เหรียญเล็กๆ ที่ถูกรวมไว้ด้วยกันในโหล กลิ้งแอบอยู่ตามมุมห้อง ซ่อนอยู่ในหลืบลึกของกระเป๋ากางเกง
ในวันนี้มันอาจเป็นเพียงโลหะชิ้นจ้อย สึกกร่อนจนมองไม่เห็นลวดลายบางส่วน ถูกนึกถึงเมื่อใช้จ่ายในราคาหยิบมือ ไม่ได้มีมูลค่ามากมายจนเราต้องนึกเสียดายเมื่อมันหล่นหายไป มูลค่าและหน้าที่ของมันช่างน้อยเหลือใจ แต่ในวันวาน เหรียญไม่ใช่แค่สื่อกลางการแลกเปลี่ยน แต่ยังเป็นเครื่องมือของรัฐ เครื่องหมายแห่งอำนาจ เสียงสะท้อนของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม แม้แต่ความเชื่อ
บางเหรียญปรากฏภาพพระพักตร์ของกษัตริย์ บางเหรียญไม่มีแม้แต่ภาพมนุษย์ บางเหรียญบรรจุภาษาที่หายไปจากโลกแล้ว และบางเหรียญเดินทางผ่านทั้งระยะทางและเวลามาไกลแสนไกล
มาไล่เรียงรู้จักเหรียญในวันวาน ร่องรอยของอำนาจ การแลกเปลี่ยน จนกลายเป็นระบบที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา ด้วยความกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาของเนื้อหา และไม่อาจระบุถึงไทม์ไลน์ได้ชัดแจ้งว่าเรื่องนี้เกิดในปีนี้เป็นแน่แท้ จึงขอเล่าไปตามอารายธรรม สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา และอิทธิพลของโลหะกลมเกลี้ยงขนาดย่อมนี้
ทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก ก่อนจะมีเหรียญในฐานะเงินตรา มนุษยชาติเคยใช้วิธีแลกเปลี่ยนกันด้วยสิ่งของมาก่อน ตั้งแต่พืชพรรณ ปศุสัตว์ เครื่องไม้เครื่องมือ ไปจนถึงของใช้ต่างๆ วิธีเหล่านี้ยังคงอยู่แม้จะเดินทางมาถึงยุคที่มีเหรียญแล้วก็ตาม

เราเริ่มมีเหรียญแลกเปลี่ยนกันตอนไหน
มูลนิธิเหรียญและประวัติศาสตร์ (The Coins and History Foundation) และแหล่งข้อมูลหลายแห่งชี้ไปที่จุดเดียวกันว่า เหรียญเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พอจะสืบย้อนไปได้ตามบันทึกของเฮโรโดตัส เกิดขึ้นในอารยธรรมโบราณแห่งลิเดียและเปอร์เซีย ทำจากอิเล็กตรัม โลหะผสมทองคำและเงินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ในช่วงแรก เหรียญถูกตีขึ้นจากโลหะ รูปร่างบูดเบี้ยวไม่ออกจะกลมเท่าไหร่นัก ราว 500-600 ปีก่อนคริสตกาล นั่นหมายความว่าเรามีเหรียญใช้จ่าย แลกเปลี่ยน กันมานานตั้งแต่อารายธรรมโบราณ
เหรียญของชาวลิเดียกลายเป็นต้นแบบให้กรีกโบราณเริ่มตีเหรียญของตนเอง พร้อมประทับสัญลักษณ์ของรัฐ รูปนกฮูกของเทพีอะธีนาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาและเทพผู้อุปถัมภ์ของเมือง คาดว่าสิ่งนี้กลายเป็นต้นแบบของการนำตราประจำรัฐมาประทับบนเหรียญในเวลาต่อมา
แต่เหมือนว่าเหรียญในตอนนั้น ยังไม่ได้ผลิตมาเพื่อเป็นเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ที่ผู้คนใช้อยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ผู้ปกครองเริ่มออกเหรียญกษาปณ์ที่มีรูปเหมือนใบหน้าของกษัตริย์บนเหรียญ ไม่เพียงแต่เป็นการประดับตกแต่งเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของผู้ปกครอง และเป็นการเตือนใจราษฎรถึงความจงรักภักดีต่ออำนาจส่วนกลาง จนเป็นต้นแบบให้จักรวรรดิยุโรปหลังอย่างไบแซนไทน์ ไปจนถึงยุคกลาง

ในฟากฝั่งตะวันออก ย้อนไปไกลเกินกว่าเหรียญแรกที่เรารู้จักของชาวลิเดีย ในอารายธรรมจีน ปกครองโดยราชวงศ์โจว ราว 1100 ปีก่อนคริสตกาล การแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นวิธีการค้าขายที่นิยมใช้กันทั่วไป โดยใช้เปลือกหอยเคารีเจาะและร้อยเข้ากับเชือก ไม่นานนัก ความต้องการเปลือกหอยเคารีก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องเปลี่ยนมาเป็นกระดูกวัวแกะสลัก แน่นอนว่าใช้ได้เพียงไม่นาน ชาวจีนคิดค้นการหล่อเหรียญด้วยทองสำริด ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญ เพราะสามารถนำไปหลอมและหล่อเป็นเหรียญใหม่ได้
จนมาถึงในช่วงราชวงศ์โจวล่มสลาย แต่ละก๊กแต่ละเหล่า ต่างหล่อเหรียญขึ้นใช้กันเอง เกิดเป็นเหรียญหลากหลายรูปแบบ อย่างเหรียญรูปมีด รูปจอบ สะท้อนเครื่องมือทำกินของสังคมเกษตร
ถึงคราวของราชวงศ์ฉินไปจนถึงราชวงศ์ฮั่น ฉินซีฮ่องเต้เริ่มรวมระบบเงินตรา เป็นเหรียญทองแดงทรงกลม เจาะรูตรงกลาง ที่เราอาจเห็นผ่านตากันในภาพยนตร์หรือซีรีส์ของจีน และเหรียญทรงกลม มีรูตรงกลางนี้ กลายเป็นต้นแบบให้กับหลายอารยธรรมในตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม
การใช้เหรียญเพื่อแลกเปลี่ยนแทนวิธีเดิมอย่างแลกด้วยสิ่งของ เบี้ย แพร่กระจายไปสู่ประเทศข้างเคียงได้ง่ายจากการค้าขาย เมื่อประชากรของประเทศหนึ่งต้องพึ่งพาอีกประเทศหนึ่ง มีการนำเข้าส่งออก ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน เมื่อเหรียญกษาปณ์ถูกส่งต่อจากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง เหรียญกษาปณ์ไม่เพียงแต่มีมูลค่าทางการเงินเท่านั้น แต่ยังมีน้ำหนักของอำนาจทางการเมืองและอิทธิพลทางวัฒนธรรมอีกด้วย
การสืบเสาะระบุเส้นทางว่าใคร่เริ่มก่อนใคร ใครทำตามใคร อาจไม่ใช่หมุดหมายหลักของเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เราจึงยกมาเพียงหมุดหมายสำคัญที่เป็นสารตั้งต้นของเหรียญในแต่ละฟากฝั่งอารายธรรม ลองขยับมาต่อกันที่มุมของภูมิปัญญาในการผลิตคิดค้นจนได้เป็นโลหะกลมแบนขนาดจิ๋วที่หน้าตาออกจะกระท่อนกระแท่นในช่วงแรก กว่าจะมาเป็นเหรียญกลมเกลี้ยง น้ำหนัก รูปลักษณ์เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนในทุกวันนี้

กว่าเหรียญจะกลมเกลี้ยง
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น วิธีแลกเปลี่ยนดั้งเดิมอาจใช้สิ่งของแลกสิ่งของ ต่อมาก็เสาะหาสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นเบี้ยหวัด แต่เมื่อไม่พอใช้หรือเกิดการปลอมแปลงได้ง่าย โลหะจึงเข้ามาเป็นวัสดุแรกที่แทบทุกอารายธรรมนึกถึง นอกจากความทนทานแล้ว ยังสามารถหลอมและขึ้นรูปได้ง่าย
แม้ในช่วงแรกจะใช้วิธีนำเศษโลหะมาทุบบนทั่ง แต่มันให้รูปร่างที่ไม่แน่นอน ไม่สวยงาม และยังคงปลอมแปลงได้ง่ายอยู่ดี และในเมื่อมันเป็นโลหะที่ไม่ได้จำกัดวิธีขึ้นรูปแค่การตี การหล่อจึงเป็นกระบวนการสำคัญต่อมาในการผลิตเหรียญ
ในฝั่งตะวันตก ต้นแบบของเหรียญในยุคกรีกเริ่มขึ้นที่แคว้นไอโอเนีย โดยใช้โลหะอิเล็กตรัม หลอมแล้วเทลงบนทั่งเหล็กที่มีลาย จากนั้นจึงตรวจสอบน้ำหนักแล้วตอกประทับตรายืนยันมูลค่า บางครั้งมีลายแตกหรือพื้นผิวขรุขระ ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำเลียนแบบได้ง่าย
ขยับมาที่ยุคกลาง แม่พิมพ์ในยุคนี้ทนทานกว่าสมัยโบราณ แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากนัก จนมาถึงยุคการทำเหมืองในยุโรปกลาง ช่วงศตวรรษที่ 15 เกิดแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนากระบวนการผลิตเหรียญสมัยใหม่ แม้จะยังคงผลิตโดยใช้วิธีปั๊มจากแม่พิมพ์ แต่แม่พิมพ์เหล่านี้มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้แสดงภาพบนเหรียญได้อย่างสมบูรณ์ พัฒนาต่อไปสู่แท่นกดแบบลูกกลิ้ง แท่นกดแบบโยก จนถึงเครื่องปั๊มแบบฟลาย (Fly Press)

เหรียญที่เราใช้ทุกวันนี้ มีจำนวนมากเกินกว่าจะใช้กำลังคนผลิตได้ โรงกษาปณ์จึงใช้เครื่องปั๊มโลหะความเร็วสูง โดยเริ่มจากผลิตแผ่นโลหะเปล่า แท่งโลหะแนวตั้งจะถูกวางบนสายพานลำเลียงแบบลูกกลิ้งในแนวนอน เพื่อเตรียมตัดด้วยเลื่อยวงเดือนให้เป็น 2 ท่อนที่มีความยาวเท่ากัน จากนั้นเหล็กเส้นจะถูกนำไปอบด้วยขดลวดเหนี่ยวนำความถี่สูงเพื่อรีดร้อน จากนั้นเหล็กแผ่นม้วนจะถูกรีดเย็น ทำให้ความหนาลดลงเหลือประมาณ 1 ใน 10 ของนิ้ว จากนั้นปลายของขดลวดแต่ละอันจะถูกตัดและเชื่อมเข้าด้วยกัน สุดท้าย ขดลวดจะถูกรีดภายใต้แรงดึงในโรงงานรีดละเอียด ซึ่งควบคุมความหนาด้วยเซ็นเซอร์
ขั้นตอนซับซ้อนมากมายในวันนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเหรียญที่เราแทบจะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าในวันวาน แต่มองย้อนกลับไป ในวันที่เรายังต้องนำเศษโลหะมาตีจนได้เหรียญหน้าตาบูดเบี้ยว ก็นับว่าเรามาไกลเหลือเกิน ไกลจนเหรียญทุกวันนี้มีความหลากหลายในการใช้งานนอกเหนือจากจับจ่ายใช้สอย หลายประเทศผลิตเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเพื่อรำลึกถึงสถานที่ บุคลล และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เหรียญเหล่านี้ทำหน้าที่รับส่งสารของรัฐ ให้เข้าถึงได้แม้กระทั่งในมุมที่ห่างไกลที่สุดของสังคม
เราทุกคนล้วนถือเหรียญอยู่ในกระเป๋าโดยไม่ทันได้นึกว่า มันเคยเป็นสัญลักษณ์ของการผูกขาดอำนาจในการกำหนดมูลค่า และในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คนต่อรัฐในแต่ละยุค
อ้างอิงจาก