พุงน้อยๆ ชั้นไขมันน่าเอ็นดูที่อยู่บนตัวเรา มันเป็นทั้งเรื่องที่ทั้งยากและง่าย ความอ้วนไม่ใช่แค่ง่ายที่จะสะสมและก็ยากที่จะกำจัดอย่างเดียว พุงที่อยู่บนร่างกายเรา การกินที่ขึ้นอยู่กับปากเรา แต่เราเองก็อยู่ในสังคม ไปเกี่ยวข้องกะคนอื่นด้วย ถ้าเราทำอะไรหรือเป็นอะไรแล้วไม่เดือดร้อนก็โอเค ถ้ามันจะเดือดร้อนก็ต้องคิดเผื่อคนอื่นหน่อย
ความอ้วนจากเรื่องส่วนตัวเลยกลายเป็นเรื่องสาธารณะ เป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อคนอื่นไปด้วย
ไอ้กรณีความซวยที่ต้องนั่งข้างคนอ้วนบนเครื่องบิน ก็มีการตำหนิสายการบินที่ไม่สามารถจัดการการบริการที่เสมอภาคและเหมาะสมให้ได้ แน่ล่ะ เพราะแทนที่เราจะได้นั่งเก้าอี้กันคนละตัว มีพื้นที่ที่เหมาะสมจากการซื้อตั๋ว แต่ที่นั่งข้างๆ ดั๊นนั่งกินพื้นที่มาฝั่งเราด้วย บางคนก็บอกว่าพ่อคนที่อ้วนก็ควรจะรู้ตัวและจัดการตัวเองไม่ให้ไปเดือดร้อนใคร
คงจะด้วยไลฟ์สไตล์และการเข้ามาของโลกบริโภค ปัจจุบันด้วยวิถีชีวิตที่ขยับตัวแค่นิ้ว มือ และสายตา รวมไปถึงโลกธุรกิจที่กระตุ้นให้เราหิวตลอดเวลา ความอ้วนเลยกลายเป็นปัญหาที่ลุกลามและคุกคามคุณภาพชีวิต ไปจนถึงความมั่นคงของรัฐ
ว่าด้วยเรื่องที่นั่งบนเครื่องบิน ปัญหาเรื่องน้ำหนักประชากรที่เพิ่มขึ้นของชาวอเมริกันทำให้มีรายงานว่าขนาดของสิ่งต่างๆ เช่น โลงศพ เก้าอี้บนเครื่องบิน ไปจนถึงเตียงในโรงพยาบาลต้องถูกผลิตให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับอเมริกันชนที่มีความเฮวี่-เวท มากขึ้น ซึ่งก็มีงานศึกษามากมายที่เชื่อมโยงโรคภัยต่างๆ เข้ากับปัญหาน้ำหนักตัวที่พุ่งสูงขึ้น
ของบ้านเราเองล่าสุด สสส. รายงานว่าคนไทยอ้วน 19 ล้านคน ป่วยเป็นความดันโลหิตสูง 13 ล้านคน เป็นเบาหวาน 4 ล้านคน และอีก 7.7 ล้านคนมีแนวโน้มที่จะเป็นเบาหวานในอนาคต
ประวัติศาสตร์อวบๆ
ความอ้วนเป็นเหมือนจุดตัดของวิทยาศาสตร์และสังคม คือพุงมันก็อยู่บนร่างกาย เป็นเรื่องของกลไกที่ซับซ้อนของร่างกาย เป็นเรื่องของสุขภาพ ในขณะเดียวกันความอ้วนก็เป็นเรื่องของสังคมด้วย คือความอ้วนมันไม่ได้อ้วนเฉยๆ แต่มันเต็มไปด้วยการให้ค่าและการให้ความหมาย เส้นแบ่งของอาการและปริมาณความอ้วนก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
สิ่งที่เราได้ยินบ่อยๆ คือความอ้วนที่มันมีขนาดเล็กลงตามยุคสมัย สมัยก่อนโน้นยุคที่มีรูปปั้นวีนัส สมัยที่แรงคนเป็นปัจจัยสำคัญในสังคมและบทบาทสำคัญของผู้หญิงคือการผลิตทายาทและแรงงาน ดังนั้นความอวบเลยเป็นเหมือนตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันเส้นแบ่งของคำว่าอ้วนและอวบอาจเหลือแค่เส้นบางๆ ไปจนถึงมาตรฐานรอบเอวในอุดมคติก็หดเล็กลงเรื่อยๆ
จะว่าไป ไม่ได้หมายความว่าสมัยก่อนโนแคร์โนสนกับรอบพุงของตัวเอง มนุษย์เรามีความหมกมุ่นกับความงามของเรือนร่างคู่กับประวัติศาสตร์อันยาวนานของเรา นึกถึงรูปปั้นกรีกที่เป็นอุดมคติรวมไปถึงทวยเทพทุกองค์ล้วนมีซิกซ์แพ็ค ในยุคสปาตันดินแดนลูกผู้ชาย ชายหนุ่มคนไหนที่พุงหลามจนเกินไปก็จะถูกอัปเปหิออกไปจากสังคมอุดมกล้ามท้อง (ใจร้ายยยย) หรือโสเครติส ขนาดเป็นนักปรัชญาก็ยังออกไปเต้นเพื่อออกกำลังกายรักษารอบเอวเอสของตัวเองไว้ จริงๆ ความงามในยุคต่อๆ มาอย่างวิกตอเรียนก็นิยมสาวหุ่นนาฬิกาทรายที่เอวคอดเป็น S เคิร์ฟ
จริงๆ ปัจจุบันบ้านเราความอ้วนก็เป็นสัญญาณว่าคนๆ นั้นรวย มีอันจะกิน สภาพความเสี่ยในยุคกลางและยุคเรอเนซองก์เลยมีลักษณะคล้ายๆ กับเสี่ยตามสนามกอล์ฟในบ้านเราทุกวันนี้ ลงพุงเพราะรวย
ความไม่เสมอภาคทางชั้นพุง
เรื่องพุงๆ มีมิติทางชนชั้นด้วย เวลาเราวาดภาพคนรวย มักเป็นคนที่อ้วนๆ เพราะมีอันจะกินหรือกินเยอะไปจากความร่ำรวย ส่วนภาพของคนจนคือทำงานหนักและไม่มีอันจะกิน แต่จากการสำรวจพบว่ากลับกันเลย คือในระยะหลังคนจนกลับมีภาวะอ้วนมากกว่าคนรวย ในบรรดาคนที่มีรายได้ต่ำพบว่าเป็นอ้วนจำนวนมากกว่าคนรวยถึงสองเท่า
เราๆ ท่านๆ คงรู้สึกว่าไม่แปลกเพราะแน่ล่ะ อาหารที่ถูกเคลมว่าเฮลตี้ดีต่อสุขภาพมักมีราคาแพงกว่าพวกอาหารไม่คลีนทั้งหลาย ในอเมริกาพบว่ายิ่งจนยิ่งอ้วน ความยากจนไม่ใช่แค่ทำให้เราไม่มีกินและการทำงานหนักจะทำให้ไม่อ้วน คือมันก็ต้องกินไง แต่ความจนก็ทำให้เข้าถึงได้แค่อาหารที่คุณภาพไม่ดี ผักก็แพง และในขณะเดียวกันพอจนแล้วมันก็ไม่มีเวลาว่าง ไม่มีเวลาไปยิมไปออกกำลัง แถมย่านที่คนรายได้น้อยๆ อยู่กันมันก็ไม่ค่อยปลอดภัย จะออกไปเดินทองน่อง ตากแดด ออกกำลัง มันก็ทำไม่ได้ ต้องอยู่กันแต่ในบ้าน
ความอ้วนเป็นเรื่องซับซ้อน ความกังวลเรื่องพุงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมวลมนุษย์เรามานานแล้ว
จะอ้วนก็ไม่ผิดหรอกเนอะ ความอ้วนก็เป็นความงาม มีความสุนทรียะ น่ารักน่ากอด แต่เรื่องสุขภาพก็สำคัญ คือไม่ใช่แค่เรื่องความเดือดร้อนแบบที่ลุงอิตาเลียนแกเจอ แต่หมายถึงการที่เราทำตัวเองให้มีสุขภาพดีมันก็เป็นความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมด้วย ความป่วยไข้ของเราในที่สุดมันก็ส่งผลต่อสังคม ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย
เป็นหมูที่แข็งแรงก็โอเคเนอะ จะว่าไป
อ่านเสร็จก็กินขนมนิดหน่อยแก้ง่วง
เอ้า ไปๆ ว่างๆ เย็นๆ ก็ไปวิ่งกัน