สมุดจดรายการของที่ต้องซื้อ กระดาษโน้ตย้ำเตือนงานและนัดหมาย ใบเสร็จในกระเป๋า หรือกระดาษชำระในห้องน้ำ ไม่ว่าเราจะสังเกตหรือไม่ กระดาษก็แทรกตัวอยู่ในชีวิตประจำวันของเราแบบเงียบๆ
กระดาษกลายเป็นสิ่งของธรรมดาในโลกที่ทุกอย่างอยู่ในจอ จนทำให้เราไม่ได้สังเกตว่ามันอยู่ใกล้ตัวเราขนาดไหน แต่ก่อนโลกจะมาถึงวันที่มันถูกลดความสำคัญลง มันคือหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนวิธีคิด สื่อสาร และจดจำ ถ้าไม่มีแผ่นกระดาษ ก็ไม่มีตำรา ไม่มีจดหมายรัก ไม่มีบทกวี หรือแม้แต่ลิสต์ของที่ต้องซื้อในมือเรา
แต่เคยสงสัยไหมว่าแผ่นสีขาวที่เบา บาง และราคาแสนถูกนี้ ผ่านประวัติศาสตร์มายาวนานขนาดไหน? มารื้อรอยอดีตของกระดาษ ตั้งแต่แผ่นพาไพรัสริมแม่น้ำไนล์ แผ่นไม้ไผ่ในราชสำนักจีน ไปจนถึงเครื่องจักรผลิตกระดาษ แผ่นบางแสนล้ำค่าที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์โลกกัน
กระดาษเป็นวัสดุที่แปลงร่างไปเป็นสิ่งของรอบตัวเรามากมาย แม้เราจะคุ้นเคยกับกระดาษที่เป็นสิ่งพิมพ์ อย่างหนังสือ นิตยสาร แผ่นพับ ใบปลิว แต่กระดาษก็สามารถเป็นสิ่งอื่นอย่างกล่อง ลัง ฉลากสินค้า ป้ายราคา กระดาษชำระ กระดาษห่อของขวัญ เยื่อกระดาษอัดขึ้นรูป แต่กว่ามันจะแปรเปลี่ยนได้หลากหลายแบบขนาดนี้ กระดาษแรกที่เรารู้จักบนโลก มันเป็นกระดาษแผ่นบางอย่างภาพจำแรกที่วิ่งเข้ามาในใจ ใช้สำหรับขีดเขียนเป็นหลัก
กระดาษที่เราจะพูดถึงในวันนี้จึงเป็นกระดาษสำหรับขีดเขียน ในต่างพื้นที่ ต่างอารธรรม ต่างภูมิปัญญา เดินทางผ่านเวลากว่าจะมาเป็นกระดาษในแบบสากลที่ใช้ร่วมกันอย่างทุกวันนี้

ก่อนโลกนี้จะมีกระดาษ
หากไม่มีกระดาษแล้วมนุษยชาติขีดเขียน จดบันทึกลงบนอะไรกัน? ผนังถ้ำ ผืนทราย พื้นดิน อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า ก็อาจจะใช่หากเป็นช่วงก่อนเราจะมีอารยธรรม แต่เมื่อเรารู้จักประดิษฐ์นู่นนี่ขึ้นมา (แต่ยังไม่ถึงคิวของกระดาษ) มนุษย์เรามีความพยายามที่จะขีดเขียนบนพื้นผิวมากมาย ราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมเมโสโปเตเมีย จดบันทึกด้วยวิธีสลักลิ่มที่เรารู้จักกันในชื่ออักษรคูนิฟอร์ม (cuneiform) ลงบนแผ่นดินเหนียว
ขยับมาที่ราว 2500 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคอียิปต์โบราณ ด้วยความรุ่มรวยในภูมิปัญญา สร้างพีระมิดให้เด็กมันดูมาแล้ว กระดาษจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก เดินลัดเลาะผ่านแม่น้ำไนล์ ได้ต้นกกติดมือทำ ‘กระดาษปาปิรุส’ (Papyrus) กระดาษที่มาจากต้นกกสานกันซ้อนทับหลายชั้น จนได้เป็นแผ่นกระดาษ ความยืดหยุ่นเต็มสิบ ความแข็งแรงเต็มร้อย แต่เมื่อนำมาม้วนและคลี่ออกซ้ำๆ ทำให้แผ่นกระดาษหลุดออกจากกันอีกครั้ง เพราะเดิมทีมันก็เป็นเส้นใยต้นกกที่วางทับๆ กันเท่านั้น ไม่ได้มีกาวเชื่อมให้เป็นเนื้อเดียวกัน เอกสารโบราณหลายฉบับที่ทำจากกระดาษชนิดนี้ก็เจอกับปัญหาหลุดออกจากกันเป็นแนวตั้งตามแนวต้นกกนั่นเอง
ถึงจะเป็นแผ่นบาง จดบันทึกได้ แต่มันก็ยังไม่ใกล้เคียงกับกระดาษที่เราใช้ในปัจจุบันสักเท่าไหร่
ถัดมาในยุค 200 ปีก่อนคริสตกาล แม้กรีกจะมีความศิวิไลซ์ขนาดไหน แต่ก็ยังไม่มีวัสดุใดมาผลิตกระดาษแทนต้นกกได้ จึงเบนเข็มจากเส้นใยพืชมาเป็นหนังสัตว์ จนได้เป็นกระดาษหนัง (Parchment) ที่ตั้งชื่อตามเมือง เพอร์กามอน (Pergamum) ของกรีก โดยนำหนังสัตว์มาทำความสะอาด กำจัดขน ถูปูนขาวลงบนหนังเพื่อให้หนังคงตัวขณะที่แห้ง
ขยับมาที่ฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใบปาล์มถูกนำมาใช้เป็นพื้นผิวสำหรับจดบันทึกตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ใช้ของมีคมขีดเขียนลงไปให้เกิดรอย แล้วถูเขม่าลงบนรอยเขียนเพื่อเผยให้เห็นตัวหนังสือ
แม้ว่าจะมีพื้นผิวไว้ขีดเขียนมากมาย แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกระดาษที่เราเข้าใจในปัจจุบันอยู่ดี เพราะกระดาษที่ใกล้เคียงคำว่ากระดาษในภาพจำของเรามากที่สุดนั้น เริ่มต้นในราชวงฮั่น ประเทศจีน

เมื่อโลกนี้เริ่มมีกระดาษ
ในปี ค.ศ. 105 ไช่หลุน (Cai Lun) ข้าราชสำนักในราชวงศ์ฮั่น ได้เผยแพร่บันทึกกระบวนการผลิตกระดาษ ซึ่งในเวลานั้น กระดาษมักใช้ในทางศาสนา อย่างคำอวยพร บทสวดต่างๆ มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาสได้ใช้
ข้อมูลจาก ‘Robert C. Williams Museum of Papermaking’ พิพิธภัณฑ์การทำกระดาษระบุว่า ช่างทำกระดาษจะเก็บเส้นใยจากหม่อน เปลือกพืชชนิดต่างๆ ตาข่ายจับปลา ผ้าขี้ริ้วเก่า และเศษป่าน เพื่อลดต้นทุนให้สามารถผลิตกระดาษได้มากขึ้น
เมื่อได้วัตถุดิบ จะนำมาใส่หลุมขนาดใหญ่บุด้วยหินหรือถังไม้เพื่อแช่หรือพักเส้นใยไว้นานถึง 3 เดือน จากนั้นบดเส้นใยให้เป็นเยื่อกระดาษ ตักเยื่อกระดาษวางลงบนแม่พิมพ์แล้วเกลี่ยให้ทั่วด้วยมือ น้ำจะไหลผ่านตะแกรง ทำให้เหลือเยื่อกระดาษไว้ แม่พิมพ์ที่มีกระดาษเปียกจะถูกนำไปตากแดดให้แห้ง เมื่อกระดาษแห้งสนิทจะถูกลอกออกจากแม่พิมพ์เป็นกระดาษ 1 แผ่น ทำซ้ำขั้นตอนนี้ไปเรื่อยๆ
กระดาษของไช่หลุนนี้ นับเป็นกระดาษที่ใกล้เคียงกระดาษในปัจจุบันมากที่สุด นับว่ากระดาษเริ่มต้นจากตรงนี้ก็ว่าได้
ประมาณ ค.ศ. 600 องค์ความรู้ในการผลิตกระดาษได้แพร่มายังประเทศเกาหลี แม้ว่ากระบวนการพื้นฐานจะยังคงเดิม แต่ชาวเกาหลีได้พัฒนาหลายก้าวที่สำคัญ ได้แก่ ใช้สัตว์บดเยื่อกระดาษ ประดิษฐ์แม่พิมพ์กระดาษแบบมีแท่นกด และการนำกระดาษที่เปียกไปวางบนแผ่นไม้เพื่อให้แห้ง ทำให้แม่พิมพ์สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้เร็วขึ้น
จนเกิดเป็นนวัตกรรมจากกระดาษ 2 อย่างที่เรายังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ ซองจดหมายและกระดาษชำระ

ในเวลาไล่เลี่ยกันเพียงไม่กี่ปี องค์ความรู้ในการผลิตกระดาษก็สานต่อไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยคาดว่ามากับพระสงฆ์ชาวเกาหลีที่นำกระดาษเข้ามายังญี่ปุ่น
วิธีทำกระดาษของญี่ปุ่นในช่วงแรก ใช้เทคนิคคล้ายกับของเกาหลี แต่ช่างทำกระดาษญี่ปุ่นได้ปรับกระบวนการให้เหมาะสมกับความต้องการ จนได้เป็นกระดาษที่บางและเรียบมาก จนเกือบจะโปร่งแสง ให้ความรู้สึกราวกับผ้าไหม เรียกว่า ‘วาชิ’ (washi) นับว่าพัฒนาไปไกลพอสมควร เมื่อเทียบกับกระดาษรุ่นแรกของจีน
ในขณะที่ฝั่งเอเชียต่างมีภูมิปัญญาในการผลิตกระดาษเป็นของตัวเอง พัฒนาเรื่อยมาจนได้เป็นกระดาษในแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน บันทึกบางแหล่งกล่าวว่าหลังสงคราม Battle of Talas ค.ศ. 751 เชลยศึกจีนถ่ายทอดวิธีทำกระดาษให้กับโลกอิสลาม ไปยังเมืองซามาร์คันด์ (Samarkand) หรืออุซเบกิสถานปัจจุบันและกรุงแบกแดด บางแห่งกล่าวว่าภูมิปัญญานี้อาจแพร่หลายไปตามเส้นทางสายไหม หรืออาจจะเป็นทั้ง 2 ทางที่ว่ามาเลยก็ได้
เมืองซามาร์คันด์ที่อยู่ในยุคทองของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวรรณกรรม ยิ่งผลิตกระดาษได้ในราคาถูกเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าพวกเขายิ่งกระจายความรู้ไปได้ไกลเท่านั้น จนมีชื่อเสียงในด้านกระดาษคุณภาพสูงที่ใช้ทำสำเนาอัลกุรอาน จากนั้นจึงแพร่ไปยังกรุงแบกแดด และกระจายไปทั่วโลกอิสลาม สู่กรุงดามัสกัสในซีเรีย กรุงไคโรในอียิปต์ และในที่สุดก็ถึงยุโรปผ่านสเปนในยุคที่ปกครองโดยอิสลาม

กระดาษในโลกยุคใหม่
ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์แท่นพิมพ์ของกูเตนแบร์ก ทำให้ความต้องการกระดาษเพิ่มขึ้นมหาศาล ก้าวผ่านมาสู่ศตวรรษที่ 19 โลกเรามีเครื่องจักรผลิตกระดาษเครื่องแรกในสหรัฐอเมริกา ผู้ผลิตกระดาษด้วยมือหลายคนได้ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการผลิตแบบใหม่ โรงงานที่ยังไม่ได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรก็ไม่สามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจในตลาดได้ และการผลิตกระดาษด้วยมือก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลง
ต่อมาเฟร็ดดริช เคลเลอร์ (Friedrich Keller) และ ชาลส์ เฟเนอร์ตี้ (Charles Fenerty) คิดค้นวิธีแปรรูปเยื่อไม้มาเป็นวัตถุดิบผลิตกระดาษ การทดลองสรรหาเส้นใยทางเลือกนี้กลายเป็นประสบความสำเร็จครั้งใหญ่
ส่งผลมาถึงอุตสาหกรรมป่าไม้ ในค.ศ.1895 คาร์ล อัลวิน เชนค์ (Carl Alvin Schenck) ได้ก่อตั้งโรงเรียนป่าไม้แห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ที่นิคมอุตสาหกรรมบิลต์มอร์ ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา เขาได้ออกหลักสูตรฉบับแรกเพื่อฝึกอบรมนักศึกษาด้านการจัดการป่าไม้เอกชน ก่อตั้งสมาคมเทคนิคเพื่ออุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ (TAPPI) เพื่อดำเนินการวิจัยด้านเคมีและด้านอื่นๆ ของการผลิตกระดาษ และก่อตั้งสถาบันเคมีกระดาษ (Institute for Paper Chemistry) เพื่อผลิตนักวิจัยและผู้นำในอุตสาหกรรมกระดาษ
หลังจากนั้นกระดาษที่ใช้ขีดเขียนหรือพิมพ์ก็ถูกผลิตจากเยื่อไม้เรื่อยมา มีการพัฒนากระบวนการผลิตใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ถือว่าตัวกระดาษที่เรารู้จัก อยู่ในรูปแบบที่คงที่พอสมควรแล้ว แผ่นบางขาว ฉีกขาดได้แต่ไม่เปื่อยยุ่ย
กระดาษแผ่นบางได้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปตามภูมิปัญญา ให้เหมาะสมกับความต้องการของอารยธรรมนั้น ทำหน้าที่ตั้งแต่จดบันทึก ส่งต่อความรู้สึก เผยแพร่ความรู้ ประกาศ โฆษณา จนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราจวบจนวันนี้ มันไม่ได้สะท้อนเพียงหน้าที่ที่เปลี่ยนไปตามการใช้งาน แต่ยังสะท้อนถึงภูมิปัญญาของมนุษยชาติ ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาแม้กระดาษแผ่นบางแผ่นหนึ่ง
อ้างอิงจาก