ลองหลับตา แล้วนึกถึงบรรยากาศของชายหาดและท้องทะเล
นึกถึงไอร้อนๆ สายลมเย็นๆ ที่พัดเข้าปะทะหน้า สัมผัสหยาบๆ ของทรายที่ปลายเท้า เสียงคลื่นและกลิ่นไอของน้ำเกลือที่ปะทะกับผิวเนื้อของเรา
หลังเปิดประเทศแบบนี้ หลายคนคงกำลังนอนสบายใจหรือยืนอยู่ริมชายหาด บ้างก็อาจจะกำลังคิดถึงบรรยากาศนั้นอยู่
‘ทะเล’ เป็นที่ๆ หัวใจของเราใฝ่หา เป็นพื้นที่พิเศษสำหรับการพักผ่อนและการเยียวยา ไม่ว่าจะเยียวยาจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของชีวิตประจำวัน หรือหลายครั้งทะเลก็เป็นที่ๆ เราใช้หลบหนีเพื่อเอาหัวใจที่บุบสลายไปให้ไอเค็มๆ และเสียงคลื่นที่ไม่รู้จบช่วยเยียวยาบาดแผล
ว่ากันว่าน้ำเค็มทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา หยาดเหงื่อ น้ำทะเล ต่างเป็นสสารพิเศษจากธรรมชาติที่ช่วยรักษาบาดแผลทั้งหลายของมนุษย์เราได้ ทั้งบาดแผลภายนอก บาดแผลในความรู้สึก หรือบาดแผลในจิตวิญญาณของเราก็ตาม
จินตนาการของหาดทรายกับวงจรที่ไม่รู้จบ
ท้องทะเลและชายหาดที่เราไปยืนมองเป็นพื้นที่ที่ถ้าลองใคร่ครวญจริงๆ แล้ว เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ส่งผลต่อความรู้สึกของเราอย่างลึกซึ้ง
ชายหาด คือพื้นที่ที่ภูมิประเทศสามรูปแบบมาบรรจบกัน ทั้งผืนทราย ท้องน้ำ และแผ่นฟ้ามาบรรจบกัน
ในสายตาของเรามันคือสามสิ่งทางธรรมชาติที่แสนยิ่งใหญ่ มันทำให้เรารู้สึกว่า มนุษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น สิ่งปลูกสร้างหรือวัตถุทั้งหลายของมนุษย์ มันช่างกระจิดกระจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ อยู่ตรงหน้า การที่ผืนทรายถูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซักพาเม็ดทรายหายลงทะเลไป ก่อนที่คลื่นเกลียวต่อไปจะสาดพาเอาเม็ดทรายใหม่ๆ ขึ้นมา ในบรรยากาศนั้นเอง มันก็เหมือนกับว่าเราได้เป็นประจักษ์พยานของวงจรของธรรมชาติในการลบเลือนและเยียวยารักษาตัวมันเอง วนเวียนไปอย่างไม่รู้จบ
ทั้งความเล็กกระจ้อยร่อยของเราที่เราตระหนักถึง และวงจรของร่องรอยที่สุดท้ายหาดทรายย่อมเยียวยาตัวมันเอง
การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และเป็นนิรันดร์นี้ อาจทำให้เรารับรู้ถึงธรรมชาติ ที่ว่าในที่สุดแล้ว บาดแผลและร่อยหมายทั้งหลายย่อมได้รับการเยียวยา ดุจดั่งหาดทรายที่คืนกลับสู่สภาพเดิมภายในเวลาไม่นาน
ไอเกลือในสายลมกับผลของการเยียวยา
“All of us have in our veins the exact same percentage of salt in our blood that exists in the ocean, and, therefore, we have salt in our blood, in our sweat, in our tears. We are tied to the ocean. And when we go back to the sea — whether it is to sail or to watch it — we are going back from whence we came.”
– President John F. Kennedy
ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี บอกว่า เราต่างมีสัดส่วนของเกลือในสายเลือดเท่าๆ กับปริมาณเกลือในท้องทะเล เรามีเกลือในเลือด ในเหงื่อและน้ำตา ดังนั้นเราจึงเชื่อมโยงผูกพันกับท้องทะเล และเราต่างต้องกลับไปสู่ทะเล ไม่ว่าจะเพื่อล่องเรือออกไป หรือยืนมองท้องน้ำเฉยๆ เพราะเรากำลังกลับไปสู่ที่ท้องทะเล ที่ๆ เราเกิดและจากมา
ท้องทะเลจึงผูกพันกับเราทั้งระดับร่างกายและจิตวิญญาณ บรรยากาศสบายๆ สายลม และเสียงคลื่นย่อมส่งผลดีในการปัดเป่าความเครียดในตัวของเราออกไป
ในทางวิทยาศาสตร์ มีการศึกษามากมายว่าผืนน้ำ โดยเฉพาะท้องทะเลมีอิทธิพลในแง่บวกต่อร่างกายและจิตใจมนุษย์ Mathew White เผยแพร่ผลการศึกษาในปี 2013 ว่าการอาศัยใกล้ท้องทะเลนั้นส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนอกจากงานดังกล่าวก็ยังมีงานศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันพลังของท้องทะเลในการฟื้นฟูส่งเสริมสภาพจิตใจของมนุษย์อีกหลายชิ้น
นอกจากบรรยากาศแล้ว อากาศและสายลมบริเวณท้องทะเลยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่ส่งผลในการลดความเครียดของร่างกายได้ เกลือที่ปะปนอยู่ในไออากาศช่วยรักษาระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียดในสมอง เช่น tryptamine, serotonin และ melatonin ทำให้เพิ่มความรู้สึกถึงชีวิตว่ามันดีขึ้นได้ในภาพรวม นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าเสียงคลื่นส่งผลต่อคลื่นสมอง ช่วยปรับให้สมองของเราผ่อนคลายมากขึ้นด้วย
การไปทะเลที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ถ้าเราได้ลองหยุดแล้วทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งในตัวธรรมชาติเอง และผลของภาวะแวดล้อมที่ส่งผลต่อเรา ต่อไปเมื่อเรายืนอยู่บนผืนทรายหยาบๆ และทอดตาไปสู่ผืนฟ้าและแผ่นน้ำอันเวิ้งว้าง เราอาจไม่ได้มองเห็นทะเลด้วยสาตาที่สามัญอีกต่อไป แต่เราอาจเห็นพลังอำนาจของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่ส่งผลกับตัวเราในพื้นที่นั้น
เราในฐานะมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
Cover Illustration by Manaporn Srisudthayanon