“แฟนใหม่ดูหน้าคุ้นๆ เหมือนคนที่คุณบอกว่าไม่มีอะไร ยังจำได้ดีว่าในตอนนั้นเธอบอกกับฉันว่าจงเชื่อใจ”
นี่อาจเป็นแค่เนื้อเพลงติดหูสักท่อนที่เราได้ยินอยู่บ่อยๆ หรืออาจเป็นเนื้อเพลงทิ่มแทงใจจนต้องฮึบเอาไว้ของใครสักคน เมื่อแฟนเก่าที่เลิกรากันไปเปิดตัวคนใหม่ เกือบจะลุกขึ้นยืนปรบมือยินดีกับเขาแล้วเชียว แต่เอ๊ะ คนข้างๆ เธอหน้าคุ้นๆ จะไม่คุ้นได้ยังไง ก็คนนี้ที่เราเคยหมายหัวไว้ตั้งแต่ตอนยังคบกัน ถึงความสัมพันธ์ของเขาและเธอว่ามีลับลมคมในอะไรไหม เธอก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มี เราน่ะคิดมากไปเอง สรุปเรื่องนี้ยังไงกันแน่
ไม่แปลกเลยหากเราจะเกิดความสงสัยในความสัมพันธ์แฟนใหม่หน้าคุ้น เพราะเราเองนี่แหละ ที่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของเขาและเธอมานานแล้ว หยอกกันไปมาแบบนี้ แค่สนิทกันเฉยๆ จริงหรอ ดูห่วงใยกันเป็นพิเศษ มีอะไรหรือเปล่านะ แต่คำตอบที่ได้กลายเป็นเราที่คิดมากไป แค่เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท พี่น้อง ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น เลยต้องพับข้อสงสัยเหล่านี้ไว้ในใจ เพราะรู้ว่าดันทุรังถามต่อไป อาจทำให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้ก็ได้
แต่พอถึงวันที่สองคนนั้นได้ลงเอยกันจริงๆ ในใจเรารู้สึกว่างเปล่า แต่ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่คาดการณ์เรื่องนี้ไว้ถูกต้อง ไปรักกันตอนไหนนะ ตั้งแต่ตอนคบกับเราหรือเปล่า สิ่งที่เคยสงสัยตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งทวีความสงสัยยิ่งขึ้นในวันนี้ ถ้าสองคนนั้นแอบมีใจให้กันตั้งแต่ยังคบกับเรา นั่นหมายความว่าเราโดนนอกใจน่ะสิ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นหลังจากเลิกกับเราไปล่ะ เราจะทำใจไม่โกรธได้หรือเปล่า
ในอีกมุมหนึ่ง เรื่องราวอาจไม่ได้เป็นรักซ้อนซ่อนเร้นขนาดนั้น เขาอาจไม่ได้โกหก แค่มูฟออนแล้ว และเพิ่งพัฒนาความสัมพันธ์หลังเลิกรากับเราไปก็ได้ หรืออาจเกิดความรู้สึกเล็กๆ ในใจ แค่รอเวลาที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กันได้แบบถูกต้องก็ได้เหมือนกัน เรื่องแบบนี้นอกจากคำพูดก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน แต่เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ นั่นคือ ในตอนนี้เรากับเขาเดินกันคนละเส้นทางแล้ว
เห็นเขามูฟออนยังไงก็เจ็บเสมอ
ดร.เจน เกรียร์ (Jane Greer) นักจิตบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งงานและครอบครัว กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อเราเห็นคนรักเก่าของเราเริ่มต้นใหม่ ในช่วงแรกเรามักอยู่ในความรู้สึกอ่อนไหว ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าเราตัดสินใจดีแค่ไหนนะ เราหุนหันพลันแล่นกับเรื่องนี้มากไปหรือเปล่า หรือเพราะตัวเราเองยังดีไม่พอ เรายังบกพร่องอะไรตรงไหนหรือเปล่านะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาจไม่เคยคิดมาก่อน นั่นเพราะเรารู้สึกว่ากำลังถูกแทนที่
ยิ่งการมูฟออนแบบชวนให้สงสัย ว่ารักของเขาและเธอเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ มันยิ่งค้างคาในใจเราอยู่อย่างนั้น เจนได้แนะนำว่า ให้ถือโอกาสนี้พิจารณาว่าเราพลาดอะไรไปในความสัมพันธ์ครั้งเก่า และพึงระลึกไว้เสมอว่า แม้เราจะเห็นเขาเปิดตัวกันหวานฉ่ำ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด ทั้งคู่เองก็อาจเจอปัญหาที่เราเคยเจอในความสัมพันธ์ครั้งเก่าเช่นกัน ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถไปต่อได้จนต้องเลิกกัน นั่นก็แปลว่าเราตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ความรู้สึกในช่วงที่เห็นเขามูฟออนนั้น เป็นความหวั่นไหว ความอิจฉา ความสงสัยในตัวเอง จากความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของเรา ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ อะไรๆ ก็ดีขึ้น
ไม่ได้หวงก้างแต่มันก็อดรู้สึกไม่ได้ เมื่อเห็นเขาเปิดตัวคนใหม่ (หน้าคุ้น) เราจะทำยังไงถึงจะข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้สักที
- ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนใหม่
ไม่ว่าเขาจะเหมือนกับเรามาก หรือแทบจะยืนฝั่งตรงข้าม ชนิดที่ไม่มีความเหมือนกันเลยสักนิด เราก็มักจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนใหม่ของเขาอยู่ดี ลองใจดีกับตัวเองให้มากขึ้น หยุดการเปรียบเทียบแล้วตกอยู่ในวังวนคำถามค้างคาในใจ จนเกิดความสงสัยในตัวเอง นั่นยิ่งทำให้เรามูฟออนไปจากเรื่องนี้ได้ยากขึ้น - รู้เท่าทันความรู้สึกตัวเอง
อย่างที่เจน เกรียร์บอกไปข้างต้น ตอนเลิกกันเราอาจไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อเขาเปิดตัวคนใหม่ มันมีความรู้สึกอื่นนอกจากความพลัดพลาก ความเสียใจ มันคือ การถูกแทนที่ เป็นปกติมากๆ หากเราตกอยู่ในสถานการณ์นี้แล้วจะรู้สึกอ่อนไหว คิดมาก(กว่าเดิม) ไปจนถึงไม่เป็นตัวเอง เราเลยต้องเริ่มจาก ตระหนักรู้ในความรู้สึกของเรา ว่าช่วงนี้มันคือช่วงที่เราอ่อนไหว เราอาจตั้งคำถามมากมายกับเรื่องของเขา แต่สุดท้าย ความว้าวุ่นในใจนี้มันจะผ่านไป มันเป็นเพียงแค่ช่วงหนึ่งที่เราไม่ทันตั้งตัวเท่านั้นเอง - ยอมรับว่าเรื่องมันจบไปแล้ว
พูดง่ายแต่ทำยาก เราเข้าใจ แต่การเฝ้าถามหาคำตอบจากเรื่องราวที่จบลงไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราไม่รู้เลยว่าต่อให้เราได้คำตอบมาแล้วจริงๆ มันจะทำให้เราสบายใจขึ้นจริงหรือเปล่า หรือจะแย่ลงและจมอยู่กับความคิดเดิมซ้ำๆ ไม่ว่าเราจะทางออกให้เรื่องที่จบไปอีกกี่ทางก็ตาม ในตอนนี้เรื่องของเราและเขาไม่อาจมาบรรจบกันได้แล้ว คนที่ปล่อยวางเรื่องราวทั้งหมดไว้ข้างหลังได้ก่อนจะเป็นคนที่ได้เดินหน้าต่อ หากเราอยากเป็นคนนั้น ค่อยๆ ปล่อยตัวเองจากเรื่องราวและความสงสัยทั้งหมดนั้น เก็บมันลงลิ้นชัก เพื่อไปเริ่มเรื่องราวใหม่จะดีกว่า
ไม่ว่าคำตอบของเรื่องนี้จะเป็นยังไง สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับในวันนี้คือ เขาเดินไปไกลแล้ว คำตอบของเรื่องนี้อาจเป็นเหมือนกล่องแพนโดร่า ที่ไม่ว่าจะเปิดมาเป็นคำตอบแบบไหน เราก็คงต้องเจ็บปวดกับมันทั้งนั้น ปิดกล่องนี้ไปพร้อมกับคำถามและคำตอบที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไร
แม้จะไม่ยินดีกับเรื่องของเขา แต่จงยินดีกับหนทางใหม่ของเราที่รออยู่ข้างหน้า เมื่อเราปล่อยวางจากเรื่องแสนวุ่นวายนี้ได้สักที
อ้างอิงจาก