“ไม่นะ ฉันไม่เหมือนผู้หญิงแบบนั้น”
“ผู้หญิงอะไร แอ๊บแบ๊วเกิน”
ใช่ว่าผู้หญิงด้วยกันเอง จะแสดงพลัง ‘เพื่อนหญิงพลังหญิง’ สนับสนุนกันทีเดียวเสียเมื่อไหร่ เพราะถ้อยคำซึ่งแสดงถึงความเหยียดหยามและเกลียดชังเหล่านี้ ล้วนเป็นคำพูดที่ถูกส่งต่อจากผู้หญิงถึงผู้หญิง จนนำไปสู่ปัญหา ‘การกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง’
เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะจับมือกันฉันมิตรได้ที่ไหน เพราะบางทีในกลุ่มผู้หญิงด้วยกันเอง ก็มีเส้นบางๆ ขีดแบ่งความแตกต่างระหว่างความเป็นหญิงเอาไว้ เพื่อแบ่งแยกและกีดกันผู้หญิงบางคนให้ออกไปจากกลุ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอคติทางเพศต่อไปได้
หากจะยกตัวอย่างสักวงการ ที่สามารถให้ภาพของการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเองได้ชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่ง คงหนีไม่พ้นวงการบันเทิงระดับโลกอย่างฮอลลีวูด ซึ่งแม้จะเต็มไปด้วยบรรดาผู้หญิงมากมายทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทว่าผู้หญิงหลายคนในนี้ ต่างก็ประสบกับปัญหาการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง มิหนำซ้ำอาจนำไปสู่ผลกระทบรุนแรงต่อตัวผู้หญิงเหล่านี้ได้ด้วยเช่นกัน
อย่างเช่น กรณีของ ซิดนีย์ สวีนีย์ (Sydney Sweeney) นัดแสดงสาวดาวรุ่ง จากซีรีส์ The White Lotus และ Euphoria ผู้ออกมาเปิดเผยเบื้องหลังสุดเน่าเฟะของวงการฮอลลีวูด เมื่อเธอถูก แครอล บอม (Carol Baum) โปรดิวเซอร์สาวรุ่นใหญ่ในวงการ ดูถูกว่าตัวของซิดนีย์แทบจะเรียกว่าสวยไม่ได้ด้วยซ้ำ แถมยังไม่เหมาะกับการแสดงอีก จนกลายเป็นข่าวใหญ่ ซึ่งนักข่าวมากมายต่างก็นำประเด็นดังกล่าวไปเล่นต่อในวงกว้าง
นอกจากนี้ยังมีกรณีของ แอน แฮทธาเวย์ (Anne Hathaway) ที่ออกมายอมรับกับสื่อโดยตรงว่า ตัวของเธอนั้นเคยมีความรู้สึกเกี่ยวกับการกีดกันหรือเกลียดชังผู้หญิงด้วยกันเอง เมื่อครั้งที่เธอต้องถ่ายภาพยนตร์เรื่อง One Day (2011) แล้วรู้สึกไม่ไว้ใจต่อตัวผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เพราะเธอเป็นผู้หญิง เพราะเธอมักจะโฟกัสแต่จุดผิดพลาดของผู้กำกับผู้หญิง ต่างจากตอนทำงานร่วมกับผู้กับกำผู้ชาย ที่เธอจะโฟกัสแต่ความสำเร็จของอีกฝ่ายแทน
นี่ก็เป็นเพียงสองตัวอย่างจากวงการฮอลลีวูด ที่ฉายภาพให้เราเห็นถึงการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเองได้ค่อนข้างชัดเจน ทว่าอะไรคือสาเหตุแท้จริงของแนวคิดนี้ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการต้องมากีดกันและเข้าห่ำหันของบรรดาผู้หญิงด้วยกันเองนี้ ทั้งๆ ที่พวกเธอต่างก็เป็นผู้หญิงไม่ต่างกัน
เมื่อผู้หญิงเกลียดชังผู้หญิงด้วยกันเอง
สำหรับผู้หญิงหลายคน เวลาพบเจอกับผู้หญิงผู้มีความเป็นหญิงมากๆ หรือที่เรียกว่า hyper femininity ก็อาจมีความรู้สึกไม่ชอบใจหรือหมั่นไส้ฝ่ายตรงข้าม จนต้องแอบไปเหน็บแนมหรือเหยียดหยาม ส่วนหนึ่งก็เพื่อทำให้เห็นว่า ตนเองนั้นแตกต่างและไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบนี้ โดยมันถูกเรียกในภาพรวมว่า การกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง หรือ Internalized Misogyny
แม้ฟังดูแล้ว การแสดงออกในลักษณะดังกล่าว จะเป็นเหมือนความชอบหรือไม่ชอบส่วนบุคคลของผู้หญิงต่อผู้หญิงด้วยกันเอง ทว่าแท้จริงแล้ว มันกลับเป็นอคติทางเพศ ที่มีสาเหตุเบื้องหลังมากกว่านั้น โดย มารีแอน คูเปอร์ (Marianne Cooper) นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้นำเสนอเกี่ยวกับการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง ผ่านบทความ Why Women (Sometimes) Don’t help Other Women เอาไว้ว่า ผู้หญิงบางกลุ่มมีความต้องการสร้างในการสร้างความแตกต่างจากผู้หญิงด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงที่แสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงมากจนเกินไป
โดยการสร้างความแตกต่างของผู้หญิงเหล่านี้ ทำให้เกิดการดูถูกและเหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม เพื่อเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นเพศหญิงในตัวของอีกฝ่าย พร้อมกับเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ตนเอง จนทำให้ตัวเองนั้น ดูสูงส่งกว่าผู้หญิงเหล่านี้ พร้อมกับบอกเป็นนัยว่า พวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงในลักษณะดังกล่าวนั่นเอง
ทั้งนี้ การแสดงออกถึงการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง ยังโยงไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Queen Bee Syndrome’ โดยทฤษฎีดังกล่าวถูกคิดขึ้นโดยนักจิตวิทยาสังคมเมื่อประมาณปี 1970 ซึ่งหมายถึง ผู้หญิงผู้มีอำนาจ เลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงที่มีอำนาจน้อยกว่า ด้วยท่าทีรุนแรงหรือไม่เท่าเทียม
อันเป็นการแสดงออกให้เห็นว่า
ตนเองนั้นอยู่เหนือกว่าผู้หญิงทั่วไป
โดยหนึ่งในตัวอย่างที่สามารถแสดงภาพของปรากกฏการณ์ Queen Bee Syndrome ได้ชัดเจนที่สุด มาจากงานศึกเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งศึกษาถึงมุมมองของอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยต่อนักศึกษาปริญญาเอก พบว่า แม้จะมีประวัติการตีพิมพ์ผลงานและความมุ่งมั่นในการทำงานที่เท่าเทียมกัน แต่อาจารย์ผู้หญิง มักเชื่อว่านักศึกษาปริญญาเอกผู้หญิงมีความมุ่งมั่นในอาชีพการงานน้อยกว่านักศึกษาผู้ชาย
จากกรณีดังกล่าวได้ชี้ให้เรา เห็นถึงอคติทางเพศที่เกิดขึ้น แม้ว่า ทั้งสองเพศในตัวอย่างจะมีความสามารถเท่ากันก็ตาม ทว่าจุดแบ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติเช่นนี้คือ ‘เพศ’ อันแตกต่างกันของทั้งสอง โดย มารีแอน คูเปอร์ มองว่า อาชีพอาจารย์มหาลัย เป็นอาชีพที่กว่าจะไต่เต้าขึ้นมาได้นั้น ถือเป็นเรื่องยากพอสมควร โดยเฉพาะกับอาจารย์ผู้หญิง เมื่อมีผู้หญิงอายุน้อยกว่าขึ้นมาในระดับทัดเทียมหรือใกล้เคียง จึงอาจนำไปสู่ทัศคนติเชิงลบต่อผู้หญิงด้วยกันเอง
ซึ่งนอกจากกรณีดังกล่าวแล้วนั้น ในสังคมจริงๆ ยังปรากฏภาพของการแสดงออกต่อความเกลียดชังผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ อีกมากมาย อย่าง การโทษเหยื่อ (Victim Blaming) การบอกว่าตนเองไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นใน (Pick Me Girl) หรือแม้แต่ การเหยียดพฤติกรรมทางเพศของผู้หญิง (Slut-shaming)
การกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง จึงไม่ใช่แค่เรื่องของรสนิยมหรือความชอบส่วนบุคคลเท่านั้น แต่มันคืออคติทางเพศที่แฝงอยู่ในความคิดของผู้หญิงในสังคม ซึ่งถูกหล่อหลอมจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา และถูกใช้เป็นเหตุผลในการบอกว่า ‘ฉันแค่ไม่ชอบคนนั้น’ ทั้งที่ความไม่ชอบนี้ สามารถสร้างความเจ็บปวดและบาดแผลให้กับใครบางคนได้มากกว่าที่คิด
หรือนี้จะเป็นผลพวงของระบบชายเป็นใหญ่กันนะ?
ไม่ผิดนัก หากจะกล่าวว่า การดูถูกหรือเหยียดหยามความเป็นหญิงด้วยกันเอง อาจเกิดขึ้นมาจากการมองไม่เห็นคุณค่าของความเป็นหญิง จนทำให้ผู้หญิงหลายคนเลือกกดขี่ผู้หญิงด้วยกันเอง ซึ่งนี่คือผลพวงสำคัญของ ‘ระบบชายเป็นใหญ่’ ระบบที่เป็นเหมือนพิษภัยสำคัญ ที่กดทับสังคมด้วยกรอบเรื่องเพศ
แล้วผู้หญิงเกลียดกันเองจะเกี่ยวอะไรกับชายเป็นใหญ่? จูด ซาน อากุสติน (Jude San Agustin) จาก Mapúa University ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของระบบชายเป็นใหญ่กับการกีดกันของผู้หญิงด้วยกันเอง ผ่านปรากฏการณ์ “I’m not like other girls” พบว่า ระบบชายเป็นใหญ่นั้น ส่งผลต่อการปลูกฝังความคิดของผู้หญิง ด้วยการสร้างภาพจำของผู้หญิงในลักษณะต่างๆ ขึ้นมา เช่น ผู้หญิงต้องอ่อนแอ หรือผู้หญิงชอบดราม่า จนทำให้ผู้หญิงบางคนที่รู้สึกว่าตนไม่ใช่ผู้หญิงตามภาพจำนี้ แล้วลุกขึ้นมาต่อต้านและดูถูกผู้หญิงกลุ่มดังกล่าว
การพยายามแยกตัวเองออกมาของผู้หญิงหลายคน จึงพ่วงมาด้วยการลดทอนคุณค่าความเป็นหญิงด้วยกันเอง หรือแม้แต่การที่ผู้หญิงบางคนรู้สึกว่า ไม่สามารถเข้ากับบรรทัดฐานเหล่านี้ หรือถูกเปรียบเทียบกับค่านิยมนี้ พวกเธออาจรู้สึกด้อยค่าและเริ่มดูถูกผู้หญิงด้วยกันเอง กลายเป็นการกีดกันและเกลียดชังกันเองของผู้หญิงไม่จบสิ้น
เมื่อผู้หญิงไม่สนับสนุนกันและเริ่มทำร้ายกันเอง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการดำรงอยู่ของระบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือที่มองไม่เห็น ในการควบคุมและชักใยคนในสังคมให้ปฏิบัติตาม ผ่านการใช้อคติทางเพศมาเป็นมาตรฐานในการกำหนดว่า เพศไหนควรเป็นแบบไหน รวมถึงเพศไหนควรแสดงออกอย่างไร
ดังนั้นแล้ว ผู้หญิงจึงอาจไม่ใช่ผู้ผิดในสมการนี้ไปเสียทีเดียว ทว่าปัญหาชายเป็นใหญ่ต่างหาก ที่เป็นรากฐานของปัญหาอันแท้จริง จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของแนวคิดการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเองนี้ เพราะถ้าหากไม่มีระบบนี้ครอบงำสังคม เชื่อว่าแนวคิดการกีดกันและเกลียดชังกันเองของผู้หญิง ก็อาจไม่รุนแรงหรือไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ
และการเป็นหญิงในวงการฮอลลีวูด จึงอาจเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด
ด้วยระบบชายเป็นใหญ่ที่ครอบงำความคิดของผู้คนในสังคม แนวคิดการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง ถูกแฝงอยู่ในความคิดของผู้หญิงแทบทุกวงการ ซึ่งวงการบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง ฮอลลีวูด ก็ถือเป็นตัวอย่างสำหรับฉายให้เห็นถึงภาพของการกีดกันผู้หญิงด้วยกันเองได้ชัดเจนมากที่สุดวงการหนึ่งของโลก
ย้อนกลับไปที่สองกรณีตัวอย่างของนักแสดง ซึ่งได้ยกไปข้างต้นนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่า การกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง ถือเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ปรากฏอยู่ในวงการฮอลลีวูดจริง แถมมันยังนำไปสู่อคติทางเพศต่อผู้หญิง จนก่อให้เกิดปัญหาด้านอื่นๆ ตามมา เช่น กรณีของซิดนีย์ ที่เธอได้รับผลกระทบจากคำพูดของโปรดิวเซอร์คนดังกล่าว ด้วยการถูกโจมตีและบูลลี่รูปร่างหน้าตา ตลอดจนถูกคนในสังคมมองตัวของเธอในด้านลบ มากกว่าจะไปโฟกัสที่ผลงานการแสดงของเธอ
อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงภาพ ความยากลำบากของผู้หญิงในการก้าวเข้ามายืนอยู่ท่ามกลางวงการฮอลลีวูด ตลอดจนวงการบันเทิงอื่นๆ อันเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอคติและความไม่เท่าเทียมทางเพศ
โดยสามารถยืนยันได้จาก ข้อมูลการสำรวจของนิตยสาร Forbes ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลนักแสดงหญิง 10 อันดับแรก ที่ได้รับค่าตัวสูงสุดในปี 2018 ที่ผ่านมา พบว่า พวกเธอได้รับค่าตัวเพียง 30 เซ็นต์ต่อ 1 ดอลลาร์ที่นักแสดงชายได้รับ โดยรวมกันแล้วนักแสดงหญิง จะได้รับค่าตัวสูงสุด 186 ล้านดอลลาร์ นักแสดงชายที่ได้รับค่าตัวสูงสุดได้รับค่าตัว 748.5 ล้านดอลลาร์
ด้วยเหตุนี้เอง การเป็นผู้หญิงในวงการซึ่งเต็มไปด้วยอคติทางเพศมากมาย จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายพอสมควร เมื่อวันหนึ่งพวกเธอคิดจะก้าวขึ้นมามีบทบาทและโดดเด่น การถูกวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามต่อผู้หญิงเหล่านี้จึงเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากความเคยชินที่ผู้หญิงโดนกดทับบทบาทและความสามารถไว้ในวงการฮอลลีวูดนี้
นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ผู้หญิงจำเป็นต้องมีความพยายามหรือทุ่มเทมากกว่าผู้ชายในวงการบันเทิง เพื่อพิสูจน์และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพความสามารถของพวกเธอ ซึ่งมีเพดานที่เรียกว่า อคติทางเพศ ขวางกั้นไว้อยู่ ต่างกับผู้ชาย ที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความสามารถ แต่พวกเขาก็ได้รับโอกาสมากมายเข้ามา
ปรากฏกลายเป็นภาพของการพยายามไต่เต้าของผู้หญิงในวงการบันเทิง ซึ่งทั้งยากลำบากและท้าทาย จนทำให้ผู้หญิงผู้อยู่ในวงการมานานจนประสบความสำเร็จ ใช้เลนส์ของอคติในการมองผู้หญิงคนอื่นๆ ที่คิดว่าด้อยกว่าหรือความสามารถไม่เท่าตนเอง สอดคล้องไปกับแนวคิดของ มารีแอน คูเปอร์ ที่ได้อธิบายถึงการที่ผู้หญิงมีอำนาจหรือประสบการณ์มากกว่า จะกดขี่หรือแสดงออกถึงการดูถูกผู้หญิงที่มีอำนาจน้อยกว่านั่นเอง
นอกจากนี้ การกีดกันผู้หญิงด้วยกันเอง ยังสะท้อนถึงภาพของความคาดหวัง อันไม่เป็นธรรมที่ผู้หญิงในวงการบันเทิงจำเป็นต้องแบกรับ ไม่ว่าจะเป็นการถูกประเมินคุณค่าจากรูปลักษณ์มากกว่าความสามารถ หรือการถูกตัดสินจากมาตรฐานที่เข้มงวดของผู้หญิง ต่างจากผู้ชายที่มักได้รับการยอมรับได้ง่ายกว่า
ฮอลลีวูด จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ตอกย้ำถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศและการผลักให้ผู้หญิงต้องแข่งขันกันเองมากขึ้น เพราะกว่าผู้หญิงสักคนจะไปถึงจุดสูงสุดในวงการได้ ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายมหาศาล ด้วยเหตุนี้เองความสำเร็จของพวกเธอจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก กลายเป็นอคติทางเพศไม่ต่างอะไรจากกรณีของอาจารย์มหาวิทยาลัยก่อนหน้า
ถึงแม้ในปัจจุบัน เราจะเริ่มเห็นผู้หญิงมากมาย ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงๆ และมีบทบาทมากขึ้นในวงการฮอลลีวูด ทว่าพวกเธอก็ยังเผชิญกับการถูกตั้งคำถามต่อทักษะและความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงด้วยกันเอง ซึ่งอาจกลายเป็นวงจรที่ทำให้ผู้หญิงในวงการดังกล่าวไม่สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้อย่างแท้จริง อันเป็นผลพวงมาจากแนวคิดชายเป็นใหญ่ในสังคม
นอกจากวงการฮอลลีวูดแล้ว ในสังคมเรายังมีผู้หญิงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในการทำงาน ซึ่งมีสาเหตุมาจากอคติทางและความไม่เท่าเทียมทางเพศอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอคติที่มาจากตัวผู้หญิงด้วยกันเอง สู่ภาพของการหันมาทำร้ายกันเองของผู้หญิง แทนที่จะจับมือช่วยเหลือกัน เพราะสิ่งสำคัญที่สมควรถูกทำลาย ไม่ใช่ผู้หญิงด้วยกันเอง แต่เป็นระบบชายเป็นใหญ่ อันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างชิ้นใหญ่ ที่กำลังครอบงำความคิดของผู้คนอยู่ ณ เวลานี้
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าผู้หญิงไม่จับมือกันเอง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทลายระบบนี้ลงได้
อ้างอิงจาก