หากจับปากกายืนหน้ากระดาน ‘ออจวง’ ในฐานะคุณครูพิเศษมากประสบการณ์ อาจไม่ต้องใช้เวลาเสี้ยววินาทีแนะนำตัวเสียด้วยซ้ำไป แต่ในวันที่ได้เปิดไมค์เผชิญหน้าตรารัฐธรรมนูญ กลางโถงใหญ่ จึงจำต้องเริ่มต้นด้วยประโยคว่า “ดิฉัน ปารมี ไวจงเจริญ ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล”
20 นาที ของ ‘คนธรรมดา’ ที่ร่ายจุดอ่อนการปฏิรูปการศึกษาไทย ในวันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ดูจะสะดุดหูหลายคนที่เกาะติดหน้าจอ เพราะไม่เพียงบ่งบอกถึงการเตรียมการบ้านอย่างหนัก แต่ยังสะท้อนประสบการณ์ในแวดวงวิชาการกว่า 30 ปีของเธอ
จึงไม่น่าแปลกที่อีกหนึ่ง ‘ตัวจริง’ สายการศึกษาคนนี้ จะถูกคาดหวังให้เป็นดาวสภาอีกคนในสมัยประชุมนี้ เพราะปัญหาด้านการศึกษายังคงรอการแก้ไขอีกนับไม่ถ้วน
และในจังหวะที่เป็นใจ แต่อาจไม่ใช่โอกาสดีของประชาชน The MATTER เดินทางไปพูดคุยกับ ครูจวง—ปารมี ไวจงเจริญ ณ สัปปายะสภาสถาน หลังเธอรอเจ้ากระทรวงเก้อจนอดตั้งกระทู้ถามในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ถึงทิศทางที่จะผลักดันแก้ปัญหาโครงสร้างการศึกษา รวมถึงทำความรู้จักตัวตนของเธอให้มากขึ้น
ในบทบาทของ สส. สมัยแรกเป็นอย่างไรบ้าง
ผิดหวังตั้งแต่วันแถลงนโยบาย นโยบายที่นายกฯ เศรษฐาแถลงวันนั้น (12 กันยายน) กว้างมาก กว้างดั่งมหาสมุทร แล้วพอวันที่ 14 กันยายนที่รัฐมนตรี (พ.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ) แถลงเฉพาะนโยบายของกระทรวงศึกษาฯ ก็ยังกว้างอยู่ หลายเรื่องที่ดิฉันเสนอแนะและถามไปในสภาฯ คุณเพิ่มพูนก็ยังไม่ตอบ
ดิฉันพูดตลอดมาว่าโครงสร้างกระทรวง โอ้โห้ มันใช้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว ทำให้การศึกษาไปต่อไม่ได้ ใหญ่โตเทอะทะเกินไปต้องปฏิรูปได้แล้ว แต่คุณเพิ่มพูนก็ยังไม่ได้พูด ประเด็นหลักสูตรพูดนิดเดียว (เสียงสูง) แตะแค่วรรคเดียว และก็ไม่เคลียร์ให้ชัดว่าจะใช้หลักการอะไรในการจะสร้างหลักสูตรใหม่ ทั้ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติและหลักสูตรโบราณทั้งคู่ ต้องเปลี่ยนได้แล้ว
ก่อนจะไปจัดเต็มเรื่องการศึกษา หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่า สส.ปารมี ว่าเป็นใครมาจากไหน
ดิฉันเป็นครูนอกระบบคนหนึ่ง เป็นครูพิเศษในโรงเรียนมัธยมฯ และก็เป็นติวเตอร์ด้วย ถึงแม้จะไม่ได้เป็นครูในระบบ ไม่ได้สอบบรรจุประจำในโรงเรียนใด แต่ความเป็นครูก็อยู่ในตัวอยู่แล้วเพราะเรียนจบครุศาสตร์ สาขาวิชาการสอนสังคมศึกษา และเป็นครูสอนสังคมมาตั้งแต่เรียนจบ
อาจจะโชคดีที่ค้นหาตัวเองได้เร็วว่าชอบอะไร ได้เรียน และได้ทำงานในสิ่งนั้นมาทั้งชีวิต ด้วยการเป็นครูพิเศษสอนสังคมมาตลอดชีวิต กว่า 30 ปี มีความสุขดี และดิฉันก็รักการเป็นครู การมาเป็น สส. นี่พลิกชีวิตครั้งใหญ่นะ ทุกวันนี้ยังคิดถึงการสอน บางทีกลางคืนยังฝันว่าได้สอนหนังสืออยู่เลย
สมัยที่เรียนจบใหม่ๆ ปี 2537 คนไม่ได้นิยมเป็นครูเท่าปัจจุบัน แต่หลังจากมีการปฏิรูปการศึกษาระยะแรกราวปี 2542 ทำให้เด็กรุ่นใหม่อยากเป็นครูมากขึ้น ดูได้จากคะแนนสอบเข้ามหา’ลัย คณะครุศาสตร์สูงขึ้นเลย สัมพันธ์กับตอนนั้นมีการเปลี่ยนไปใช้หลักสูตรครู 5 ปีด้วย คนที่เรียนเก่งๆ ถึงหันมาเรียนมากขึ้น
เหตุผลหนึ่งที่ไม่เป็นที่นิยมก็เพราะรายได้น้อย สอบบรรจุข้าราชการครูได้เงินเดือนราว 5,000 บาท ใช่ว่าค่าครองชีพอาจไม่ได้สูงเท่าตอนนี้แต่ก็ยังถือว่าน้อย
จะบอกว่า ที่ไม่สอบเป็นข้าราชการเป็นเพราะเรื่องรายได้อย่างนั้นหรือ
เรื่องเงินเดือนน้อยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ดิฉันไม่สอบบรรจุเป็นข้าราชการครู เพราะเป็นอาจารย์พิเศษแน่นอนว่ารายได้ดีกว่า และมีความคล่องตัวมากกว่า แถมเรายังได้ทำงานวิชาการจริงๆ ไม่ต้องไปทำงานผักชีโรยหน้าบ้าๆ บอๆ จากผู้บริหาร เราไม่ต้องรับผิดชอบตรงนั้นนี่เป็นข้อดี
และส่วนตัวดิฉันยังมีประเด็นเรื่อง LGBTQ+ ด้วย ในปี 2538 จะแต่งหญิงไปสอบบรรจุครูไม่ได้ (เสียงสูง) มันมืดมน การยอมรับต่อ LGBTQ+ ในวันที่ดิฉันเพิ่งเรียนจบเทียบกับ ณ วันนี้ คนละเรื่องเลย
ดิฉันชัดเจนว่าเป็นทรานส์เจนเดอร์ ต้องการเป็นผู้หญิง ดิฉันไม่เคยแต่งตัวเป็นผู้ชายเลย สมัยเรียนมีแต่งบ้าง เพราะว่าคณะครุศาสตร์มีความอนุรักษนิยมสูง เมื่อเทียบกับคณะอื่นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ดิฉันเรียนตอนนั้น จำได้เลยแต่งเป็นผู้ชายครั้งสุดท้ายในชีวิต คือวันรับปริญญา
ใครที่มีชีวิตผ่านยุคนั้นมาจะรู้เลยว่าคนละเรื่องเลยนะ เลยตัดสินใจเป็นครูพิเศษ เพราะการเป็นครูไม่ได้จำเป็นต้องบรรจุเสมอไป
ทั้งที่ออกปากว่ารักการเป็นครู แล้วไหงถึงได้พักงานสอนเสียล่ะ
เรื่องการเมืองดิฉันชอบอยู่แล้ว อยู่กับมันมาทั้งชีวิต เพราะต้องสอนวิชาการเมืองการปกครอง วิชาประวัติศาสตร์ให้นักเรียน เราสนใจการเมืองแต่ละยุคแต่ละสมัย ไล่เรียงมาตั้งแต่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายกฯ คนแรกพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ไล่มากบฏกี่ครั้งสอนมาทั้งชีวิต
ถ้าจะมาสนใจมากๆ ก็รุ่นความขัดแย้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงนั่นแหละ ตั้งแต่ปี 2548 เอ่ยชื่อได้นิดนึงละเนอะมันเป็นประวัติศาสตร์ (หัวเราะ) คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ตอนนั้นสร้างม็อบเสื้อเหลืองขึ้นมาสู้กับทักษิณ
สำหรับคนที่สนใจและรู้ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเป็นอย่างดี จะรู้เลยว่ามี hidden agenda (วาระซ่อนเร้น) ตั้งแต่วันเริ่มแรกดิฉันอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด เป็นเสื้อแดงเก่าอันนี้เปิดเผยได้เลย ดิฉันเลือกพรรคไทยรักไทย จนมาเป็นพลังประชาชน และเพื่อไทย อาจจะเรียกว่าเลือกคุณทักษิณมาตลอด
อย่างนั้นทำไมไม่เลือกทำงานกับพรรคเพื่อไทย
ย้อนไปความขัดแย้งที่มี 2 ขั้วให้เลือก ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมกับฝ่ายประชาธิปไตย ตัวแทนพรรคการเมืองฝ่ายเสื้อแดงหรือฝ่ายประชาธิปไตยก็มีแค่พรรคไทยรักไทย ที่มาเป็นพลังประชาชน และมาเป็นเพื่อไทยทุกวันนี้
แต่พอมาถึงปี 2562 เริ่มมีพรรคการเมืองที่เสนอตัวเพิ่มขึ้นมาในทางฝั่งประชาธิปไตย คือ พรรคอนาคตใหม่ ที่ตอนนั้นทำกิจกรรมทางการเมือง ดิฉันเริ่มสนใจแล้วแต่ยังมองห่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ เพราะว่าพรรคอนาคตใหม่เริ่มสร้างขึ้นหลังม็อบ กปปส. สลายตัวไปแล้ว และถ้าพูดตรงๆ ตอนพรรคก่อตั้งก็มีม็อบนกหวีด ม็อบ กปปส. หลายคนอยู่ในพรรค เรารู้กันอยู่
มาถึงทุกวันนี้ก็ยังมีเสื้อแดงหลายคนที่บอกว่า พรรคอนาคตใหม่หรือก้าวไกลปัจจุบันมีม็อบนกหวีดแปลงร่างมา มันก็จริง ดิฉันก็ถึงมองห่างๆ เพื่อรอดูอุดมกาณ์ให้ชัดเจน เพราะตัวดิฉันเองอุดมกาณ์ประชาธิปไตยสำคัญมาก จนเห็นชัดแล้วว่าพรรคอนาคตใหม่มีอุดมการณ์ที่ตรงและชัดเจนในความเป็นประชาธิปไตย ถึงได้สมัครเริ่มต้นเป็นสมาชิกพรรคแบบรายปีก่อน ไม่นานพรรคก็โดนยุบ ตอนนั้นยังไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรเลย พอเปลี่ยนเป็นพรรคก้าวไกลก็มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค
กระทั่งราว 1 ปีก่อนที่ ครม.ชุดก่อนจะหมดวาระ แล้วพรรคต้องเริ่มต้นกระบวนการสรรหาว่าที่ สส. เข้ามาร่วมงาน เขาเปิดทางเว็บไซต์ดิฉันก็สมัครเข้ามา ไม่รู้จักใครเลยในพรรคก้าวไกล ทำตามกระบวนการสมัครเป็นขั้นๆ ทุกอย่าง
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยสนุกๆ อย่างที่ ครูจวงไล่เรียงมา ทำไมถึงไม่ค่อยได้ฟังในห้องเรียนกัน
ต้องให้ความเป็นธรรมนิดนึง จริงๆ ที่หลายคนมักจะบอกว่าครูสอนสังคม ครูสอนประวัติศาสตร์นั้นสอนแต่เรื่องอนุรักษนิยม อาจจะจริงส่วนหนึ่ง แต่หลายสิบปีมานี้มีคนรุ่นใหม่ที่มีแรงและเข้าใจ เขาก็สอนประวัติศาสตร์หลายๆ ด้านมากขึ้น
จริงที่ครูสอนประวัติศาสตร์หัวเก่า หัวโบราณยังมีอยู่ แต่รุ่นใหม่ๆ และพร้อมจะสอนวิชานี้ให้เป็นประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง ที่สอนทุกมุมมีเยอะขึ้นๆ อยากให้สังคมทำความเข้าใจตรงนี้ด้วย ยกตัวอย่างแบบเรียนวิชาสังคมศึกษา ที่คนมองว่ามีปัญหายัดเยียดแนวคิดอนุรักษนิยม และอวยฝั่งหนึ่งไปเยอะ ด้วยที่ดิฉันสอนสังคมแล้วต้องอ่านแบบเรียนทุกสำนักพิมพ์ พบว่ายังมีการอวยบ้าง แต่ลดลงไปเยอะ
และเมื่อถึงหน้างานจริง ครูสังคมรุ่นใหม่ๆ เขาเลือกสอน ทั้งในระดับประถมฯ และมัธยมฯ ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่เหมือนหลายสิบปีก่อน มันมีพัฒนาการเหมือนกันแต่ค่อยๆ จะหักปุ๊บไม่อวย ไม่สอนประวัติศาสตร์ฝั่งหนึ่ง ไม่ได้ เพราะประวัติศาสตร์ที่แท้จริงต้องเรียนทุกแนวคิด ทั้งประวัติศาสตร์กระแสหลัก และประวัติศาสตร์กระแสรอง
ในเมื่อครูไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ แล้วหลักสูตรล่ะเดินตามกันมาทันไหม
โอ้ย พูดละยาว เรื่องหลักสูตรมันแข็งทื่อมาก เก่าแก่เกินไป ครูหลายคนเขารู้กันทั้งนั้นแหละ อย่างวิธีวัดและประเมินผลนักเรียนมีหลายวิธีมาก แต่หลักสูตรเนี่ยแหละยังโบราณ ยกตัวอย่างเลยกลุ่มสาระสังคมศึกษา มี 5 สาระย่อย คือ ศาสนา หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ มันเยอะเกิน
ประเด็นหนึ่งที่จะพูดแต่ละครั้งก็ต้องใครครวญมากๆ เพราะไม่อยากทัวร์ลงเยอะ คือศาสนา การเรียนการสอนศาสนาในไทยมีปัญหามาก ทั้งเนื้อหาและตัวชี้วัดที่ค่อนข้างเยอะ ย่อยลงไปอีกก็พุทธศาสนานี่แหละ
ดิฉันไม่ได้จะทะเลาะกับพระสงฆ์นะคะ หลวงพ่อหลวงพี่อย่าทัวร์ลงดิฉันนะคะ (หัวเราะ) เราพูดถึงสีส้มทรงพลังดิฉันก็ต้องนมัสการพระภิกษุสงฆ์ หลวงพ่อหลวงพี่หลวงน้าหลวงอาทั่วประเทศมาคุยกันดีกว่า มันต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ การเรียนการสอนพระพุทธศาสนาในแบบเดิมอาจจะไม่สอดคล้องกับคนรุ่นใหม่แล้ว
เป็นไปโดยธรรมชาติอะไรก็ตามที่เราต้องการยัดให้ นักเรียนจะยิ่งเบื่อและเกลียด ทำไมนักเรียนถึงเกลียดวิชาสังคม ทำไมถึงเกลียดวิชาพระพุทธศาสนา ก็เพราะยัดเยอะเกินไป ครูก็เบื่อ นี่แง่เนื้อหานะ พอมาการวัดผลก็อีกเรื่อง อย่างวิชาสังคมแทนที่เราจะตัดเกรด 4 3 2 1 เปลี่ยนมาเป็นพอใจกับไม่พอใจ หรือผ่านกับไม่ผ่านก็น่าจะพอแล้ว
มาถึงตอนนี้คุณยังไม่ได้พูดถึง ‘หนี้สินครู’ เลย หรือมีปัญหาอื่นที่ต้องเร่งแก้ไขด่วนมากกว่า
นโยบายที่คุณเพิ่มพูนพูดขึงขังเลยว่าจะเข้ามาแก้หนี้สินครู ดิฉันไม่ได้เห็นแย้งในหลักการว่าครูมีหนี้สิน แต่ที่พูดไปถึงว่าให้ครูปรับวิถีชีวิตทัวร์ลงไปแล้วก็รับกันไป เพราะนโยบายที่พูดยังไม่แก้ไขถึงแก่น ไม่ถึงโครงสร้าง พอเราไม่แตะแก่นแท้ปัญหา แก้ไม่สำเร็จแน่น่อน เหมือนรักษาโรค คุณรักษาไปตามอาการไม่แก้ต้นต่อไม่ได้
สิ่งที่สำคัญมากไปถามครูโดยส่วนใหญ่เลย ว่าถ้าให้ลิสต์ Top3 ครูไทยอยากให้รัฐมนตรีแก้ปัญหาอะไร เรื่องหนี้สินครูจะอยู่ท้าย อันดับหนึ่ง คือภาระงานที่หนักของครูนี่แหละ แถมงานที่หนักไม่ใช่งานสอน แต่เป็นงานไร้สาระ งานผักชีโรยหน้า ทั้งงานธุรการ งานเอกสาร งานประเมิน และโครงการต่างๆ
คุณลองไปเปิดเว็บไซต์ ศธ. ดูเลย โครงการเยอะมา และเป็นโครงการที่ไม่เกี่ยวกับการสอน อันนี้เอาออกไปได้เกินครึ่ง มันรกชีวิตครู เอะอะเกิดอะไรขึ้นมาในสังคม กระทรวงต่างๆ จะโยนไปที่โรงเรียน เช่น พรุ่งนี้เกิดมีข่าวอาชญากรเมายาบ้าแล้วฆ่าคนตาย ทั้งสาธารณสุข ทั้งมหาดไทยมาเลยโครงการโรงเรียนปลอดยาบ้า โครงการที่มีแล้วอย่างโรงเรียนสีขาวก็เพิ่มกิจกรรมย่อยเข้าไปอีก พวกนี้เป็นความเจ็บปวดทั้งของครูและนักเรียน
ณ วันนี้ที่ได้เป็น สส. แล้วตั้งใจจะเริ่มผลักดันอะไรมากที่สุด
ถ้าเป็นฝั่งครู แน่นอนต้องคืนครูสู่ห้องเรียน งานเอกสาร งานประเมินกระดาษเอาออกไป โครงการที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนเอาออกไป ให้ครูได้อยู่กับนักเรียนและการสอนจริงๆ อีกเรื่องที่ดิฉันพูดอยู่เรื่อยคือเรื่องนอนเวร หลายคนที่เขาหวังดีกับการศึกษาไทยก็บอก เลิกสักทีเถอะเรื่องนอนเวร
ส่วนฝั่งนักเรียน คือเรื่องอำนาจนิยม จริงๆ ไม่ควรต้องพูดอีกแล้วก็ยังต้องพูดประเทศไทย ทั้งที่ไปค้นกฎกระทรวง รวมถึงระเบียบคุรุสภา ที่รับผิดชอบเรื่องเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพถ้าเกิดมีกรณีครูใช้ความรุนแรง กฎหมายมีหมดแต่ทำจริงยังไม่ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้เส้นสายเล่นพรรคเล่นพวกทั้งนั้น
ย้อนไปวันอภิปรายนโยบาย คุณพูดว่า “คำว่า ‘อำนาจนิยมในโรงเรียนต้องหมดไป’ ไม่อยู่ในการแถลง” ไปครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมต้องมีและสำคัญอย่างไร
ล่าสุด 14 กันยายนที่ผ่านมา ท่านรัฐมนตรีเข้ากระทรวงก็ไม่มี ทั้งที่เป็นความเจ็บปวดใหญ่ของนักเรียน แถมกรณีอำนาจนิยมในโรงเรียนมันมีความเลื่อมล้ำซ้อนกันอยู่ อย่างประสบการณ์ของการเป็นอาจารย์พิเศษในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นโรงเรียนของชนชั้นกลางขึ้นไปปัญหาเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมี
แต่การใช้อำนาจนิยมเกิดขึ้นกับโรงเรียนรอบนอก โรงเรียนที่เด็กค่อนข้างยากจน เป็นชาวบ้านทั่วๆ ไปเรื่องพวกนี้มีสูงมาก แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเป็นความเหลื่อมล้ำซ้อนเหลื่อมล้ำ มันเกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นด้วย
ถ้าเป็นลูกหลานชนชั้นกลางครูจะไม่กล้าใช้อำนาจนิยมมากแต่พอเป็นลูกหลานตาสีตาสา ครูจะกล้าใช้อำนาจมืดในใจมากขึ้น
ครูบางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าใช้ความรุนแรงแบบไม่รู้ตัวอยู่จริงไหม
ประเด็นนี้ชัดเจนมาก ดิฉันว่าชุดความคิดของครูบางคนยังคิดอย่างนั้น ดิฉันก็ประสบมาเยอะ เช่นทักว่า ‘เอ๊ะ ไว้ผมทรงนี้ไม่เห็นจะดีเลยนะไปตัดเสีย’ ซึ่งนักเรียนเขามองอีกมุมหนึ่ง วันนี้เขามองว่ามันเป็นเสรีภาพบนร่างกายเขา
ครูที่เตือนก็อาจจะคิดว่าตักเตือนด้วยความหวังดี หนูไม่น่าจะทำอย่างนี้นะ โดยที่ไม่ได้รู้ว่านั่นอาจเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของนักเรียนคนนั้นไปแล้ว ต้องยอมรับว่าบางคนไม่เข้าใจมุมมองสมัยใหม่ ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิและเสรีภาพสมัยใหม่อย่างดีพอ จริงๆ ประเด็นนี้หน่วยราชการก็อบรมกันพอสมควรนะ ไม่ใช่แค่กระทรวงศึกษาธิการ แต่ยังไม่ค่อยตระหนัก
เชื่อว่าครูส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยตีกันแล้วแหละ เหลือน้อยมากแต่ขอตวาดหน่อย ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ถูกนะเพราะมันเป็นการใช้ความรุนแรงทางวาจา บางคนบอกว่าเราตวาดด้วยความหวังดี พอผ่านไปก็โอ๋เหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง ซึ่งไม่ถูกต้อง อารมณ์ ณ ตอนนั้นทำนักเรียนจิตตกไปแล้ว ดิฉันว่าต้องทำเรื่องนี้ให้เสียงดังขึ้น และทำความเข้าใจว่า คำที่เราเคยได้ยินในยุคๆ หนึ่ง พอเวลาผ่านไปมันไม่ถูกต้องแล้ว หรือไม่ถูกตามหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว
ดิฉันก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่โตมาในเจนเนอเรชั่นเก่า แต่เวลาจะพูดอะไรกับนักเรียน หรือแม้แต่ในสภาแห่งนี้ก็ตาม ไม่ใช่แค่ในแวดวงครูนักเรียนนะ ในชีวิตทั่วไปเราก็ชอบพูดคำผวน ดิฉันเอ๊ะบ่อยมากเลยนะ แม้แต่ในบรรดา สส.ในสภาฯ เรานี่แหละ ที่ทักทายกันด้วยคำผวน ซึ่งคำผวนหลายคำในภาษาไทยเรามัน sexual harassment เป็นคำที่ล่วงเกินทางเพศ ดิฉันระวังอยู่ตลอด
ครูจวงกำลังจะบอกกว่า รัฐสภาบ้านเราก็แอบคล้ายโรงเรียนขนาดย่อมๆ เหรอ
ถูกต้อง ไม่อยากประจานนะ (หัวเราะ) ดิฉันเพิ่งเป็น สส.หน้าใหม่นะ เพิ่งเข้าสภามาไม่กี่เดือนดิฉันก็เห็นเหมือนกัน เช่นเข้ากันสาย ขาดประชุม วันพุธวันพฤหัสฯ ต้องเข้าประชุมสภาฯ มันเป็นหน้าที่เลยนะอาทิตย์ละสองวันเอง และก็ควรอยู่จนถึงเลิกประชุม บางวันอาจจะดึก 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม แต่ไปดูเถอะหลัง 6 โมงเย็นไปแล้วเงียบหมดทั้งสภาฯ มีแต่พรรคก้าวไกลนี่แหละ ขออวยพรรคหน่อย (ยิ้ม) อยู่โยงเป็นกลุ่มสุดท้ายของการประชุมแต่ละวัน
นี่แหละที่ว่าไม่ต่างจากโรงเรียน ในห้องอาจจะมีนักเรียนบางคนเจี๊ยวจ๊าว พูดจาไม่สุภาพอะไรออกมาบ้าง แล้วประธานสภาฯ ก็เป็นเหมือน ผอ.ทำหน้าที่ควบคุม ซึ่งกฎระเบียบต่างๆ สำคัญมากแต่ไม่ค่อยจะทำกันในหลายๆ เรื่อง คล้ายๆ โรงเรียนเลยแหละจำลองมาเลย
ถ้าดิฉันเป็นประธานสภาฯ ก็คงปวดหัวเหมือนกันนะ (หัวเราะ)
อยากฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ้างไหม
พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติเก่าแล้วจะเอายังไง อย่างรัฐบาลชุดที่แล้วผลักดันจนผ่านวาระหนึ่งแต่ตกไปแล้ว ด้วยกลไกไม่ทันกรอบของเวลาที่ต้องเกิดขึ้นภายใน 60 วันหลังเปิดสภาฯ ครั้งใหม่ ทีนี้คุณเพิ่มพูนจะเอายังไง จะยังคงฉบับเก่านั้น หรือจะร่างขึ้นมาใหม่ ถ้าจะเอาฉบับของพรรคก้าวไกลก็ได้นะคะเพราะเราร่างมาดีมาก
ประเด็นการศึกษาเราทำอย่างดี แล้วมันเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์การศึกษา ท่านรัฐมนตรีต้องประกาศให้ชัดได้แล้ว ว่าจะเอาหลักการและทฤษฎีอะไรที่จะใช้ใน พ.ร.บ.นี้
อันดับที่สองคือหลักสูตร ต้องประกาศเช่นกันว่า หลักการและปรัชญาการศึกษาอะไรที่จะใช้ในหลักสูตรนี้ จะเอาหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ถูกปัดตกไปในรัฐบาลที่แล้วหรือเปล่า ถึงไม่ใช่หลักสูตรที่ดีที่สุดแต่เราพูดคุยกันได้ว่าจะปรับเปลี่ยนยังไง
ด้วยความเห็นส่วนตัวของดิฉัน ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะนั้น อย่างช่วงชั้นประถมฯ ยังมีบางวิชาที่เรียนเยอะไปปรับกันได้
ลำดับที่สามคือ แท็บเล็ต ที่ท่านประกาศในวันเข้ากระทรวงว่าจะแยกส่วน เป็นการแจกให้ครูและให้นักเรียน ซึ่งดิฉันยังติดใจสงสัย จะแจกแท็บเล็ตให้กับครูได้ถามครูหรือยัง โดยปกติครูต้องกรอกคะแนนข้อมูลของนักเรียนเยอะมาก อาจจะใช้ทั้งโปรแกรม Excel หรือผ่าน Google Sheet แท็บเล็ตอาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานโปรแกรมพวกนี้หรือไม่ จะแจกโน๊ตบุ๊กดีกว่าไหม หรือจะถามตามความสมัครใจของครู ส่วนการแจกให้นักเรียนเรื่องแทบเล็ต ดิฉันไม่เห็นแย้งในหลักการ แต่มีข้อกังวลว่าต้องให้ได้คุณภาพดีด้วย
และจริงๆ ถ้าท่านหวังว่าเป็นการเรียนรู้แบบสมัยใหม่ ให้เอาแท็บเล็ต โน้ตบุ๊กไปใช้ในการเรียนการสอนในห้องเรียน ก็ควรมีสมาร์ททีวีให้โรงเรียนด้วย อันนี้ฝากถึงรัฐมนตรีเลยนอกจากโน๊ตบุ๊กหรือทีวี ที่จะช่วยเป็นสื่อการเรียนการสอนในห้องเรียน ปริ๊นต์เตอร์ค่ะง่าย โรงเรียนใหญ่ๆ บางแห่งยังมีไม่กี่เครื่องเลย อย่างน้อยควรมีทุกกลุ่มสาระ
สุดท้ายเรื่องสัญญาณอินเตอร์เน็ตในวันแถลงนโยบายมีการพูดสั้นๆ ว่าจะบูรณาการเรื่องสัญญาณกับภาคเอกชน คำถามสุดท้ายแหละเป็นคำถามใหญ่เลยว่า ค่าบริการเหล่านั้นใครจ่าย
มาถึงวันนี้ คิดว่าตัดสินใจถูกไหมที่มาลงสนามการเมือง
ถูกนะ แม้ว่าดิฉันก็รู้สึกเหนื่อยและหนักนิดนึง เพราะหลายนโยบายผลักดันยาก จากวันที่ท่านนายกฯ แถลงนโยบายในรัฐสภา มาจนวันที่ 14 กันยายน รัฐมนตรีออกนโยบายเฉพาะของกระทรวง สิ่งที่ดิฉันแนะนำไปท่านแทบไม่ได้เอาไปทำต่อเลย
ทั้งที่นโยบายที่เราคิดสะท้อนมาจากครูจริงๆ นะ เรามีเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง มีลูกศิษย์ที่สะท้อนปัญหาต่างๆ มา พอดิฉันได้ไปพูดในสภาฯ แล้วฝ่ายบริหาร ศธ. ไม่ได้นำพาคือนิ่งเฉย ก็ทำให้เหนื่อยใจนิดนึง แต่ไม่เป็นไรดิฉันเหนื่อยแป๊บเดียวเดี๋ยวก็สู้ใหม่ วันไหนที่ฉันเหนื่อยและท้อก็นอน ตื่นขึ้นมาก็สู้ใหม่ผลักดันต่อ สังคมนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยการด่า ด้วยกันฟาด
ถ้าเราไปอ่านประวัติศาสตร์เราจะมีกำลังใจนะ วันนี้เราอาจจะผลักดันอะไรบางอย่างยังไม่สำเร็จ แต่วันหนึ่งมันต้องสำเร็จ
ดิฉันเป็นครูสอนสังคมสอนประวัติศาสตร์ มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจริงคือ ประวัติศาสตร์มีพลวัต ไม่มีอะไรอยู่กับที่ อาณาจักรโบราณที่ดูยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งก็ล่ม เหมือนกัน วันนี้ดิฉันวิงวอนไปถึงฝ่ายอนุรักษนิยมและทุกๆ คน ว่าท่านจะแข็งขืนยื่นทื่อเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างย่อมต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง