“มากครับ ใครหลายๆ คน ที่ออกมาแล้วอยากจะกลับตัว อยากจะยืนในสังคม ทำงานสุจริต ไม่อยากจะหวนกลับไปในเรื่องราวเลวร้ายที่เคยผ่านมา แต่มันไม่มีโอกาสไง บางคนเขาเห็นภายนอกพวกเรา เขาเดินหนีแล้ว เขาไม่ให้โอกาสอะไรแล้ว”
คนตัวลายคือคำที่คนภายนอกและภายในเรือนจำมักใช้นิยาม อดีตผู้ต้องขังที่มีรอยสักทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายเป็นเสื้อที่คลุมอยู่อีกชั้นก่อนถึงผิวด้านใน ในแง่หนึ่ง รอยสักรูปแบบนี้ก็สะท้อนค่านิม ความเป็นพวกพ้อง แฟชั่นความหลงใหล และความเชื่อของคนกลุ่มนี้จริง ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ในมุมกลับมันก็กลายเป็น ‘สัญญาณเตือน’ สำหรับคนบางกลุ่มของคนสังคมว่า ต้องระวังคนพวกนี้ไว้ให้ดี เพราะพวกเขาคืออดีตนักโทษ คือผู้ต้องขัง และคือคนไม่ดีที่ไม่มีวันกลับตัวได้
ชายคนหนึ่งที่ The MATTER ติดต่อพูดคุย โค้ก – อนุสรณ์ ทับเทศ ผู้เคยต้องโทษอาชญากรรมคดียาเสพติดร่วม 15 ปี ร่วงหล่นเข้าไปในเรือนจำมืดมิดที่แทบไม่มีแสงสว่าง แต่ทุกวันนี้ เขามีครอบครัวที่อบอุ่น เป็นลูกผู้ชายที่รับผิดชอบชีวิตของหญิงสาวในบ้านอีกสามคน และเปิดแชนแนลยูทูปที่มีคนตามกว่า 500,000 แอคเคาท์ในชื่อ ‘กาลครั้งหนึ่ง by โค้ก ซีโร่’ เพื่อหวังเปิดพื้นที่ให้ผู้ก้าวพลาดได้มีที่ยืนและที่พูดในสังคมบ้าง
ความเลวมันฝังในเลือดเนื้อและกระดูกจริงหรือ? ความผิดของคนๆ หนึ่งเกิดขึ้นจากดีเอนเอชั่วในร่างกาย ดวงดาวโจร บาปกรรมในปางก่อน หรือมันเกิดจากสภาพแวดล้อม ความยากจน อารมณ์ชั่ววูบ หรืออะไรต่อมิอะไรอีกมากมายในชีวิต ที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งพลั้งพลาดและร่วงหล่นสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
สังคมไทยจะเป็นตาข่ายที่รองรับผู้ร่วงหล่น หรือจะเป็นค้อนแห่ง ‘ความดี’ ที่ตอกย้ำความผิดพลาดให้สิ้นซาก นี่คืออีกหนึ่งคำถามสำคัญของสังคมไทย ในวันที่นักโทษล้นเรือนจำและอัตรากระทำความผิดซ้ำทะยานแทบจะหนึ่งในสิบของทั้งหมดที่ออกมา
(1)
พล็อตชีวิต
พล็อตเรื่องคล้ายเดิมของหลายผู้เคยก้าวพลาดในประเทศนี้…
โค้กเกิดในครอบครัวฐานะยากจนในหัวหิน พ่อของเขาเป็นพนักงานราชการในกระทรวงเกษตร ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน เมื่อโตขึ้นเขาเข้ามาเรียนระดับอนุบาลในจังหวัดเพชรบุรี ก่อนย้ายตามพ่อที่เข้ามาขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ มาอาศัยอยู่ในบ้านเช่าในย่านสลัมแออัดแถววัดท่าพระ ฝั่งธน
“แถวที่เราโตมา (ชุมชนวัดท่าพระ) มันชุมชนแออัด ตื่นเช้ามาก็เอาแล้ว มันเจอแต่ภาพเดิมๆ ทุกวันคือ ยาเสพติด”
เขาเล่าว่าเริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกตอนสมัย ป.6 ด้วยสาเหตุเหมือนเด็กที่ย่างเข้าสู่วัยรุ่นทั่วไปคือ “ตามเพื่อน” เขาย้อนความหลังแล้วก็ขำ ตอนนั้นเขาอยากดูเท่จึงฝึกพ่นควันบุหรี่ออกทางจมูก ถึงแม้สุดท้ายจะสำลักควันบ้าง แต่สำหรับเด็กอายุ 12 ปี ที่เติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่กล่อมเกลาให้กร้านโลก มันเป็นความสำเร็จที่เพียงพอทำให้เขาอิ่มใจ
และเป็นเช่นพล็อตเดิมอีกครั้ง เมื่อย่างเข้าสู่มัธยมศึกษาปีที่ 2 เขาก็เริ่มทดลองยาเสพติดตัวอื่นๆ จนถูกครูจับได้และโรงเรียนสั่งพักการเรียน และนั่นเองที่ทำให้ชีวิตเขาหักเห เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียนกลางคัน และหันเข้าสู่วงจรยาเสพติดเต็มตัว
“ออกจากโรงเรียนปุ๊บ ก็ใช้ชีวิตเต็มระบบกับวงจรยาเสพติด ด้วยความที่เป็นเด็ก ตอนนั้นก็ไม่กลัวตำรวจหรอกจะขายหรือเสพ ก็โดนจับบ่อย จนสุดท้ายตอนอายุ 16 ปี ก็ถูกส่งเข้าสถานพินิจครั้งแรกที่บ้านเมตตา”
เขาเล่าถึงสถานพินิจครั้งแรกว่าเหมือนฝันร้าย เขาคิดถึงโลกภายนอกใจจะขาด แต่สุดท้ายเมื่อเริ่มรู้จักเพื่อนๆ ที่ติดอยู่ร่วมกันข้างใน ฝันร้ายก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความคึกคะนอง ขยายเครือข่ายเพื่อนพ้อง โค้ก ซีโร่ติดสถานพินิจทั้งหมด 4 ครั้ง ก่อนที่จะมาถูกจับเข้าเรือนจำครั้งแรกในคดียาเสพติดเช่นเดิม
(2)
โรงเรียนลูกผู้ชาย?
ครั้งแรก เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจล่อซื้อยาเสพติด ศาลตัดสินโทษ 9 เดือน ครั้งที่สอง เขาถูกผู้หญิงที่สนิทหลอก ศาลตัดสินโทษเขา 4 ปี 12 เดือน และครั้งที่สาม เขาก็ถูกจับคดียาเสพติดอีกเช่นเดิม ศาลตัดสินโทษเขา 8 ปี
“พอเราเข้าไปอยู่ในวังวนพวกนี้ มันยากนะที่จะเลิกได้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาหรือคิดได้เองจริงๆ ซึ่งมันก็ยากนะตอนอายุเท่านั้น”
ก้าวแรกที่ โค้ก ซีโร่ เดินเข้าสู่เรือนจำ เขาไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว เกรงกลัว หรือกังวลใดๆ ซึ่งเขายกเครดิตแก่ระบบยุติธรรมที่เคยพาเขาเข้าสู่สถานพินิจมาแล้วหลายครั้ง ทำให้เขาพอรู้ว่าระบบข้างในเรือนจำจะเป็นยังไง ควรวางตัวอย่างไร และต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ผ่านวันคืนไปได้
แต่แค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ ไม่ใช่ทางเลือกของชายที่ชื่อ โค้ก ซีโร่ สำหรับเขามุมหนึ่งเรือนจำคือโรงเรียนลูกผู้ชาย สอนให้แกร่งกล้า ยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็คือโรงเรียนสอนโจร ให้รู้จักวิธีเอาตัวรอดและขยายเครือข่ายคอนเนคชั่นธุรกิจมืดให้ขยายใหญ่ขึ้น
“หลังจากที่เคยจับงาน (แสลงของการขายยาเสพติด) เล็กๆ แค่ถุงสิบ ถุงยี่สิบห้า ถุงห้าสิบ พอเราเข้าไปเนี่ย มันก็เจอผู้ใหญ่ที่เขาทําระดับแบบว่าเครือข่ายใหญ่ จากถุงเป็นมัด จากมัดเป็นคอก แล้วก็เจอแท่นเลย (แท่นผลิตยาเสพติด) มันก็เป็นอะไรที่แบบว่า โอ้โห ไปใหญ่เลย”
ยิ่งอยู่นานยิ่งถลำลึก 9 เดือนผ่านไป โค้กชำระความผิดทั้งหมดกับรัฐไทย เดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในโลกข้างนอกอีกครั้ง แต่การกลับตัวน่ะหรอ? ไม่มีอยู่ในหัวของโค้กคนนั้นที่ยังหนุ่มห้าว อยู่ใต้สภาพแวดล้อมเดิม ที่ยาเสพติดหาง่ายไม่ต่างจากน้ำเปล่า และได้เรียนวิชาใหม่ๆ จากเพื่อพ้องน้องพี่ในเรือนจำ
“พอออกมาครั้งแรก เราก็ยังไปอยู่ที่ชุมชนเดิม เพราะว่าพ่อแม่เราอยู่ตรงนั้น บวกกับอายุเรายังอยู่ในช่วงที่ห้าวด้วย..
.. ตอนนั้นเราไม่มีคำตอบว่าถ้าเลิกใช้แล้วมันแล้วจะได้อะไร ถ้าไม่ยุ่งกับมันแล้วจะมีอะไรดีขึ้น มันไม่มีคําตอบให้เลย เราก็เลยเลือกที่จะอยู่ตรงนั้น”
“ตอนนั้นเราคิดจะเอาข้อผิดพลาดรอบแรก มาระวังในรอบนี้ สมมุติ รอบแรกโดนล่อซื้อ รอบนี้ก็มั่นใจว่าเจอกูยากแน่ แต่สุดท้ายมันก็มีข้อผิดพลาดใหม่เข้ามาอีกอย่างรอบแรกโดนสายล่อซื้อ รอบนี้เราไปโดนผู้หญิงใกล้ตัวจี้ มันมันข้อผิดพลาดใหม่ๆ เข้ามาตลอด ซึ่งกว่าเราจะทำอะไรได้ก็ไปอยู่ข้างในแล้ว มันไม่ทันแล้วไง”
แล้วรอบที่สอง รอบที่สามล่ะ เคยคิดจะเลิกขายยาบ้างไหม? เราถามเขาต่อ
“ไม่มีเลยเหมือนกันทุกรอบ สมมุติรอบบนี้ออกมาแล้ว ก็ตั้งเป้าล่ะ ออกมารอบนี้จะต้องรวยให้ได้ รอบที่แล้วกูมีมอไซค์ รอบหน้ากูต้องได้รถใหญ่ พอตั้งเป้าแล้วเราก็อยากออกมาแล้วทำให้ได้ล่ะ กลายเป็นเหมือนเกมที่เราเล่นไปเรื่อยๆ เก็บเคลียมิชชั่นที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ”
กระทั่งครั้งสุดท้ายที่เขามีเรื่องชกต่อยในเรือนจำและถูกลงโทษขึ้นซอย ที่เขาเปรียบว่ามันคือบทลงโทษที่ไม่ต่างจาก “นรกบนดิน” หรือการขังเดี่ยวในห้องเล็กแคบ ไม่มีเพื่อนผู้ต้องขัง ไม่ให้ญาติมาเยี่ยม ปล่อยให้จมไปกับเสียงในหัว ความมืด และความเงียบ
“ขึ้นซอยนี่ก็เหมือนนรกบนดิน เหมือนเราตายแล้วตกนรก ซอยนี่คือกักบริเวณให้อยู่แค่ตรงนั้น ห้ามส่ง ห้ามเยี่ยม ห้ามทุกสิ่งทุกอย่าง ได้แต่นั่งอยู่คนเดียว สำหรับผมมันมากกว่าคุกคือซอยนี่แหละ มันเป็นอะไรที่มันสุดยอดแล้ว”
สำหรับโค้ก ซีโร่แล้ว ไม้แข็งเช่นนี้กลับได้ผลชะงัดกับเขานัก เพราะมันทำให้เขาทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองทำมาตลอด เปรียบคล้ายภาพในอดีตถูกคัทชนคล้ายหนังสยองของเมืองนอก
“ด้วยความที่เราอิ่มตัว ผ่านชีวิตวัยรุ่นมาแล้ว พอเราถูกพาไปขังซอย มันยิ่งทำให้เราคิดได้ เหมือนภาพเก่าย้อนมาเรื่อยๆ ว่า เฮ้ย! ที่ผ่านมากูทําแบบนี้มันได้อะไร? แล้วสุดท้ายกูผิดพลาดมาเนี่ย กูควรแก้ไขอะไรหรือทำยังไง?”
(3)
แด่ความรักและกำลังใจ
ครั้งสุดท้ายที่ โค้ก ซีโร่ ออกมาจากเรือนจำเขามีอายุ 31 ปี ไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่มีงานประจำ หลงทางในชีวิต เขาเคยรับจ็อบระยะสั้นมาหลายอาชีพ พนักงานปั๊ม คนโบกรถ กระทั่งเด็กล้างรถ เขาก็เคยทำมาแล้ว ความตีบตันในเส้นทางเกือบพาเขากลับไปจุดเดิมที่หลุดพ้นมา ถ้าหากเขาไม่เจอหญิงสาวคนหนึ่งที่เปลี่ยชีวิตเขาไปตลอดกาล
“เราเจอเขาครั้งแรกในเฟซบุ๊ก ติดต่อพูดคุยกันแล้วก็รู้สึกว่าถูกชะตา ตัวเรามันก็เป็นคนพูดตรงๆ เราก็บอกเขาก่อนเลยว่า “เราเพิ่งออกมาจากคุกนะ เราไม่มีงานทํา เราไม่มีอนาคตน่ะ” เขาตอบกลับมาว่า “แล้วทําไมอ่ะ คนเรามันจะดีไม่ได้หรอ คนเราจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอ” เนี้ยแหละประโยคเดียว ทําให้ผมรู้ว่าต้องสานต่อกับผู้หญิงคนนี้ให้ได้”
โค้ก ซีโร่ละทิ้งความคิดจะหวนกลับไปบนเส้นทางเดิม ก่อนมาจับธุรกิจเสื้อผ้ากับ ‘ตาว’ แฟนสาวในวันนั้น ที่เป็นภรรยาของเขาในวันนี้ จากรายได้วันละ 900 บาท เติบโตขึ้นสู่หลักหมื่นและหลักแสน กระทั่งต่อยอดเปิดธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง และร้านอาหารในเวลาต่อมา
มองย้อนกลับไป สำหรับโค้ก ซีโร่ สิ่งสำคัญที่ทำให้เขามีทุกวันนี้ บ้านสองหลัง รถยนต์และมอเตอร์ไซค์อย่างละหนึ่งคัน และครอบครัวแสนอุ่นที่ประกอบด้วย ตัวเขา, แฟนสาว และลูกสาววัยกำลังน่ารักอีกสองคนคือ ความรัก คำปรึกษา และกำลังใจจากผู้หญิงที่ยืนข้างเขาในวันนี้
ถ้าวันนั้น ไม่มีความรักคิดว่าทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรต่อ? เราถามเขาพร้อมมองลงไปในแววตา
“อาจถึงขนาดเข้าไปใหม่อีกรอบก็ได้นะ ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่คิดจะทำอะไรคือทำเลย บทจะแบบว่าประชดตัวเองก็ทำเลย และอย่างที่ผมบอก บางคนออกมาแล้ว ชีวิตมันดีมาเรื่อยๆ ดีมาเป็นปีๆ พอเจอปัญหามรสุมชีวิตที่เข้ามาในหัวสมอง มันทําให้เราหักเหได้เลยนะ ถ้าไม่มีคนคอยลากไว้”
“เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าผู้หญิงคนนี้ เขาทําให้มีทุกวันนี้ ต้องยกให้เขาดีกว่า ตัวเรามันแค่ส่วนหนึ่ง เพราะว่าจิตใจเราทุกคนบางทีมันก็มีจังหวะไม่ไหว ไม่เอาแล้วเหมือนกัน”
เขายิ้มอย่างเขินๆ แล้วชายตาไปที่มุมห้องที่ก่อนหน้านี้เธอนั่งฟังอยู่ แต่ไม่พบ.. เพราะเธอลุกไปอาบน้ำแล้ว หลังจากพูดคุยกันมาร่วมหนึ่งชั่วโมง
(4)
เสียงพูดจากคนตัวลาย
ก่อนจะมาเป็นแชนแนลยูทูปที่ชื่อ “กาลครั้งหนึ่ง by โค้ก ซีโร่” ที่ชวนอดีตผู้ต้องขังที่พ้นโทษมาร่วมสนทนาถึงเรื่องราวในอดีต ทุกอย่างมันเริ่มจากวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้ร้านอาหารของเขาเจ๊ง และทำให้เขาเริ่มหาช่องทางในการหาเงินใหม่ ซึ่งสิ่งแรกที่เขาจับคือ ‘กุนเชียงปลา’ มาขายผ่านการไลฟ์สดในเฟซบุ๊กตัวเอง แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น เพราะในช่วงแรกไม่มีใครสนใจกุนเชียงปลาที่เขาขายเลย กระทั่งมีคอมเมนท์หนึ่งขณะที่เขาไลฟ์ ถามเขาถึงเรื่องในวัยหนุ่มครั้งที่ยังโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรสีเทา เขาถึงเริ่มค่อยๆ เล่าเรื่องราวในวันวานอย่างสนุกปาก และทำให้ยอดขายกุนเชียงเพิ่มขึ้นทีละน้อย
แต่มันก็ไม่ง่ายดายแบบนั้น ท่ามกลางความชอบอกชอบใจของชาวเน็ตบางกลุ่ม ก็มีบางส่วนเช่นกันที่วนมา พร้อมถ้อยคำดูแคลนว่า “ขี้คุก” ให้แก่เขา
รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำนี้? เราแทรกถามขึ้นขณะเขาเล่า เขาทำหน้าจริงจังก่อนตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ
“มันเจ็บน่ะ เรามายืนอยู่ในสังคมภายนอกแล้ว เรากลับตัวแล้ว ทำงานสุจริตแล้ว แล้ววันหนึ่งก็มีคนมาเรียกเราว่า “ไอขี้ขี้คุก” มันทำร้ายกำลังใจเรานะ”
การเป็นคนที่มีรอยสักเต็มไปหมด (ตัวลาย) มันส่งผลมากไหม? เราต้องถามต่อ เพราะรอยสักกับคนคุกคือภาพจำที่สังคมไทยเชื่อมไว้ด้วยกัน และโค๊กก็เป็นคนหนึงที่มีรอยสักตั้งแต่คอจรดปลายขาเช่นกัน
“มากครับ ใครหลายๆ คน ที่ออกมาแล้วอยากจะกลับตัว อยากจะยืนในสังคม ทำงานสุจริต ไม่อยากจะหวนกลับไปในเรื่องราวเลวร้ายที่เคยผ่านมา แต่มันไม่มีโอกาสไง บางคนเขาเห็นภายนอกพวกเรา เขาเดินหนีแล้ว เขาไม่ให้โอกาสอะไรแล้ว”
ความแค้นจากถ้อยคำเหยียดหยามผสมกับคำแนะนำของแฟนสาว ทำให้โค้กตัดสินใจเริ่มทำแชนแนลยูทูป “การครั้งหนึ่ง by โค้ก ซีโร่” ชวนอดีตผู้ต้องขังมานั่งคุยยาวๆ ถึงเรื่องราวในอดีต ซึ่งเขาตั้งใจให้มันเป็นอุทธาหรณ์สำหรับหลายๆ คนที่ยัง
“ผมอยากจะให้สังคมข้างนอกยอมรับพวกผม คนที่กลับตัวกลับใจแล้ว ผมก็เลยอยากจะทําตรงนี้ ให้พวกเขา (คนตัวลาย/ อดีตผู้ต้องขัง) มีพื้นที่พูด มีจุดยืนในสังคมบ้าง ให้สังคมรู้ว่าถึงเราตัวลาย เราผ่านอะไรเหี้ยและเลวมามาก แต่เราก็กลับตัวได้นะ มาทำงานสุจริตกันได้นะ เรามาเปิดร้านอาหาร เป็นลูกจ้างประจํา มาทํางานบริษัท เป็นคนขับรถได้นะ”
จนถึงวันนี้ ผ่านร้อนหนาวแดดฝนและคำปรามานับแสนคำ ยอด Subscibe ในแชนแนล กาลครั้งหนึ่ง by โค้ก ซีโร่ ก็มาถึงมากกว่า 500,000 รายแล้ว ซึ่งโค้กยังยืนยันว่าจะทำต่อไป และพัฒนามาตรฐานการสัมภาษณ์ตัวเองให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้ มีใครเป็นไอดอลในการสัมภาษณ์ไหม? เราถามในฐานะที่มองเขาเป็นนักสัมภาษณ์เช่นกัน เขาหัวเราะก่อนตอบว่า พี่หนุ่ม – กรรชัย กำเนิดพลอย
“ชอบพี่หนุ่มเพราะเขาฉะฉานและเจาะลึก เวลาเขาเข้าเรื่องหรือจุดที่โฟกัส “เฮ้ย! มันเป็นอย่างงั้นเลยหรอ ไหนลองลองเอาภาพมาดูสิ” คือเขาจี้มาก ถ้าใครโกหกในรายการเขาคือจบ ทุกวันนี้ ผมก็พยายามดูพี่หนุ่มให้มาก ใครมาอยู่ในรายการผม ต้องคิดหนักเลยนะ เพราะถ้าพูดมากว้างกว้าง ผมจะบีบให้แคบ แล้วก็บีบให้ละเอียด คือจะมากระโดดข้ามไปข้ามมาไม่ได้ (หัวเราะ)”
(5)
จดหมายถึงราชทัณฑ์
ก่อนจากกัน ผมถามคำถามสุดท้ายว่า เขามีอะไรอยากฝากถึงกรมราชทัณฑ์ไหม? เขาอุทานขึ้น และบอกว่านี่คือคำถามที่รอคอยจะตอบตั้งแต่ผมส่งลิสต์คำถามให้เขา
ลำดับแรก เขาชื่นชมถึงระบบเรือนจำ “ซูเปอร์แม็กซ์” หรือเรือนจำความปลอดภัยขั้นสูง ซึ่งเขายืนยันจากคำบอกเล่าของแขกที่มาร่วมรายการของเขาว่า “พวกเกเรที่ติดกันเป็นสิบรอบ พูดตรงกันเลยคือ ไม่เอาแล้ว” โค้กเสริมต่อว่า วิธีนี้ได้ผลกว่าการทำร้ายร่างกายนักโทษ เช่น การลงโทษด้วยการใช้ไม้ตีกว่ามาก “ทะเลาะกันหรอ ขังเดี่ยวเลย ขังอย่างเดียว”
ลำดับที่สอง คุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง เขาเล่าว่าทุกวันนี้เรือนจำมีกฎระเบียบเข้มงวดมาก แม้กระทั่งยาพื้นฐานอย่างยาแก้ปวดก็ไม่สามารถให้นักโทษพกติดตัวได้ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางเรือนพยาบาล โดยถ้าหากผู้คุมจับได้ว่าพกโดยไม่มีใบอนุญาต อาจโดยลงโทษได้
“เราเข้าใจนะว่ากังวลว่าจะเอาพาราไปกินเป็นยาเมา แต่อาจจะออกกฎให้คนหนึ่งพกพาราได้ 4 เม็ดโดยไม่ต้องมีใบพกพา ถ้าเกินจะทําโทษหรืออะไรก็ว่าไป แต่ไม่ต้องบีบมากขนาดนี้”
และลำดับที่สาม กำลังใจของผู้ต้องขัง
“ความสุขของคนติดคุก มันมีไม่กี่อย่างหรอก ไม่ได้พูดคุยกับญาติหรือคนรัก ก็จดหมายนั่นแหละ ซึ่งผมอยากจะให้ลดความเข้มงวดตรงนี้ จากจดหมายได้รับเดือนละครั้งหรือบางทีไม่ได้รับเลย ก็เพิ่มขึ้นมาหน่อย เขาจะได้รู้สึกว่ามีคนรอเขาอยู่ จะได้มีกำลังใจที่จะเปลี่ยนตัวเอง อย่าไปเข้มงวดมากเกินเลยในเรื่องนิดหน่อยๆ”
ขณะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปกดปิดเครื่องอัดเสียง โค้ก ซีโร่ ก็พูดขึ้นมาอีกประโยคที่เพิ่งนึกได้
“อีกเรื่องก็อาหารการกิน พวกขนมของหวาน อย่าไปเคร่งนักเลย บางคนออกมางี้ผอมกะหร่อง (หัวเราะ)”