ความกลัวเมียเป็นเรื่องของมวลมนุษย์ชาติหรือไม่!?
…
เหย มันก็ไม่ขนาดน้าน แค่เกรงใจ มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยๆ กันเนอะ โดยเฉพาะเรื่องการใช้แรงแบบชายชาตรี เช่น การถูพื้น บิดผ้าให้แห้งก่อนตาก ใช้กล้ามแขนกำยำขยี้ผ้าให้ขาวผ่อง ล้างขัดเช็ดจานให้สะอาดเงาวับ
ไม่ได้กลัวเนอะ แค่เกรงใจ ในความสัมพันธ์มันก็ต้องช่วยๆ กันไป คนละไม้คนละมือ
แต่เรามีความลับมาบอกเหล่าพ่อบ้านใจกล้า ว่าพวกนายทำถูกแล้ว ลูกผู้ชายมันต้องเป็นเสือซ่อนเล็บ
การเมืองเรื่องงานบ้าน
เอาตามจริง เรื่องกลัวเมียที่เอามาล้อผู้ชาย ที่มันตลกได้ คือด้วยธรรมชาติของเรื่องตลกคือมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นเนอะ แปลว่าลึกๆ แล้ว มาตราฐานของสังคมมันก็ยังโยงอยู่กับสถานะและบทบาทของชายหญิงในครอบครัว คือจริงๆ แล้วผู้ชายเรามีความเชื่อว่าเป็นช้างเท้าหน้า เป็นผู้นำครอบครัว และผู้หญิงเป็นเพศที่สงบเสงี่ยม เป็นผู้ตาม
ทีนี้การแบ่งแยกบทบาทในครอบครัวมันก็สัมพันธ์กับการทำงานด้วย ก่อนนี้มีการกำหนดบทบาทว่าผู้ชายรับหน้าที่ออกไปนอกบ้าน เป็นคนไปหารายได้เข้าบ้าน ส่วนผู้หญิงก็จงมีหน้าที่อยู่กับบ้าน ทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกหลานและรับภาระในสิ่งที่เรียกว่างานบ้านไป
ฟังดูเป็นอุดมคติดีนี่ พ่อก็ออกไปทำงาน แม่ก็อยู่บ้านดูแลบ้านไป
แต่เดี๋ยวก่อน เอาแค่นิยามของงานที่มันถูกโยงเข้ากับทั้งสองเพศก็มีความหมายแตกต่างกันแล้ว การทำงานแบบ work ลักษณะสำคัญคือมันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ คือทำแล้วได้เงินมา แถมยังได้ความเจริญก้าวหน้า ความภูมิใจ ในขณะที่งานบ้านเราเรียกมันว่า Chores ซึ่งใช้เรียกงานที่มันซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย
แถมยังมีคำกล่าวที่ว่างานบ้านเป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จ ฟังแล้วก็เห็นด้วยว่าเออ งานบ้านมันไม่จบจริงๆ เท่านั้นยังไม่พอมันยังมีการบอกว่าไอ้งานบ้านเนี่ยมันไม่ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอีก สาวๆ ในยุคนั้นเลยบอกว่าเฮ้ย ไม่แฟร์ป่าววะ คือถ้าผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้าน ไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ งานบ้านก็ไม่ก่อให้เกิดรายได้ แบบนี้ผู้หญิงก็ต้องพึ่งการสามีไปตลอดดิ ดังนั้นเลยมีการออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมในแง่ของการทำงานให้ผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้านได้ พอผู้หญิงมีอิสรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น การไม่มีผัวเลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าเมื่อก่อน เพราะไม่อดตาย เลี้ยงตัวเองได้
ครอบครัวสมัยใหม่เลยมาถึงจุดที่ใครๆ ก็ทำงานนอกบ้าน การแบ่งงานกันทำแบบว่าผู้หญิงทำงานในบ้าน ผู้ชายทำงานนอกบ้านแบบแยกเด็ดขาดมันเลยไม่ค่อยมีแล้ว รวมไปถึงเส้นแบ่งของเพศที่มันเคยมีมันก็เลือนๆ ไปหมด ไอ้ความรู้สึกแบบที่ว่าเฮ้ยนี่งานผู้ชายหรือนี่งานผู้หญิงมันเลยเป็นความคิดที่ออกจะล้าสมัยไปนิดนึง เพราะเดี๋ยวนี้ผู้หญิงที่ซ่อมรถ จับแมงมุม ตัดหญ้า หรือผู้ชายที่ชอบทำความสะอาด ทำอาหาร มันก็ไม่ใช่ว่าจะแปลก สิ่งสำคัญคือการที่ครอบครัวหรือความสัมพันธ์ที่ช่วยๆ กันทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ต่างหากที่สำคัญ ไม่ใช่การบอกว่าฉันควรทำนี่ เธอควรทำนี่
กำเนิดพ่อบ้านใจกล้า เราไม่ได้หงอ เราแค่รอผงาด!
เอาล่ะหนุ่มๆ เหล่ากวางน้อย เหล่าเสือที่มีถังน้ำและม็อบเป็นอาวุธฟังทางนี้ พวกนายทำถูกแล้วที่ใช้พลังของพวกนายไปกับการปัดกวาด เพราะงานวิจัยบอกว่าหนุ่มๆ ที่ช่วยงานบ้านนั้นทำให้บรรยากาศการใช้ชีวิตคู่เวรี่ดี และราชสีห์หนุ่มทั้งหลายเหล่านี้มีเซ็กส์มากกว่าพวกที่ไม่ช่วยงานบ้าน!
เป็นไงล่ะ แผนของไอ้เสือทั้งหลาย ไม่ธรรมดา เพราะชายชาตรีของเรามีแรงมาก เราก็ใช้แรงของเราไปกับการทำงานบ้าน แถมยังมีแรงเหลือไปทำการบ้านไปอีก สุดยอด!
งานวิจัยของ Scott Coltrane บอกว่านี่ไง ผู้ชายที่ช่วยงานบ้านนะ มันจะทำให้คู่รักของเรามีความสุขมากขึ้น เครียดน้อยลง ปัญหาในบ้านก็น้อยลง อัตตราการหย่าร้างก็เลยต่ำกว่า แถมยังมีงานศึกษาของ Constance T. Gager และ Scott T. Yabiku ที่บอกว่าคู่รักที่ช่วยกันทำงานบ้านในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน มีเซ็กส์ได้บ่อยกว่า ดังนั้นการที่จะสร้างความโรแมนติกภายในบ้านอาจจะไม่ใช่แค่ช่อดอกไม้ แต่เป็นการซักผ้าล้างถัง ก็แลดูเซ็กซี่ดีไม่น้อย
เอาเป็นว่า สังคมมันเปลี่ยนไปแล้วเนอะ ไม่เห็นต้องแคร์ว่าเพศไหนต้องทำบทบาทอะไร หน้าที่สำคัญคือการประคับประคองความสัมพันธ์ให้มันไปข้างหน้า ช่วยอะไรได้ก็ช่วย ความหมายของความเป็นชายในยุคที่ไม่ได้เข้าป่าล่าสัตว์อาจจะหมายถึงการใช้กำลังเช็ดถูบ้าน ความเป็นสุภาพบุรุษอาจจะอยู่ที่การทำให้คนที่เรารักมีความสุข ความเซ็กซี่ของกล้ามเนื้ออาจจะเด่นชัดขึ้นเมื่อปกคลุมด้วยฟองแฟ้บ
แถมงานวิจัยยังบอกอีกว่า พอเราทำงานบ้านเยอะขึ้นการบ้านก็ได้ทำบ่อยขึ้นตาม
เอ้า เหล่าราชสีห์หนุ่มทั้งหลาย ถ้าใครบอกว่าเรากลัวเมีย จงยิ้มหึๆ ใส่
เพราะเรามีแผนที่ลึกล้ำกว่านั้น
หึ หึ