฉันมองโลกไปตามความเป็นจริง ไม่หลอกตัวเองแถมจะได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องร้ายๆ ที่จะตามมาได้ด้วย
ประเด็นเรื่อง ‘ความสุข’ (happiness) เป็นใจความสำคัญของการมองโลกในแง่บวก คือส่วนใหญ่จะเน้นความสุขทางใจจากการปรับทัศนคติ บางทีก็เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บเกี่ยวไปในระหว่างทาง แต่ในทางกลับกัน การมองโลกในแง่ร้ายก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะ ‘ไม่มีความสุข’ ในความขมตรมอาจจะมีความสุขอีกแบบหนึ่ง แบบที่เรียกว่า ‘pleasure’
ในความหม่นมีความสุขสม?
ถ้าเป็นไปได้ไม่มีใครอยากให้เรื่องร้ายๆ ความเจ็บปวด หรือหายนะ เกิดขึ้นในการรับรู้หรือเกิดกับตัวเรา แต่ถ้าเราดูประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่างงานเขียนหรือหนังต่างๆ ดูเหมือนว่างานของนักเขียนทั้งหลายที่เราเสพกันมีน้อยมากที่นำเสนอเรื่องความสุขหรือจบลงด้วยความสุข งานเขียนส่วนใหญ่ดูจะมองโลกใบนี้ในแง่ร้าย มองว่าชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความแหว่งวิ่น เต็มไปด้วยบาดแผล ความผิดพลาด ไปจนถึงอนาคตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ฟังดูซาดิสม์นิดหน่อย
หรือว่าการที่เราเสพแง่มุมเชิงลบเหล่านั้นจะมีความน่าพึงใจอันแปลกประหลาดแฝงอยู่ เหมือนกับเวลาที่เผชิญความเจ็บปวด เผชิญบาดแผล ไม่ว่าจะทางกายหรือทางจิตใจ ลึกๆ แล้วในความเจ็บปวดนั้นอาจมีความรู้สึกที่ล้ำลึกเจือปนด้วยความพึงพอใจหรือความสุขสมในความขมนั้นอยู่ในที
เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่หลายครั้งความเจ็บปวดอาจนำความสุขสมที่ล้ำลึกมากกว่าความสุขสวยๆ สีลูกกวาดคือ ในความเจ็บปวด ในหายนะ สุดท้ายแล้วมักนำมาซึ่งการเรียนรู้และความเติบโตบางประการ เราเรียนรู้ที่จะเจ็บปวดและเติบโตขึ้น
ในระดับของทัศนคติ นักคิดที่สนับสนุนการมองโลกในแง่ร้ายบอกว่าการมองโลกในแง่บวกมีแนวโน้มที่จะดึงเราเข้าสู่โลกผ่านการบอกว่าเรามีจุดเล็กๆ ที่สวยงามเต็มไปหมด การมองโลกในแง่บวกเลยมีแนวโน้มที่เราจะคลุกคลีกับสถานการณ์การใกล้ชิด แต่ถ้าเราค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย ในทางกลับกันเรามีแนวโน้มที่จะถอยตัวเองออกมาจากเหตุการต่างๆ และแน่ล่ะว่าบางครั้งการรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างแยกตัวออกมาโดยมีความเบื่อหน่ายหรือความไม่ชอบเป็นที่ตั้ง อาจทำให้เรามองเห็นและเตรียมตัวเผชิญเรื่องเลวร้ายต่างๆ ได้อย่างไม่ไร้เดียงสาเท่าการคาดหวังความสุขสวยงามเป็นที่ตั้ง
กลับไปสู่ปรัชญาโบราณสำหรับคนสำหรับคนที่ทน ‘ความคิดเชิงบวกไม่ไหว’
สำหรับคนที่คิดว่า เอ๊ะ ถ้าเราไม่คิดเชิงบวกแล้วเราจะมีความสุขได้ไหม Oliver Burkeman คิดเรื่องนี้เหมือนกันและรื้อฟื้นหลักการแบบ Stoicism ปรัชญากรีกโบราณเก่าแก่มาเป็นคำตอบตามชื่อหนังสือว่า การหาความสุขสำหรับคนที่ทนความคิดเชิงบวกไม่ไหว (The Antidote: Happiness for People Who Can’t Stand Positive Thinking.)
แนวคิดหาความสุขแบบปลุกพลังลบเป็นแนวทางการหาความสุขแบบที่ไม่ต้องกำจัดความคิดแง่ลบทั้งหลาย เช่น ความรู้สึกไม่แน่นอน ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความเศร้า ความผิดพลาด แต่เลือกที่จะใช้สอยและยอมรับพลังลบในตัวทั้งหลายนั้นไว้ ผู้เขียนเรียกว่าเป็นหนทางเชิงลบที่นำไปสู่ความสุข ในทางปฏิบัติคือการคิดถึงเรื่องต่างๆ ว่าผลมันอาจจะแย่ที่สุดและเตรียมตัวใจรับไว้ การเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอาจดีกว่าการคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหลายมันจะเป็นไปได้ด้วยดี เพราะถ้ากลัวหรือเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ถ้าผลมันออกมาดีกว่าที่กลัวไว้ก็ถือว่ากำไร แต่กลับกันถ้าคาดว่ามันจะดีไว้แต่แรกแต่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เมื่อผลออกมาแย่ ยังไงก็ดูจะมีแต่แย่กับแย่กันไป
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในที่สุดแล้วเราจะหาตรงกลางของมุมมองทั้งสองได้ไหม แบบคำพูดสวยๆ ว่า หวังไว้สำหรับสิ่งที่ดีที่สุดแต่เตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้ เราสามารถมองโลกในแง่ร้ายได้โดยที่ยังชิมรสหวานรอบๆ ทำให้โลกไม่ขมและไม่หลอกตัวเองจนเกินไป มีความสุขไปในแต่ละวันแต่ก็มีความระแวดระวังภัยไปในตัวโดยไม่ทุกข์มาก
ฟังดูสับสนและยากดีเนอะ ชีวิต กับการปรับทัศนคติเพื่อหาความสุขไปแต่ละวัน แต่ละวัน