เป็นอีกครั้งที่สื่อมวลชนไทยถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และจรรยาบรรณวิชาชีพในการรายงานข่าวอาชญากรรม
หากเปิดดูหรืออ่านข่าวอาชญากรรมที่เผยแพร่ในสื่อไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พบว่าข่าวอาชญากรรมมักถูกเล่าผ่านการจำลองเหตุการณ์ด้วยการเล่าของผู้สื่อข่าวและมีภาพ ‘กราฟิก’ อย่างละเอียด พร้อมการภาษาเชิงเปรียบเทียบเพื่อเร้าอารมณ์ เสมือนว่าผู้สื่อข่าวเห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง
และปฏิเสธไม่ได้ว่าการรายงานข่าวด้วยการใช้ภาพและภาษาที่เร้าอารมณ์นี้ ส่งผลกระตุ้นให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึกสะเทือนใจ โกรธ กลัว หรือเห็นใจ ซึ่งนำไปสู่การคาดเดาหรือตัดสินผู้กระทำผิดหรือผู้เสียหายและสาเหตุด้วยตนเอง ซึ่งบ่อยครั้งการตัดสินทางสังคมที่เกิดขึ้นอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเสมอไป
แม้หลายครั้งสื่อมวลชนจะอ้างว่าเป็นไปเพื่อแสวงหาความจริงหรือเพื่อมอบความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิต แต่การรายงานข่าวที่เน้นย้ำเรื่องส่วนตัวและดราม่าอย่างต่อเนื่อง ก็มิอาจหลีกเลี่ยงข้อสงสัยที่ว่าเป็นการรายงานข่าวเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจสื่อ หรือเพื่อเพิ่มเรตติ้งและยอดการเข้าชมรายการ
จนทำให้เกิดคำถามว่า สุดท้ายแล้วผู้เสียชีวิตหรือสังคมจะได้รับประโยชน์อะไรจากการรายงานข่าวลักษณะนี้ แล้วการรายงานข่าวลักษณะนี้จะพาสังคมไปสู่อะไร?
เมื่อข่าวอาชญากรรมถูกทำให้เป็นละคร
หากเปิดดูหรืออ่านข่าวอาชญากรรมที่เผยแพร่ในสื่อไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เรามักพบลักษณะร่วมบางประการ เช่น ความถี่และความยาวของข่าวที่ถูกนำเสนอ การจำลองเหตุการณ์ผ่านการเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคดี พร้อม ‘กราฟิก’ จำลองสถานการณ์อย่างละเอียด
ยกตัวอย่างกรณีการเสียชีวิตของ ‘นัท—ณัฐวุฒิ ปงลังกา’ นักข่าวและผู้ประกาศข่าวช่อง 8 ซึ่งเดิมคาดว่าเป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติ กระทั่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันการพบ ‘สารไซยาไนด์’ ในร่างกาย ทำให้เกิดความสงสัยต่อครอบครัว เพื่อน และสาธารณชน ว่าสารไซยาไนด์มาจากไหนและเข้าสู่ร่างกายของณัฐวุฒิได้อย่างไร?
ข้อสงสัยเหล่านี้ นำมาสู่การสืบเสาะสาเหตุการเสียชีวิตของณัฐวุฒิอย่างเข้มข้นโดยสื่อมวลชน ซึ่งมีการเปิดเผยรายละเอียดที่หลายคนมองว่าก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้เสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่การวาดผังเหตุการณ์ การเผยแพร่ภาพและเสียงจากกล้องวงจรปิดในบ้านพัก ไปจนถึงการนำ ‘แชทส่วนตัว’ และเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้เสียชีวิตมาเปิดเผยต่อสาธารณะ
ซึ่งหากสังเกตโครงสร้างการเล่าเรื่องข่าวอาชญากรรมหลายๆ ครั้ง จะพบกลวิธีการเล่าเรื่องคล้าย ‘ละคร’ ที่ซ่อนอยู่ในนั้น คือ เป็นการเล่าเรื่องผ่านการใช้ตัวละคร ฉาก บรรยากาศ และบทสนทนา พร้อมลีลาการผ่านมุมมองของผู้บรรยาย (ราวกับเห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง) ซึ่งมักใช้ภาษาเชิงเร้าอารมณ์ของผู้รับสาร
การใช้ภาพและภาษาที่เร้าอารมณ์ย่อมกระตุ้นให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึกสะเทือนใจ โกรธ กลัว หรือเห็นใจ ซึ่งนำไปสู่การคาดเดาหรือตัดสินผู้กระทำผิดหรือผู้เสียหายและสาเหตุด้วยตนเอง ซึ่งบ่อยครั้งการตัดสินทางสังคมที่เกิดขึ้นอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเสมอไป
อย่างไรก็ตาม การรายงานข่าวอาชญากรรมในหลายๆ ครั้ง มักจะวนเวียนอยู่ผู้ให้ข้อมูลหรือชุดข้อมูลบางประการที่อาจสนับสนุนเฉพาะประเด็นที่สื่อต้องการนำเสนอ ซึ่งบ่อยครั้งถูกลดทอนให้เป็นเรื่อง ‘ความขัดแย้งระหว่างบุคคล’ มากกว่าการสะท้อนภาพความเปราะบางของสังคม กระบวนการยุติธรรม หรือปัญหาอื่นๆ ที่ถูกฝังอยู่ในสังคม
ผลกระทบต่อ ‘ผู้เสียหาย-ผู้ต้องหา’ จากการที่ข่าวอาชญากรรมถูกทำให้เป็นละคร
เบื้องต้นการรายงานข่าวอาชญากรรมอาจดูเหมือนสร้างคุณค่าเชิงบวกต่อสังคม เช่น สะท้อนความไม่ปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม กระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ของกฎหมาย หรือการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพในสังคม
แต่เมื่อเกิดการเล่าเรื่องอย่างเร้าอารมณ์และสร้างตัวละครต่างๆ ขึ้นมา ทำให้หลายครั้งสื่อก็หลุดจากการจับสาระสำคัญในข่าว และมองไม่เห็นปัญหาเชิงระบบที่สังคมต้องช่วยกันแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีคล้ายกันอีก อีกทั้งการเล่ารูปคดีอย่างละเอียดยังอาจเป็นการชี้ช่องให้เกิดพฤติกรรมการลอกเลียนแบบได้อีกด้วย
ขณะเดียวกัน การนำเสนอภาพผู้ต้องสงสัยและเหยื่อในสื่อยังมีบทบาทสำคัญในหลอมสร้างทัศนคติหรือตีตราคนบางกลุ่มในสังคม ยกตัวอย่างงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า มีการเผยแพร่ภาพถ่ายผู้ต้องหาผิวดำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดถึงร้อยละ 45 ขณะที่ใช้ภาพถ่ายผู้ต้องหาผิวขาวเพียงร้อยละ 8 ซึ่งนำมาสู่ความหวาดระแวงต่อคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา
จากงานศึกษาเรื่อง Journalists and Victims of Crimes ของ Štěpán Vymětal และคณะ ระบุว่า การรายงานข่าวอาชญากรรมที่มุ่งเน้นการเร้าอารมณ์หรือขาดความละเอียดอ่อน มักสร้างการซ้ำเติมความเสียหายให้ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับคดี ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย พยาน หรือผู้ต้องสงสัย
โดยเหยื่อหรือครอบครัวต้องพบการนำเสนอภาพเหตุการณ์หรือรายละเอียดของความรุนแรงซ้ำไปมา บางครั้งก็มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อโดยไม่ได้รับความยินยอม ทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
นอกจากนั้น ผู้เสียหายยังอาจการถูกกล่าวโทษจากสังคม (Victim-Blaming) จากการคาดเดาแรงจูงใจ ความไม่ระมัดระวังตัว หรือการเผยแพร่ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับภูมิหลังของเหยื่อ ทำให้สาธารณชนเกิดความสงสัยในตัวเหยื่อ และทำให้เหยื่อถูกตีตราซ้ำ (Stigmatization)
กระทั่งบางครั้งที่สื่อพุ่งเข้าหาผู้เสียหายหรือครอบครัวทันทีที่เกิดเหตุ ขณะที่พวกเขาไม่พร้อมให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นทันทีหลังประสบเหตุการณ์ (รวมถึงการเสร็จสิ้นกระบวนการในศาล) ก็อาจทำให้พวกเขาแสดงออกด้วยความโกรธ ความสิ้นหวัง หรือความเฉยชา ซึ่งอาจไม่ตรงกับความคาดหวังของสังคม และทำให้ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ได้
ถัดมาคือผลกระทบต่อผู้ต้องสงสัยหรือผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งแม้สื่อจะไม่ได้กล่าวโดยตรงว่าใครคือผู้กระทำผิด แต่ด้วยการนำเสนอพยานแวดล้อมต่างๆ ผู้รับสารก็อาจคาดเดาไปเองว่าใครคือผู้ก่อเหตุในคดีนี้
เหล่านี้ทำให้ผู้ต้องสงสัยในคดีถูกละเมิดหลักการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด รวมทั้งถูกละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวจากการถูกเผยแพร่ชื่อ ใบหน้า และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ
นอกจากนั้น การนำเสนอในรูปแบบนี้มักกลายเป็นการโต้ตอบไปมาเหมือน ‘ข่าวปิงปอง’ เมื่อสื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากฝ่ายต่างๆ ในคดี ซึ่งกลายเป็นว่าสื่อได้สร้างให้บุคคลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย พยาน หรือผู้ถูกกล่าวหา กลายเป็น ‘บุคคลสาธารณะ’ โดยไม่รู้ตัว และทำให้ชีวิตส่วนตัวของพวกเขาสูญเสียไปในพื้นที่สาธารณะโดยไม่จำเป็น
ทำไมข่าวอาชญากรรมถึงถูกรายงานในลักษณะนี้?
หากมองข่าวอาชญากรรมในแง่ของ ‘คุณค่าข่าว’ หรือเกณฑ์ที่สื่อใช้ตัดสินว่าเหตุการณ์ใดมีความสำคัญน่าสนใจ และคู่ควรแก่การนำเสนอเป็นข่าว จะพบว่าข่าวอาชญากรรมมีคุณค่าในเชิง ‘การดึงดูดความสนใจของผู้คน (Human Interest)’ เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่างซ่อนอยู่ เช่น ผลกระทบ ความมีเงื่อนงำ ความขัดแย้ง เพศ และความแปลก (Oddity)
เหล่านี้ทำให้การเสนอข่าวเร้าอารมณ์ผสานกับการเล่าเรื่องที่ดึงดูดความสนใจ กลายเป็นปัจจัยเชื่อมให้เกิดการมีส่วนร่วมและเข้าถึงคนในสังคมได้ง่าย ซึ่งนำมาสู่ยอดการเข้าถึง (Reach) ที่ส่งผลต่อการประเมินผลงานนักข่าวหรือรายการข่าว
พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนปัญหานี้ผ่านบทความ ‘ถามหามาตรฐาน จริยธรรม และความรับผิดชอบของสื่อที่รายงานข่าวแบบดราม่า’ ว่า การเกิดขึ้นของสื่อใหม่บนสังคมออนไลน์ทำให้ภูมิทัศน์ของสื่อกระแสหลัก (Traditional Media) เปลี่ยนไป
อย่างในอดีต ยอดการจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ จำนวนผู้รับชมหรือเรตติ้งในโทรทัศน์ เป็นตัวชี้วัดความนิยมที่เอเจนซีนำมาประกอบการพิจารณาให้งบโฆษณา แต่ทุกวันนี้ สื่อกระแสหลักต้องปรับเนื้อหาให้สามารถเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อช่วงชิงยอดการเข้าถึงจากจำนวนงานและความเร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จากการโฆษณาด้วย
ดังนั้น การลงทุนเรื่องเวลาและกำลังคนของสื่อกระแสหลักในปัจจุบัน จึงไม่ได้อยู่ที่การหาข้อมูลให้ลึกหรือกว้างขึ้น แต่เป็นการทำงานเพื่อคำนึงถึงการนำข้อมูลมาผลิตคอนเทนต์หรือแตกย่อยข้อมูล เพื่อนำเสนอในสื่อสังคมออนไลน์ได้ด้วย
และบางครั้งที่สื่อมวลชนอ้างว่าจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้โดยละเอียดเพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่นั่นก็นำมาสู่คำถามว่า แล้วทำไมประชาชนถึงสนใจเรื่องนี้ ทั้งที่ยังมีเรื่องอื่นๆ ในสังคมที่กระทบต่อชีวิตพวกเขาเองมากกว่า? เช่น ปัญหาการคอร์รัปชัน การจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน การตรวจสอบการใช้อำนาจทางการเมือง
พรรษาสิริมองว่าอาจเป็นเพราะประชาชนไม่รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจในการจัดการกับปัญหาหรือตรวจสอบผู้ใช้อำนาจ ขณะเดียวกันสื่อที่มีหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบก็ควรหาคำตอบต่อประเด็นที่มีผลต่อชีวิตของประชาชนมากกว่าให้เหตุผลเพียงว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่คนสนใจ
แนวปฏิบัติสำหรับองค์กรข่าวในการนำเสนอข่าวอาชญากรรม
ย้อนไปเมื่อ 24 พฤษภาคม 2559 องค์กรวิชาชีพนักข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ และผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เสนอแนวปฏิบัติเรื่องการได้มาและการนำเสนอข่าวและภาพข่าวของสื่อมวลชน โดยไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ตกเป็นข่าว
ซึ่งมีทั้งแนวปฏิบัติสำหรับผู้ทำงานข่าวในคดีอาญา โดยเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหา และจำเลย พึงระมัดระวังการกระทำหรือตั้งคำถามในลักษณะชี้นำ กดดัน หรือเป็นการดูถูกเหยียดหยาม พร้อมการหลีกเลี่ยงการถ่ายภาพผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต รวมถึงสถานพยาบาล
และแนวปฏิบัติสำหรับองค์กรสื่อมวลชนที่ควรงดเว้นการนำเสนอข้อมูลส่วนบุคคลและภาพข่าวที่แสดง อัตลักษณ์ของบุคคลที่เพียงผู้ต้องสงสัย การนำเสนอข่าวจากสำนวนคดีหรือภาพข่าวที่อาจซ้ำเติมผู้เสียหาย และหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำในการตรีตราหรือชี้นำสังคม
แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแนวปฏิบัติ ไม่ได้มีข้อบังคับชัดเจน ทำให้หลายครั้งที่เรายังเห็นการรายงานข่าวที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเป็นส่วนตัว
ปัญหานี้อาจแก้ได้โดยการปรับฐานคิดของคนทำงานข่าวให้ยืนอยู่บนหลักสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งรวมถึงการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้เกี่ยวข้อง พร้อมคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบและผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหา
สิ่งสำคัญคือ สื่อควรเปลี่ยนมุมมองไปพิจารณาถึงความเหมาะสมและความละเอียดของการรายงาน ผ่านการให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการเล่าเรื่องพร้อม การเชื่อมโยงถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้สังคมไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองได้
ส่วนผู้รับสารในฐานะของผู้บริโภคก็สามารถหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการไลก์ แชร์ หรือแสดงความคิดเห็น กับเนื้อหาต่างๆ เพื่อป้องกันการเพิ่มยอดการเข้าถึงหรือเปิดการมองเห็นของสื่อเหล่านั้น
และหากพบการรายงานข่าวที่มีลักษณะไม่เหมาะสม คนทั่วไปก็ยังสามารถรายงาน (Report) ต่อผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมีมาตรการบางอย่างกับเนื้อหาเหล่านี้ และเป็นแรงกดดันอุตสาหกรรมสื่อต่อไป
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตข่าวหรือผู้เสพข่าว ต่างต้องตระหนักถึงรูปแบบการนำเสนอของสื่อ ว่าสิ่งไหนอาจกำลังข้ามเส้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ตกเป็นข่าว พร้อมตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอว่า “เรากำลังสนุกหรือหารายได้จากความสูญเสียของผู้อื่นอยู่หรือไม่?”
อ้างอิงจาก