“มึง พวกกูกลับมาคืนดีกันละนะ”
“โฮ่ง โฮ่ง (ดีใจด้วยน้า)”
อีกแล้วสินะที่เพื่อนตัวดีกลับไปคบกับแฟนเก่า ทั้งที่วันก่อนมันยังโทรมาร้องห่มร้องไห้ให้ฟังตอนตี 2 พร้อมกับประกาศให้โลกรู้ว่าจะเลิกแล้วต่อกันแบบเด็ดขาด “มึง ครั้งนี้เลิกจริงๆ” ซึ่งครั้งนี้ที่ว่าก็คือครั้งที่ 32
ส่วนฉันน่ะเหรอ ขอตัวไปกินเพ็ดดิกรีแป๊บ โฮ่ง!
เชียร์แทบตาย สุดท้ายเพื่อนกลับไปคบแฟนเก่า
ในความสัมพันธ์ของใครสักคน เรามักจะเลือกข้างเป็นกลายๆ แล้วว่าจะอยู่ข้างใคร แน่นอนว่าก็ต้องเป็นคนที่เราสนิท ส่วนอีกข้าง (แฟนเพื่อน) ก็คงมีกองหนุนที่เป็นคนสนิทเช่นกัน ซึ่งในฐานะกองหนุนของเพื่อน เราก็ต้องมารับฟังเรื่องราวของสองคนนี้ ตั้งแต่จีบกัน คบกัน ทะเลาะกัน ยันเลิกกัน
ในทุกๆ การเลิกกัน
จึงมีการเลือกข้างเกิดขึ้น
ช่วงเวลาที่เราดูมีบทบาทในความสัมพันธ์ของพวกเขา ดูจะเป็นสองอันข้างหลังนั่นแหละ (ทะเลาะกันและเลิกกัน) เพราะเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนเหมือนจะต้องการความช่วยเหลือจากเรามากที่สุด ไม่ว่าจะทะเลาะอะไรกันมา เข้าใจผิดอะไรกันมา หรือตัดสินใจว่าจะเลิกหรือไม่เลิกดี ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เพื่อนเล่ามาแล้ว โห…มันช่างระยำตำบอน อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเชียร์ไปว่า “มึงเลิกๆ ไปเหอะ อย่าเสียเวลา มึงหาใหม่ได้ดีกว่านี้แน่”
และด้วยความเป็นเพื่อนที่หวังดี เราอยากให้เพื่อนตัดเนื้อร้ายทิ้งไวๆ ก่อนจะลามไปมากกว่านี้ ก็เลยเปิดเครื่องด่า ช่วยกันเสี้ยม “จริงมึง เขาไม่มีอะไรดีหรอก” พร้อมกับช่วยเพื่อนระลึกถึงเรื่องเลวๆ ของเขาอีก 31 เรื่องที่เพื่อนเคยโทรมาเล่าให้ฟัง และแล้วก็ได้ผล เพื่อนบอกว่า “โอเคมึง รอบนี้กูเลิกจริง”
แต่ผ่านมาไม่อีกกี่วัน ก็ดันมาเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ เมื่อเพื่อนเปิดตัวแฟนใหม่ แต่เอ๊ะ หน้าตาคุ้นๆ อ้าว นั่นมันแฟนเก่า เอ๊ะ แฟนปัจจุบันคือแฟนเก่า ไม่งงหรอก เพราะที่ต่างประเทศก็เรียกว่า ‘ex-now-boyfriend/girlfriend-again’ (แฟนเก่าที่ปัจจุบันเป็นแฟนกันอีกครั้ง) พอทักไปถาม ยัยเพื่อนตัวดีก็ตอบกลับมาว่า “จะว่าไปเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร ไม่ได้มีมลทินมัวหมองซะหน่อย” แล้วก็กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม ราวกับไม่เคยทะเลาะ หรือถูกถอดออกจากตำแหน่งแฟนเลยสักครั้ง
อ่าว ชิบหาย
ยังไงดี
ด่าเขาไว้ซะเยอะ
จุก หน้าชาเหมือนโดนน้ำแข็งถีบ แต่น้ำแข็งไม่มีขา แต่ก็ความรู้สึกคล้ายๆ กัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาเพื่อนกลับไปคบกับแฟนเก่าหรือแฟนที่ทำตัวแย่ๆ เราจึงได้โกรธนักโกรธหนา ราวกับว่าเป็นเรื่องของตัวเอง เพราะมันเป็นเรื่องของเราด้วยนั่นแหละ คนที่ตื่นตี 2-3 มารับโทรศัพท์ ปลอบมันตอนร้องไห้ก็คือเรา คนที่เปลืองค่าเหล้าค่าเบียร์พามันไปเมาบ่อยๆ ก็คือเรา ไหนจะเก็บอ้วก เช็ดตัว หรือเช็กชื่อให้เวลามันมาเรียนไม่ไหวอีก แล้วสุดท้าย เราต้องมานั่งกินข้าวกับคนที่ด่าเขาไว้เยอะเหรอเนี่ย ดีไม่ดี ฝ่ายนั้นรู้ว่าเราด่าอะไรไว้ แล้วบอกให้เพื่อนเลิกคบกับเราเลยก็มี สุดซวย ราศีที่จะกลายเป็นหมา ก็คือราศีฉันนี่แหละ
ไม่มีใครเป็นหมา ถ้าเราเข้าใจ
เวลาเพื่อนโทรมาฟูมฟายให้ฟัง จำได้ไหมว่าเขาเล่าอะไรออกมาบ้าง? มึง ไอ้นั่นมันพูดแบบนั้น อีนี่มันทำแบบนี้ มันทำได้ยังไง ทนไม่ไหวแล้วโว้ยยยย! เมื่อสารพัดสิ่งชั่วร้ายที่นาย หรือยัยคนนั้นทำได้หลุดออกมาจากปากเพื่อน ขณะนั้นเราก็ปะติดปะต่อเรื่องราวและเกิดอารมณ์โมโหทันที “กล้าดียังไงมาทำเพื่อนฉัน ห้ะ?” ในฐานะเพื่อนรักก็ต้องย่อมโกรธแทนเป็นธรรมดา เลยร่วมผสมโรงเข้าไปซะเยอะ ดีไม่ดีเผลอด่าแรงกว่าเจ้าภาพซะอีก
แต่การออกตัวแรงไป ทำให้เวลาโดนเบรกมักจะเจ็บหนัก ยิ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นว่าเพื่อนโพสต์รูปคู่ในไอจี หรือกลับมาขึ้นสถานะในเฟซบุ๊ก ข้างในก็คงอยากจะด่าเพื่อนมากกว่าแฟนเพื่อน “นี่มึงฟังกูบ้างปะเนี่ย?” แต่รู้มั้ยว่าอะไรที่ทำให้คนเรากลับไปคบกับแฟนเก่า มีนักจิตวิทยาศึกษาและให้เหตุผลว่า เรื่องบางเรื่องจะโรแมนติกมากขึ้นเมื่อมีระยะห่าง หรือใกล้จะสิ้นสุดลง บางทีเพื่อนคนนั้นอาจจะกลับมานั่งนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่มีกับแฟน และรู้สึกว่ามันช่างดีเหลือเกิน ดีจนไม่อยากเสียมันไป จึงกลับไปคบกันในที่สุด
แม้จะบอกว่ากลับไปอ่านหนังสือเล่มเดิมเป็นร้อยรอบ ตอนจบก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก แต่แทนที่จะไปเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ หรือเริ่มรู้จักใครใหม่ คนส่วนใหญ่มักจะกลับไปลงเอยกับความสัมพันธ์ครั้งเก่ามากกว่า เพราะเรายึดติดกับสิ่งที่คุ้นเคยและสบายใจกับสิ่งที่รู้จักอยู่แล้ว ไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติม ทำให้ไม่ว่าจะดีหรือแย่ การกลับไปใช้ชีวิตในรูปแบบเดิมๆ คือสิ่งที่สะดวกที่สุด จึงไม่แปลกเลยที่หลายๆ คนจะมูฟออนแบบจังหวะลีลาศ ก้าว 2 ถอย 3 ไปไม่ถึงไหนสักที
เมื่อเราก็รู้ๆ ผลลัพธ์กันอยู่แล้ว ในกรณีที่เรื่องนั้นไม่ร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย หรืออันตรายต่อชีวิต การรับฟังโดยไม่เอาตัวเองเข้าไปร่วมด้วยมากเกินไป จะช่วยให้เราไม่หงายเงิบในตอนจบ อย่าลืมว่าเราไม่ใช่คนที่ประสบเหตุการณ์นั้นโดยตรง เพราะฉะนั้นอาจมีเรื่องราวอีกมุมหนึ่งที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยสัมผัส และมันเป็นเรื่องราวที่มีพลังมากพอจะให้ดึงให้เขาสองคนกลับมาคบกัน เช่น ช่วงเวลาดีๆ ที่เขาเคยมีร่วมกันมา หรือช่วงเวลายากลำบากที่เขาช่วยกันให้ผ่านมาได้ ซึ่งเพื่อนตัวดีของเรายังจัดการกับความหลังเหล่านั้นไม่ได้แบบเสร็จสรรพ อาจจะต้องให้เวลาเขาสักพัก
การไปบอกให้ใครเลิกกับใคร
คงไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะการตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย
จะขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
ดังนั้น ให้ประสบการณ์และความเจ็บปวดของเขาเป็นตัวกำหนดว่าเรื่องราวจะสิ้นสุดลงตอนไหน โดยเรามีหน้าที่รับฟังและช่วยสะท้อนให้เขาตกผลึกกับความคิด อาจพูดให้เขากลับมาทบทวนคุณค่าของตัวเอง ถ้าเขารับรู้ได้ว่าตัวเองมีคุณค่ามากพอที่จะไม่เสียเวลาไปกับความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เขาจะเลือกเดินออกมา หรือทำให้เขามั่นใจว่า ถึงแม้ไม่มีคนคนนั้นแล้ว เขาจะยังมีเพื่อนอีกหลายคนคอยอยู่ข้างๆ นั่นก็อาจทำให้เขากล้าพอที่จะปล่อยความสัมพันธ์นั้นไปเช่นกัน เพราะหลายครั้งการที่คนเราไม่กล้าออกมาจากความสัมพันธ์ มาจากความไม่มั่นใจว่าจะอยู่ด้วยตัวเองได้นั่นแหละ
แถมเราไม่ต้องมาหน้าแตกในตอนจบด้วย! โฮ่ง!
เอาจริงๆ แล้วไม่มีใครเป็นหมาหรอก ถ้าสุดท้ายเราเข้าใจได้ว่าทุกคนล้วนเลือกชะตาชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งสิ่งที่คนข้างๆ อย่างเราพอทำได้ก็คือคอยรับฟังปัญหา ย้ำเตือนคุณค่าของเขา ให้กำลังใจ และคอยซัพพอร์ตในทางที่เขาเลือกเท่านั้นแหละ
อ้างอิงข้อมูลจาก