การระบาดครั้งใหม่ของไวรัส COVID-19 ในช่วงปลายปี พ.ศ.2563 คือคลื่นระลอกใหญ่ที่ซัดโครมใส่ประชาชนทุกคนทุกระดับในประเทศไทย และทันทีที่มีผู้ติดเชื้อเป็นวงกว้าง มาตรการการควบคุมโรคต่างๆ ของรัฐบาลก็เริ่มมีการประกาศบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ต้นปี พ.ศ.2564 จึงกลายเป็นภาพยนตร์ที่หมุนฉายซ้ำ ประชาชนล้วนได้รับผลกระทบไม่ว่าทางหนึ่งทางใด
วันที่ 2 มกราคม กรุงเทพมหานครสั่งปิดสถานที่เสี่ยงและสถานที่คุมเข้มโควิดจำนวนหนึ่ง ซึ่งประเภทของกิจการกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งปิด คือร้านนวดแผนโบราณ สปา และฟิตเนส
“ก่อนหน้านี้เดือนธันวาคม 2019 ปิดรีโนเวทไป 45 วัน เปิดมา 15 มกราคม พ.ศ.2563 ผ่านมา 1 เดือนเจอโควิด-19 ซวยมากๆ ซวยโคตรๆ ลงเงินไป 2 ล้านกว่า”
จิรภัทร ถิรนุทธิ เจ้าของกิจการ Moov Bangkok สถานประกอบกิจการฟิตเนส และโยคะสตูดิโอ ขนาด 700 ตารางเมตรในโซนราชเทวี พูดขณะหัวเราะให้ความโชคร้ายของตัวเอง
เขาเล่าต่อว่าหลังจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบแรกในช่วงต้นปี พ.ศ.2563 ตอนแรกยังไม่ได้กระทบเท่าใดนัก แต่พอเข้าช่วงปลายเดือนมีข่าวเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตจากโรคระบาด ลูกค้าเริ่มไม่มา และพอเริ่มมีเคสในไทย ลูกค้าก็หาย เหลือเพียงความเงียบและความรกร้าง
“ร้างในที่นี้คือทั้งจำนวนคนสมัคร และคนมาเล่น คนมาเล่นยังพอมีนะ แต่หายไปเยอะ จำได้ว่าปิด 18 มีนาคม คนหายเลย”
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/ยิม1-1.jpg)
จิรภัทร ถิรนุทธิ
“ปิดยาว 2 เดือน พอเปิดกลับมาก็ยาก เพราะ 1. คนไม่มีเงิน 2. คนไม่อยากใช้เงิน พอกลับมาเปิดก็เลย.. ถ้าไม่มีพักเงินต้นของธนาคารคือขาดทุน คำว่าขาดทุนในที่นี้หมายถึงเงินสดหมุนเวียนติดลบ แต่ไอ้ขาดทุนแบบขาดทุนอะขาดทุนอยู่แล้ว แค่กระแสเงินสดยังพอมี”
จิรภัทรอธิบายว่าระบบของธุรกิจฟิตเนสเป็นการสมัครแล้วให้บริการเป็นคอร์ส จะเป็นช่วงเวลา 1 เดือน 3 เดือน หรือ 1 ปี แตกต่างไปตามระยะเวลาและรูปแบบคอร์สที่ลูกค้าเลือก ดังนั้น เมื่อลูกค้าสมัครคอร์สแล้ว แต่มาเล่นไม่ได้เพราะมาตรการการควบคุมโรคระบาด เขาจึงต้องหาวิธีแก้ไขสถานการณ์
“ช่วงนั้นคือมีนโยบายฟรีซระบบเวลาไว้ ไม่นับเวลา พอเปิดมาก็ค่อยรันต่อ ซึ่งถ้าลูกค้ายังไม่วางใจที่จะกลับมาเล่น ก็ขยายให้อีก 1 เดือน เพราะว่าถ้าไม่ทำตรงนี้ลูกค้าจะขอคืนเงินได้ ช่วงนั้นก็มีคนขอคืนเงินบ้าง แต่จำนวนไม่เยอะ คำว่าไม่เยอะ แต่ถ้าคนขอรีฟันด์คนละ 20,000 บาท สัก 5 คน ก็ 100,000 บาทแล้ว แล้วก็จะมีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดต่ออีก”
แต่โชคชะตาไม่ได้โหดร้ายกับเขานัก เมื่อลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงให้การสนับสนุน
“ตอนที่ล็อกดาวน์ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้มาขอรีฟันด์นะ จะมาขอหยุดสมาชิก คือ ขอฟรีซเวลาไว้ก่อน โควิด-19 หายค่อยมานับเวลาต่อ ยังไม่เจอที่มารีฟันด์เยอะๆ คือถ้ามาพร้อมกัน 50 คนก็อ้วกเลยนะ ตายเลยนะ ยังดีที่ลูกค้า..ใจบุญกับเรา”
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/ยิม2.jpg)
บรรยากาศของ Moov Bangkok ในวันที่ถูกสั่งปิดบริการชั่วคราว
คลายล็อกดาวน์
หลังจากคลายล็อกดาวน์ลูกค้าก็เริ่มกลับเข้ามาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น จิรภัทรเล่าต่อว่าฟิตเนสเป็นธุรกิจที่เป็นรอบปี มีเดือนที่คนเล่นเยอะ สมัครเยอะ มีเดือนที่คนเล่นน้อย สมัครน้อย เช่น คนสมัครเยอะช่วงปลายปี ราวกับหาสถานที่ออกกำลังกายชดใช้กรรมที่สะสมมาตลอดทั้งปี และสมัครน้อยในช่วงก่อนปีใหม่กับสงกรานต์ เพราะเตรียมตัวเก็บเงินไปเที่ยว
“คือหลังจากคลายล็อกดาวน์ คนสมัครแค่ 50-60% พอมาพฤศจิกายน ถึงธันวาคม เริ่มดีขึ้นเป็น 75% ซึ่งคำว่าดีของฟิตเนสคือคนเริ่มสมัครสมาชิก”
แม้จะยังไม่อยู่ตัว แต่ก็ประคับประคองไปได้
จิรภัทรประเมินว่าค่าใช้จ่ายประจำเดือนของเขาในช่วงคลายล็อกดาวน์ตั้งแต่กลางปีจนถึงปลายปี พ.ศ.2563 อยู่ที่ประมาณ 500,000-600,000 บาท/เดือน มาจากทั้งค่าเช่าที่ ค่าไฟฟ้า เงินเดือนพนักงาน และค่าการผ่อนชำระหนี้ธนาคาร เรียกได้ว่าบริหารค่าใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือน
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/ยิม3.jpg)
โต๊ะเก้าอี้ และกระดาน ถูกจัดวางในห้องจักรยานของ Moov Bangkok เพื่อทำเป็นสถานที่พูดคุยวางแผนงาน และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ท่ามกลางภาวะอันไม่ปรกติ
“เราคุยกับพนักงานว่า ให้ทำงานลดจำนวนวันลง จากที่เคยทำ 6 วัน ก็ให้ทำ 5 วัน ส่วนที่ลดไปก็ตีเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าเวลาหายไปจากทำงานจริงเท่าไร แล้วลดเงินเดือนตามนั้น ซึ่งก็ช่วยแต่ก็ไม่มาก ที่มากจะเป็นค่าเช่า กับธนาคารที่ให้หยุดเงินต้น แต่ดอกเบี้ยก็ยังต้องจ่าย หลัก 20,000-30,000 บาท ส่วนเรื่องค่าเช่าคือก็มีไปคุยขอจ่ายค่าเช่าอยู่ที่ 50% ซึ่งโชคดีมาก บางที่ก็คุยไม่ได้”
โรคระบาดกลับมาอีกครั้ง
การประกาศปิดสถานที่เสี่ยงรับต้นปี พ.ศ.2564 ทำให้กิจการจำนวนมากหยุดชะงัก แต่กับฟิตเนสการประกาศปิดในช่วงที่ลูกค้ามาไม่ได้ หรือไม่พร้อมจะมา..อาจดีกว่า
“ต่อให้ภาครัฐไม่สั่งปิดฟิตเนส เราก็มีผลกระทบอยู่ดี ถ้าไม่ปิดเราตาย ตายแบบของจริง เพราะ fixed cost ต่อเดือนเราเยอะมาก ค่าไฟ ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน แล้วถ้าเปิดแต่คนไม่มาสมัคร ก็เสียไปเปล่าๆ ฟิตเนสลดพนักงานไม่ได้”
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/ยิม4.jpg)
บรรยากาศของ Moov Bangkok ในวันที่ถูกสั่งปิดบริการชั่วคราว
“อย่างร้านอาหารบางร้านมีพาร์ตไทม์กับฟูลไทม์ ช่วงนี้พาร์ตไทม์โดนก่อนแน่นอน ฟูลไทม์ก็แล้วแต่คนกับนโยบาย ลดคน ลดวัน แต่ของเราลดไม่ได้ เพราะเทรนเนอร์ไม่สามารถหามาทดแทนได้ทั่วไป ต้องมีทักษะ ต้องถูกจริต เคมีเข้ากับตัวฟิตเนส และคนในทีมในระดับหนึ่ง เราเลยเลย์ออฟคนไม่ได้เป็นไปได้ยากมาก”
เมื่อไม่มีรายได้ หรือรายได้ลดลง … พนักงานของเขาอยู่อย่างไร?
จิรภัทรอธิบายว่าฟิตเนสของเขามีนโยบายช่วยพนักงานเก็บเงิน รูปแบบคล้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักจากเงินเดือนไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท โดยเลือกเข้าร่วมโครงการหรือไม่ก็ได้
“ครบกี่ปีก็จะมีสมทบให้ เป็นแนวทางให้พนักงานอยู่ยาวหน่อย ทำมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ซึ่งพนักงานแต่ละคนมีเงินเก็บก้อนนี้อยู่เฉลี่ยคนละ 30,000 บาท เราก็เอาตรงนี้ให้เขาใช้แทนเงินเดือน ตอนที่กิจการหยุดไป ส่วนคนที่ยังไม่ได้เข้าโครงการนี้ หรือยังอยู่ไม่ครบ เพิ่งเข้ามาใหม่ เราก็จะมีเงินสด ให้กู้ยืมแบบไม่มีดอกเบี้ย แล้วพอเปิดกิจการก็ทยอยหักออกจากเงินเดือน”
ทางรอดของฟิตเนส
“คือในมุมธุรกิจฟิตเนสที่พบผู้ติดเชื้อเรื่อยๆ ปิดไปดีกว่า เพราะเปิดไปก็ไม่มีคนมาเล่น แต่ถ้าสมมติลากยาวเกิน 2 เดือน แล้วปิดต่อเรื่อยๆ ก็ตาย..อันนี้ตายแบบที่หนึ่ง แต่ถ้าสมมติเปิด แล้วสถานการณ์การระบาดยังไม่ดีขึ้น ลูกค้ายังไม่มั่นใจมาสมัคร หรือมาเล่นฟิตเนส..ก็ตายอยู่ดี”
จิรภัทรอธิบายถึงทางเลือกทางรอดต่อสถานการณ์นี้จากมุมมองของเขา
“ยากมาก ถ้าจะฟื้นต่อจากนี้ เป็นเรื่องท้าทายมาก ที่หวังคือเรื่องวัคซีนที่มีปัญหา กว่าเราจะได้ฉีดกันในประเทศคงอีกนาน ถ้ารู้ว่าวัคซีนเริ่มฉีดได้เมื่อไร ถึงจะมีหวัง ….คือถ้ามีวัคซีนคนก็จะกล้าออกมามากขึ้น มาสมัครฟิตเนสเหมือนเดิม”
เพราะความหวังในการดำเนินกิจการของฟิตเนสต่อไปในมุมของจิรภัทร คือต้องมีวัคซีนเพื่อทำให้ชีวิตกลับสู่สภาวะปรกติ
“จริงๆ ที่ต้องการที่สุดคือการมีวัคซีนที่เข้าถึงได้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย ถ้าเขาเคลียร์ได้ เห็นแนวโน้มที่น่าเชื่อถือชัดเจน คนก็จะได้วางแผนจัดการธุรกิจถูก”
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/นวด4.jpg)
ร้านนวด เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่ง กทม.สั่งปิด เพื่อป้องกัน COVID-19 โดยอ้างว่าเป็นสถานที่เสี่ยง
ปิดร้านนวด
หากทางรอดในมุมของของผู้ประกอบกิจการฟิตเนสอาจมีความแตกต่างกับกรณีของร้านนวดแผนโบราณ ที่มองว่าการคลายมาตรการให้กลับมาเปิดและดำเนินกิจการได้อย่างปรกติ คือความหวังที่สำคัญที่สุด
“ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว เพราะไม่มีเงินใช้ รายรับรายจ่ายเราได้วันต่อวัน บางวันเยอะบ้างน้อยบ้าง อยากเปิดอยากทำงาน ที่อื่นเขาผ่อนปรนได้ เราไม่ได้แออัด กระจายต่างคนต่างนวด มีตัวดูดอากาศ ทำความสะอาดบ่อย”
สำอางค์ ชาติดี เจ้าของร้านนวดแผนโบราณย่านที่อยู่อาศัยชานเมืองกรุงเทพฯ กล่าว ก่อนจะอธิบายรายจ่ายที่ต้องแบกรับ และการผ่านพ้นช่วงล็อกดาวน์ต้นปี พ.ศ.2563
“ค่าเช่าปกติเราโดนเดือนละ 30,000 บาท ไม่มีรายได้ก็คือจ่ายเลย 30,000 บาท แต่อย่างรอบที่ปิดเมืองคราวที่แล้วต้นปี พ.ศ.2563 เจ้าของที่เขาลดให้ครึ่งหนึ่ง เหลือ 15,000 บาท ได้เงินจากเราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท ก็เอามาโปะ ใช้จ่ายไปก่อน มีกู้ธนาคารออมสินมาด้วย ตอนนี้ก็ใช้คืนไปหมดแล้ว เอารายได้จากตอนคลายล็อกดาวน์มาอุด”
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/นวด1-1.jpg)
สำอางค์ขณะเข้ามาตรวจความเรียบร้อยในร้านนวด เบาะรองนอนทั้งหมดถูกยกมากองรวมกันเพื่อทำความสะอาดพื้นที่ขณะไม่ได้เปิดร้าน
แต่ฟ้าก็ดูจะเป็นใจ เมื่อภาครัฐประกาศคลายมาตรการควบคุมในช่วงกลางปีก่อน ซึ่งส่งผลให้ร้านนวดสามารถกลับมาดำเนินกิจการต่อไปได้
“รอบแรกร้านนวดโดนสั่งปิดตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2563 เราก็ปิดกิจการรอคำสั่งรัฐบาลเปิด รอเรื่อยๆ จนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม มา 1 มิถุนายน พ.ศ.2563 ถึงได้เปิดเปิดทำการเราก็ทำตามที่รัฐบาลขอความร่วมมือทุกอย่าง ระยะห่าง มีที่วัดไข้ เจลล้างมือ กฎระเบียบเราทำตามหมด”
“ลูกค้าตกเฉลี่ยวันละ 40-50 คน มีเว้นระยะห่างระหว่างเตียง คนอยากนวดอยู่แล้ว จนปิดรอบนี้เขาโทรถามทุกวัน ลูกค้าบางคนถามว่าแอบนวดได้ไหม เราก็ว่าไม่ได้หรอก ต้องทำตามกฎระเบียบ”
กลับบ้านปีใหม่แล้วอยู่ยาว
“ร้านกำลังไปได้ดีเลย ดีขึ้นเรื่อยๆ พอสั่งให้ปิด เราก็ทำตามรัฐบาล หมอนวดอยู่ที่นี่ 10 คน เขากลับต่างจังหวัดบ้าง อยู่ตามห้องบ้าง ห้องใครห้องมัน ทำได้แค่รอเขาเปิด”
สำอางค์เล่าถึงวันที่คำสั่ง ‘ปิด’ ร้านนวดของกรุงเทพมหานครประกาศใช้ โดยอธิบายต่อว่า เป็นช่วงเวลาที่เหล่าพนักงานนวดหรือหมอนวดในร้านทยอยกลับบ้านต่างจังหวัด ก่อนที่ร้านจะปิดให้พนักงานพักผ่อนในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2564
แต่การประกาศกะทันหันของกรุงเทพมหานครในคืนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2564 ให้ร้านนวดแผนโบราณ เป็นหนึ่งในกิจการที่ต้องหยุดทำการชั่วคราว เพื่อป้องกัน COVID-19 ทำให้พนักงานของร้านสำอางค์นวดแผนโบราณ เลื่อนตั๋วกลับกรุงเทพฯ ไปช่วงปลายเดือนทันที เพราะกลับมาแล้วก็ไม่สามารถทำงานได้
“พอเขาประกาศคืนวันที่ 1 มกราคม เช้ามาเราโทรบอกพนักงานนวดว่า ไม่ได้ทำงานแล้วนะ ผู้ว่าฯ สั่งปิดร้านนวด กำหนดจะปิดร้านวันที่ 4 มกราคมเพื่อจะกลับบ้านต่างจังหวัดกัน เขาปิดร้านวันที่ 2 มกราคม คนกลับไปแล้ว ก็อยู่บ้านต่างจังหวัดต่อเลย ป้าก็เข้ามาเก็บกวาด เข้ามาคอยทำความสะอาด คอยดูแลร้านไม่ให้มันเงียบเหงา”
“ระหว่างนี้เราก็ซ่อมร้าน ให้มีสภาพดูดี สมบูรณ์ ยาแนวใหม่ พอเขาคลายมาตรการเราจะได้เปิดได้เลย”
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/นวด3.jpg)
การให้นายช่างเข้ามาซ่อมบำรุงร้านให้มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด ดูจะเป็นทางเลือกที่พอจะทำได้ระหว่างปฏิบัติตามมาตรการควบคุมของ กทม.
พร้อม new normal
ความหวังของสำอางค์ต่อมาตรการรัฐ คือการใช้รูปแบบ new normal เหมือนครั้งการคลายล็อกดาวน์ในกลางปีที่แล้ว ซึ่งทำให้ร้านสามารถเปิดให้บริการได้ แม้จะต้องมีมาตรการควบคุมภายในร้านก็ตาม
“ให้เราเปิดร้านได้ จะให้เราปฏิบัติตามอะไร เว้นระยะห่าง อะไรก็ว่ามาเลย ลูกค้าเขาก็มั่นใจในร้านเรา เราล้างมือบ่อย ไม่ได้ไปที่สุ่มเสี่ยง มีระบบคิว นัดลูกค้า ไม่ให้มานั่งรอแออัดในร้าน คือเขาจะให้เรามีมาตรการอะไร ให้ลงทุนเราพร้อมทำหมดทุกอย่าง เราสั่งที่วัดไข้มาเพิ่มด้วย เจลและผ้าปิดจมูกก็เตรียมพร้อม”
สำอางค์กล่าวในขณะที่เปรียบเทียบถึงการเปิดร้านในช่วงคลายล็อกดาวน์
“ถ้าทำเหมือนงวดที่แล้วคลายล็อกให้เรา ให้เราปฏิบัติตาม มันก็โอเคอยู่ ตอนนั้นพอกลับมาเปิดลูกค้าก็มา ..มันจะดีอยู่แล้ว”
“ตอนล็อกดาวน์ สั่งให้ปิดร้านนวด พนักงานนวดเรายังพอไปนวดตามบ้านได้ เพราะเขาอนุโลม ได้วันละ 2-3 ชั่วโมง พออยู่รอด กระจายรายได้กัน แต่รอบนี้ห้ามนวดตามบ้าน เราก็ทำอะไรไม่ได้ แยกย้าย อยู่ห้องใครห้องมัน คือเขาห้ามออกนอกสถานที่ ให้พยายามไม่เดินทาง เพราะพื้นที่เราสีแดง ควบคุมสูงสุด แต่อย่างที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เขาก็มีผ่อนปรนแล้วนะ ให้นวดสปาได้..”
![](https://thematter.co/wp-content/uploads/2021/01/นวด2.jpg)
สำอางค์เปิดม่านให้แดดส่องเข้ามาภายในร้าน ซึ่งดูจะเป็นมากกว่ากิจการ และที่ทำงาน แต่คือสถานที่ที่ผูกพันและหล่อเลี้ยงชีวิต
ต้นทุนที่ต้องแบกรับ
ปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้คือเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจขาดช่วง คือรายจ่ายและพันธะผูกพันไม่ได้หยุดลงแม้เม็ดเงินขาดมือ ในกรณีของสำอางค์ยังต้องจ่ายค่าเช่าที่ของร้านในทุกเดือนเช่นเดิม
“ค่าเช่าเดือนนี้ยังไม่รู้ว่าจะอย่างไร ว่าเจ้าของที่จะอนุโลมให้แค่ไหน ต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะค่าน้ำค่าไฟเราก็จ่ายกับเจ้าของที่”
“อย่างตอนนี้ก็ต้องเอาเงินเก่าพอมีก็เอามาซื้อกับข้าวกิน มาจ่ายให้แม่บ้านที่ดูแลร้าน เราก็อยากทำงานอยากเปิดร้าน น้องๆ พนักงานก็มีงานทำ ทุกคนคิดถึงร้าน อยากมาทำงาน”
เพราะเมื่อกิจการดำเนินต่อไม่ได้ ไม่ใช่เพียงเจ้าของร้านที่ได้รับผลกระทบ
“รายได้พนักงานเราให้เป็นรายหัว ต่อลูกค้า 1 คน เข้าร้าน 50% เข้าพนักงาน 50% พอร้านเปิดไม่ได้ เขาก็ไม่มีรายได้เลย เพราะรายรับเขาเป็นรายวัน”
ทุกคนทำได้เพียงหาทางรอดที่พอจะทำได้
“หารายได้ไม่ได้ ที่เราต้องแบกภาระไว้ก่อนเลยคือค่าเช่า ต้องมีสำรอง ไม่มีก็ต้องกู้ยืม รอบก่อนป้าก็ไปกู้ออมสินมา 100,000 บาท เป็นเงินทุนสำรอง คืนไปหมดแล้ว รอบนี้ถ้าไม่ไหว ยาวไปก็ต้องกู้อีก” สำอางค์กล่าว
ท่ามกลางนาฬิกาชีวิตที่หมุนไปไม่มีพัก ผู้ประกอบการเหล่านี้ก็ยังต้องเฝ้ารอเพียงการตัดสินใจของผู้มีอำนาจในการชี้ขาดมาตรการที่จะแก้ไขทั้งโรคระบาดและต่อชีวิตทางเศรษฐกิจต่อไป