‘ที่นี่มีคนตาย’ ถ้อยคำที่รำลึก และตอกย้ำถึงความจริงในเหตุการณ์พยาบาลอาสา และประชาชนเสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมของเสื้อแดง และการกราดยิงบนถนนปทุมวัน
ผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี กับเหตุการณ์นั้น ที่ทำให้มีประชาชน รวมถึงอาสาพยาบาลเสียชีวิตถึง 6 คนในวัดปทุมฯ ที่เป็นเขตอภัยทาน รวมถึงอีกมากมายในบริเวณโดยรอบ ซึ่งช่วงปีที่ผ่านมา เหตุการณ์นี้ก็มักถูกพูดถึงในการชุมนุม และทวงถามหาความยุติธรรม และความเป็นจริง
แหวน ณัฐฏธิดา มีวังปลา หัวหน้าพยาบาลอาสาในวัดปทุมฯ ผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ได้กลายมาเป็นพยานปากสำคัญ ซึ่งหลังจากการเป็นพยาน แหวนถูกทั้งคดีก่อการร้าย ม.112 ถูกฝากขังกว่า 3 ปี 6 เดือน และนอกจากกระบวนการทางกฎหมายแล้ว เธอยังถูกข่มขู่ คุกคาม ในสิ่งที่เธอยืนยันว่าเธอบริสุทธิ์ โดยแหวนเล่าว่า แม้ว่าจะถูกกระทำ แต่เธอก็ยืนยันที่จะพูดความจริง และหวังว่าเพื่อนพยาบาลอาสาของเธอ จะได้รับความเป็นธรรม
พี่แหวนเป็นพยานในเหตุการณ์ 6 ศพวัดปทุมฯ วันนั้นเกิดอะไรบ้าง
มันเป็นสตอรี่ที่ยาวมาก และเหนือสิ่งอื่นใดคือ เราไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่จากที่เราได้สังเกตการณ์และเข้าไปช่วยเหลือคนป่วยเจ็บในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ตั้งแต่ 10 เมษา จนมาเรื่อยๆ ถึง 19 พฤษภา 53 มันเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่เราก็ไม่คิดว่า ชีวิตเราจะมาไกลขนาดนี้ ตอนแรกเราไม่คิดว่าจะเข้าไปในการชุมนุมเลย แต่ว่าน้องชายทะเลาะกับแม่ และหายไป 2 เดือนติดต่อไม่ได้ แม่ก็เลยเป็นห่วง และขอให้เราช่วยตามหาน้อง เพราะมีคนที่บ้านเรา ที่อุดรฯ มาชุมนุมเยอะมาก แม่ก็กลัวว่าน้องจะมาเป็นการ์ด และถูกยิง เพราะติดต่อน้องไม่ได้ เราเลยเข้าไปหาน้อง
แรกๆ เราก็เข้าไปหาเขาตามเต๊นท์ ว่าน้องอยู่ไหน มีใครเห็นน้องเราบ้าง เลิกงานก็เข้าไปแทบทุกคืน แต่ไม่เจอ จนกระทั่งวันนึงที่มีการสลายการชุมนุม น้องเห็นเราในข่าวเลยติดต่อมาที่แม่ สรุปน้องไปที่พัทยา ไม่ได้บาดเจ็บ หรือเป็นการ์ด คือเขาเข้ามา แต่เขาก็กลับออกไป
ตอนนั้นเราไม่ได้สนใจการเมืองเลย ทำธุรกิจของตัวเอง หากินได้ ไม่ได้ลำบาก เราคิดว่าไม่ว่าพรรคไหนขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็โกงกินเหมือนกัน แต่พอเราเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ซึ่งมันเริ่มตอนเราเข้าไปหาน้องตามเต๊นท์ต่างๆ แล้วคนแก่เขาชวนเรากินข้าว เขาบอกว่ากับข้าวมาจากบ้านเขา เอาถ่านนึ่งข้าว พาชนะที่ใช้ประกอบอาหารของคนอีสาน ก็ทำให้เราคิดว่า ทำไมเขาต้องมาเรียกร้องประชาธิปไตย มาเรียกร้องเรื่องบัตรเลือกตั้ง ต้องมาลำบาก เป็น เราคิดว่าเป็นเราคงไม่มาหรอก
แล้ววันนึงเราเห็นคนเสื้อแดงเจ็บป่วย ท้องเสีย และยาไม่พอ ประจวบเหมาะกับเราเข้าไปหาน้องชาย เขาก็บอกว่าอยากได้ยาพาราฯ ยาแก้แพ้ ยาแก้ท้องเสีย ยาธาตุต่างๆ เราก็ถามว่าทำไมไม่ไปโรงพยาบาล เขาก็บอกว่าเขามากันเยอะ และเป็นคนบ้านนอก ก็ไม่รู้ว่าจะไปโรงพยาบาลที่ไหน ปากซอยเขายังไม่รู้เลยว่าซอยอะไร พอเขาเล่าให้เราฟัง เราก็เห็นในความลำบาก และปณิธาณของเขา ที่เขาแค่อยากได้หีบบัตรเลือกตั้งจริงๆ
วันหลังที่เราเข้ามา เราก็ซื้อพวกยาพารา ยาแก้แพ้ ไปยืนจ่ายยาให้เขา เราก็เข้าไปแบบไม่ได้คิดอะไร จนเกิดความผูกพันธ์ ใครป่วยเจ็บก็เข้ามาหาเราเรื่อยๆ ทุกวัน มาถามหาเรา ทำกับข้าวมาให้เรา เขารอจนเรามา เพื่อที่จะเอาข้าวมาให้เรา ตอบแทนเราที่เราไปดูแลเขา เป็นความผูกพันธ์จากน้ำใจของเขา ซึ่งของที่เขาให้ เราจะกินที่ไหนก็ได้ แต่เขาก็ยังเก็บไว้ให้เรา
มาวันที่ 10 เมษา พวกเขาถูกแก็สน้ำตาสลาย แล้วปืนยิงลงในเต๊นท์ยาที่มีแต่คนแก่ และเด็ก เราดูอยู่ในข่าว พยายามที่จะเข้ามาช่วย แต่ช่วยไม่ได้ เพราะเราไม่มีสังกัดหน่วยแพทย์ หรืออาสา เราไม่รู้เลยว่าแกนนำเสื้อแดงคือใคร มีกันกี่กลุ่ม แต่เรารู้ว่าพวกเขาคือชาวบ้าน เขาเดือดร้อน เราก็ต้องช่วย วันนั้นมันเป็นอะไรที่โหดร้ายมาก เพราะทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และกระสุนจริงใส่ประชาชน เราเห็นแล้วเรามีความรู้สึกว่า เราทิ้งเขาไม่ได้จนกว่าจะส่งพวกเขากลับบ้านโดยปลอดภัยได้จริงๆ พอหลังๆ คนแก่คนไหนที่อยากกลับบ้าน เราก็จะพากลับ ถ้าเขาไม่กลับกับรถที่เขามา อยากกลับรถทัวร์ เราก็พาเขาไปส่งขึ้นกลับบ้าน
จนเมื่อ 19 พฤษภา เราไปเป็นพยาบาลอาสา เราคิดว่าเขตอภัยทานมันจะปลอดภัย เรารู้แหละว่ามันเป็นพื้นที่อันตรายที่ใช้กระสุนจริงจริงๆ แต่ที่ผ่านมามันก็ยังไม่มีการสาดกระสุนยิง ตั้งแถวยิงใส่ประชาชนเลย มันมีการลอบยิงโดยสไนเปอร์เรื่อยๆ ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้คนมวลชนในม็อบฮึกเหิม และก็เกิดความแค้น อยากจะปกป้องประชาชนด้วยกันเอง โดยเราก็สังเกตุว่าเขาไม่ได้คิดถึงแกนนำแล้ว หลายๆ คนก็ห่วงในแกนนำ หลายๆ คนก็ห่วงประชาชนด้วยกัน
เราเข้าไปเป็นอาสาตั้งแต่บ่ายวันที่ 16 จนถึงวันที่ 20 เราออกไม่ได้เลย พอเราจะออกมันก็มีคนไข้เข้ามาเรื่อยๆ เราจึงนอนค้างในนั้น ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์มาล้อมยิง ล้อมฆ่าประชาชนในวัดปทุมฯ ซึ่งเราเองพยายามที่จะเป็นคนกลางที่อยากจะช่วยเหลือชีวิตคนเสื้อแดง หรือประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นให้ได้มากที่สุด เพราะหลายๆ คนที่วิ่งเข้ามา ถูกยิงบ้าง สะเก็ดระเบิดบ้าง โดนเศษแก้ว เศษกระจก เป็นแผลหกล้มเยอะมาก ซึ่งเราเองก็ใหม่ เพราะเราถนัดการจ่ายยา ไม่ถนัดทำแผล บางเคสเราก็ส่งโรงพยาบาลตำรวจ
จนมาถึงเคสช่วงบ่ายวันที่ 19 มันเป็นอะไรที่สาหัสมาก เสียงปืนดังมารอบทิศ เราเห็นทหารอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้า ที่เราเห็นชัดคือ 5 คนบนนั้น และมีอยู่กระจายโดยรอบชัดมาก เราก็ตะโกนบอกเขาว่า อย่ายิงลงมานะ ในนี้มีแต่ประชาชนกับเด็ก เราก็มีอาวุธแค่ยาพาราฯ แอลกอฮอล์ พอช่วงบ่าย 3 เขาก็ไม่ได้ยิงมา แม้มีเล็งๆ มา ชาวบ้านก็ตะโกนว่า ทหารอยู่บนนั้น เดี๋ยวเขายิงลงมา เราก็บอกว่าเขาไม่ยิงหรอก เราเป็นหน่วยแพทย์ และตอนนั้นเราก็คุยกันว่า เราจะย้ายเข้าไปอยู่ข้างในสวนป่าแล้ว เพราะมันอันตราย แต่สุดท้ายเราก็ย้ายอะไรไม่ได้เลย เพราะคนเข้ามาเยอะมาก เราไม่มีเวลาหายใจเลย เพราะคนเจ็บเข้ามา แต่เราก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร เพราะเวทีชุมนุมเลิกแล้ว
แต่พอ 5 โมง เสียงปืนมันดังเข้ามาใกล้ เราก็เก็บของกันไม่ทัน โชคดีในวันนั้นเราเอาคนเจ็บที่เป็นลม หรือไฮเปอร์เวน เข้าไปในสวนป่าแล้ว พอเสียงกระสุนมา ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาล้มกุมหน้าอก และเพื่อนเขาก็วิ่งเข้ามาว่า “เพื่อนผมโดนยิง ช่วยด้วยๆ” แต่เราก็บอกว่าใครจะกล้ามายิง นี่มันเขตวัด ทหารที่อยู่บนรถไฟฟ้าเขายังไม่ยิงเราเลย ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่ยิงมา เราก็เลยพูดได้ แต่เขาก็บอกว่าทหารยิงลงมาแล้ว เราก็ไม่รู้ว่า วิถีกระสุนที่ยิงลงมาคือยังไง เพราะจากแยกเฉลิมเผ่าก็ยิงรัวๆ เข้ามาใกล้มาก เราก็เก็บกระเป๋ายา และดันคนเจ็บเข้าไปข้างในให้หมด
แล้วพอเราเห็นคนเจ็บ เราก็พยายามไปเอาเขามา เราก็บอกทหารว่า “พี่เราขอเข้าไปเอาคนเจ็บ” แต่เขาก็ยังเล็งยิงลงมาอยู่ดี เราก็พยายามวิ่งหลบตามรถที่จอดในวัด เพื่อไปเอาคนเข้ามา เราก็ตะโกนบอกคนเจ็บว่า “กลั้นใจนะ เราจะไปรับคุณ” เขาก็กุมแผลพยายามเข้ามา ขณะที่เขาวิ่งเข้ามากระสุนปืนจากฝั่งเฉลิมเผ่าก็รัวๆๆ เข้ามาตลอด พอเขาวิ่งเข้ามาเราก็เอาเปลสนามไปรับ ซึ่งทหารที่บนรางรถไฟฟ้าก็ยิงลงมาไม่ยั้งเลย จนกระทั่งเราเข้ามาในเขตวัด ในที่แจ้ง แต่ช่วยชีวิตเขาได้ไม่นาน เขาก็เสีย คนนั้นคือ ‘อัฐชัย ชุมจันทร์’
หลังจากนั้น ‘มงคล เข็มทอง’ ปอเต๊กตึ๊งที่อยู่ข้างๆ ก็บอกว่า ขอพิมพ์ลายนิ้วมือเขา ผมมีเอกสารพิมพ์ลายนิ้วมือประจำกระเป๋า เราก็บอกว่าพิมพ์ได้เลย แล้วก็เอาศพไปไว้ที่เต๊นท์ยา เพื่อลำเลียงศพไปที่สวนป่าด้านใน เพราะตรงนี้อันตรายมาก เขาก็บอกเราว่าผมทำแป๊ปเดียวๆ แต่ขณะที่มงคลพิมพ์ลายนิ้วมือ กระสุนยิงเข้ามาตัดขั้วหัวใจ ตัดท้ายทอย ตัดต้นแขน เสียชีวิตขณะที่เขาใส่ถุงมือ กำลังจะพิมพ์ลายนิ้วมือของอัฐชัย ตามมาด้วย ‘กมลเกด อัคฮาด’ที่กำลังเก็บของจะเข้าไปในสวนป่ากัน
ตอนนั้น ‘อัครเดช ขันแก้ว’ ก็เป็นอีกคนที่กำลังเก็บของ ขณะที่พี่แหวนเอากล้องของตัวเองถ่ายรูปคนตาย เพื่อตามหาญาติอัฐชัย และไปเตือนคนว่าอย่าวิ่งออกมา ช่วงที่วิ่งกลับมาไม่ถึง 5 นาที ข้างหน้าโบสถ์มีคนเจ็บอยู่ 3 คน เราก็หลบช่วยคนเจ็บ ทำสต็อปบีทให้เขา และเต๊นท์ยาเราก็โดนถล่มยิง มือนึงเราช่วยคนเจ็บ แต่ปากเราก็ตะโกนให้คนหลบ อัครเดชก็ไปหลบใต้โต๊ะยา ซึ่งโต๊ะมันก็มีแผ่นฟลอยด์กั้น น้องที่หลบตรงนั้น โดนยิงกระพุ้งแก้ม ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่เสียชีวิต จนประมาณ 2 ทุ่ม เราพยายามเจรจาขอให้เอาคนเจ็บออกไป ซึ่งคนเจ็บไม่ได้มีแค่คนเดียว มีเกือบ 10 คน มีคนโดนยิงข้างหลัง โดนยิงฝ่ามือ เราขอเอารถมอเตอร์ไซต์ฝ่ากระสุนปืนพาน้องออกไปก่อน แต่ก็ไม่ได้ จนเกือบเที่ยงคืน เจ้าอาวาสวัดจึงประสานขอรถฉุกเฉิน มาเอาผู้บาดเจ็บได้ แต่ระหว่างที่รถเข้ามา ก็ยังโดนยิงสาดกระสุนไม่ยั้งเลย
ผลพวงที่ต่อจากนั้น ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเป็นพยาน เพราะวันนั้นคนอยู่หลายพันคน เราคิดว่าเราคงไม่สำคัญอะไร แต่พอมาวันที่ 20 พฤษภา เสธ.ไก่อู (พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด) เขามีการแถลงว่า ขณะที่เขาเข้าไปตรวจสอบ เข้ายึดอาวุธสงคราม ในพื้นที่วัดปทุมฯ ในเต๊นท์ยา และในถังดับเพลิง พบมีอาวุธสงครามซุกซ่อนอยู่ในนั้นจำนวนมาก
ซึ่งเรารู้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง เราไม่เคยที่จะมีอาวุธสงครามหรืออะไรเลย และเราได้ถ่ายรูป วิดีโอไว้หมด เป็นหลักฐานในการทำงานของเราตั้งแต่เข้าไปจนออกมา เพื่อนเราก็บอกว่าให้เราไปพรรคเพื่อไทย เพราะเขามีการแถลงข่าวอยู่ ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องการเมือง เราไปโดยที่ไม่มีแกนนำ ไม่มีทีมซัพพอร์ตอะไรเลย คืออยากไปช่วย เรามองว่าการที่จะเป็นอาสา เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อน และค่อยไปช่วยเหลือผู้อื่น คุณจะไม่เป็นภาระใคร และจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เราจึงไม่มีทีมคอนเนกชั่นที่ยิ่งใหญ่ในตอนนั้น เราเข้าไปเพื่อไทย ไปแถลงข่าวในวันที่ 23 พ.ค. และมันก็เปิดแผลเรามาเรื่อยๆ ถูกกระทำ ถูกข่มขู่ คุกคามเรื่อยๆ จากวันนั้นจนถึงวันนี้
การเป็นพยานในเหตุการณ์ เรารู้ว่ามีคนยิง มีคนสั่งยิงจริงๆ แต่คนผิดยังไม่ถูกลงโทษเลย มันสะท้อนให้เราเห็นอะไรบ้าง
จากปี 53 ถึง ปี 56 เราแทบจะไม่มีความหวังอะไร ถึงแม้เราจะรู้ว่าพยานเราเยอะ หลักฐานเราเยอะ มั่นใจว่าคดีนี้จะหาคนยิงได้ ในปี 56 ศาลอ่านคำพิพากษาว่า คนที่ยิงประชาชนมาจากฝั่งทหาร มาจากอาวุธสงคราม กระสุน .223 หรือ 5.56 มิลลิเมตร เราก็คิดว่าเราได้รับความยุติธรรมแล้ว เราพอใจในคำตัดสินมากแล้ว ว่าสิ่งที่เราทำมา เราช่วยเหลือประชาชน และน้องๆ เราได้รับความยุติธรรมแล้ว
เราเหมือนถูกไล่ล่ามาตั้งแต่ปี 53 แล้ว และปี 58 เราอยู่ในกลุ่มไลน์คนเสื้อแดง ขายของในนั้น แต่เราก็โดนคดีใช้อาวุธสงคราม ว่าเอาระเบิดไปปาหน้าศาลอาญา รัชดาฯ เรายังโดน ม.112 และข้อหาร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งโทษคือประหารชีวิตเลย และยังโดนข้อหาพกอาวุธสงคราม อั้งยี่ โดยที่เราก็ยังงงๆ ว่าโดนคดีเหล่านี้มาได้ยังไง พอโดนจับเราก็ยังมั่นใจว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเราไม่เคยโดยคดีอาญาเลย ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม
เรามารับรู้อีกทีตอนอยู่ในคุกแล้ว ทุกคนที่อยู่ในคุก เขาพูดกับเราหมดเลยว่า เราไม่น่ารอด อาจโดนประหาร จนวันนึงที่เรามาขึ้นศาลทหาร เราถึงรู้ว่าคดีอาชญากรรมมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ซึ่งมันเป็นการจับพลเรือนขึ้นศาลทหาร โดยพี่แหวนเป็นผู้ต้องสงสัย ถูกฝากขังนาน 3 ปี 6 เดือน ในทัณฑสถานหญิงกลาง แล้วสืบพยานที่ศาลทหารกรุงเทพฯ 4 ปี ซึ่ง 4 ปีสืบได้ 3-4 ปาก จากพยาน 84 ปาก มันก็เลยเป็นอะไรที่ทำให้เราเริ่มศึกษาคดี และกระบวนการต่อสู้ ซึ่งเรามองมาโดยตลอดว่า อย่างน้อยเราติดคุกมันก็คุ้มแหละ เพราะเราไม่ได้ทำผิด เราก็จำต่อสู้ให้ถึงที่สุด เราปฎิเสธมาตั้งแต่ในชั้นจับกุมแล้ว
การจับกุมพี่แหวน เป็นการไปอุ้มถึงหน้าบ้านเลย พอเราขึ้นรถไปกับเขา เราก็ไม่อยากให้ที่บ้านมีปัญหา ที่บ้านก็โดนคุกคามมาเรื่อยๆ ตอนหลังก็มีการแถลงการจับกุมพี่แหวน ข้อหาก่อการร้าย ปาระเบิดหน้าศาลอาญา โดยที่เขาให้หลักการข้อสงสัยว่า ‘เราต้องการมาแก้แค้นให้เพื่อนที่ตายไปทั้ง 6 ศพ’ เราก็บอกว่า จะไปแก้แค้นทำไมต้องไปฆ่าคนด้วย เราไม่แก้แค้น แค่ต้องการทวงความเป็นธรรมในศาล และตอนนั้นศาลก็ตัดสินแล้วว่า คนทำผิดคือทหารที่ยิงบนรางรถไฟฟ้า BTS คนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่คนที่ยิงน้องๆ ทีมแพทย์เรา เขาไม่สมควรทำสิ่งนี้ และเราก็ยืนยันจุดนี้มาตลอด
จนกระทั่งโดนอุ้มไปบนรถ มีการลวนลาม เปิดดูรอยสัก ตามเนื้อตามตัว พอเข้าค่ายทหารก็มีโดนจับ โดนบีบหน้าอก โดนถามว่าทำหน้าอกมาหรือเปล่า เราก็บอกเขาว่าอย่าทำอย่างนี้เลย แต่เขาบอกว่า อย่าปากดีเลย แค่ถามดูเฉยๆ เราก็ตกใจว่า นี่คือกระบวนการสอบสวนของไทยหรอ เราก็มีความรู้สึกหวาดกลัวมากๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากทำให้เรามีชีวิตรอดเลยคือลูก ว่าเราต้องเข้มแข็ง ต้องกลับไปหาลูกให้ได้
ทำไมถึงโดนขนาดนี้ เพียงเพราะแค่เป็นพยาน
ตอนแรกที่ยังไม่ถูกอุ้มเข้าค่าย ก็ถามตัวเองมาตลอด และคิดว่าตัวเองออกสื่อไปหลายช่อง ก็คิดว่าสื่อน่าจะปกป้องเรา รวมถึงมีนักกฎหมายที่ปรึกษา และมีพรรคเพื่อไทย ที่อย่างน้อยเราเคยไปแถลงการณ์กับเขา ก็น่าจะคุ้มครองเราในด้านกฎหมายบ้าง ไม่น่าจะมีใครมาทำอันตรายเราได้ แต่ก็ไม่ได้ประมาท และก็ไม่ได้ไปทำร้ายใคร หรือไปติดตามอะไรมากมายนอกจากคดี 6 ศพ
ที่ไปติดตามคดี 6 ศพ ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไปเป็นพยานอะไรมากมาย คิดว่าตัวเองพูดความจริงว่า ทหารยิงประชาชน ที่เต๊นท์ยาไม่มีอาวุธสงคราม และไม่มีชายชุดดำที่เข้ามายิงประชาชนในวัดด้วยกันเอง มันมีแต่ทหารที่ยิงเข้ามา ไม่มีชายชุดดำใดๆ มันเป็นอะไรที่เราเห็นแล้วเราตลก และรับไม่ได้ เราไม่ใช่คนเสื้อแดงก็จริง แต่เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา
ทหารที่ยิง ถ้าคุณทำตามหน้าที่ ก็ออกมาแอ่นอกรับแมนๆ เลยว่าทำตามหน้าที่เพราะคนเสื้อแดงมีอาวุธ ยิงตอบโต้ เอาหลักฐาน เอาพยานมาสู้กันในชั้นศาล แค่นี้จบ วินๆ
แต่ในท้ายที่สุด ความเป็นจริงคือคนเสื้อแดงเขาไม่มีอาวุธอะไร และคนที่มาหลบในวัดปทุมฯ ก็มีแต่มือเปล่าๆ และหน่วยแพทย์เองก็ไม่ได้มีอาวุธสงครามใดๆ นี่คือสิ่งที่เราต้องการสื่อ และบอกให้สังคมรับรู้
พี่แหวนไม่ได้ต้องการเป็นฮีโร่ ไม่ได้ต้องการชื่อเสียง ต้องการแค่บอกเล่าความจริงว่า ในความเป็นจริงคนเสื้อแดงโดนแบบนี้ เราไม่ใช่เสื้อแดง ไม่ใช่คนโหยหาประชาธิปไตย เราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ทำมาหากิน ถึงเวลาก็ไปเลือกตั้ง แต่บริบทในวันนั้นมันไม่ใช่ มันเป็นสิ่งที่เราถูกกระทำ เพียงเพราะว่าเราพูดความจริง เพียงแค่เราไม่ไปสนองความต้องการของอีกฝ่าย ซึ่งมีการเจรจากับเราว่า ไม่ต้องไปเป็นพยานได้ไหม หรือให้ให้การว่าคนเสื้อแดงยิงกันเอง แต่เราบอกอย่างนั้นไม่ได้ เต๊นท์ยาเราโดนถล่ม และเต๊นท์นั้น เราก็เป็นหัวหน้าทีม ถ้าบอกว่าคนเสื้อแดงยิงกันเอง หรือบอกว่าในวัดมีอาวุธสงคราม มันคือการพูดโกหก ซึ่งเราทำไม่ได้
เค้าก็บอกเราว่า ถ้าจะเป็นพยานก็เป็นไป แต่ควรจะห่วงความปลอดภัยของตัวเองด้วยนะ ตอนนั้นเราก็ไม่เก็ตว่า เราออกมาช่วยคน เราพูดความจริง ใครจะมาทำอะไรเรา เพราะว่าเราไม่เข้าใจบริบทของการเมือง ของการต่อสู้ ของคำว่าอาวุธสงคราม หรือการใส่ร้ายป้ายสี ไม่เข้าใจคำว่าถูกกดขี่ข่มเหง
จนมาถึงปี 2558 มันเป็นอะไรที่โหดร้ายกับเรามาก ที่ 3 ปี 6 เดือน ไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน ถูกคุมขังอยู่ในกำแพง ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนนอกกำแพงเป็นเช่นไร ไม่รับรู้อะไรเลยนอกจาเวลาออกไปศาล และเราไม่สามารถไปซัดทอดคนอื่น อย่างที่ชุดจับกุม หรือทหารเขาร้องขอ ตั้งแต่ปี 53 เราใช้ชีวิตลำบากมาก ไม่เคยได้รับการเยียวยา ทั้งสภาพจิตใจ หรืออะไรใดๆ ซึ่งเขาพยายามจะยัดเยียดให้เราเกี่ยวข้องกับยิ่งลักษณ์ ทักษิณ แต่เราก็บอกว่าเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องหรือยัดเยียดความผิดให้พวกเขา เพราะเขาไม่เกี่ยวข้อง นี่คือสิ่งที่เราไม่ยินยอมให้ความร่วมมือกับอีกฝั่ง เราจึงถูกกระทำ
เขาบอกเราว่า เขาสามารถจับญาติ ครอบครัวคนที่เกี่ยวข้องเราได้ เพราะเขาใช้กฎอัยการศึก และเพราะกฎนี้ มันไม่สามารถเอาผิดทหาร หรือชุดจับกุมได้ แม้แต่คนเดียว
ความไม่ปกติจากคดีที่เราโดน ทั้ง ม.112 และการจับขึ้นศาลทหารคืออะไรบ้าง
คดีพี่แหวนไม่มีอะไรที่ปกติเลย อันแรกก็ร่วมกันก่อการร้าย มาแบบงงมาก ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ต่อมาคือ ม.112 อันนี้ก็หนักเลย คนเสื้อแดงเราก็ไม่เป็น ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของเขาเราก็ไม่รู้จัก เรามองว่าสิ่งผิดปกติในคดีที่เราโดน คือการที่จะบีบให้เราหายไปจากโลกนี้ ไม่ได้หายไปจากประเทศไทยเฉยๆ มันเป็นอะไรที่พยายามจะมีการต่อรอง เจรจา ให้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมายุติ ให้เรายุติบทบาทการเป็นพยาน 6 ศพวัดปทุมฯ และถอนตัวไป ซึ่งเราเองยืนยันมาตั้งแต่แรกแล้วว่า เราถอนตัวไม่ได้ เราโกหกไม่ได้ เราต้องพูดความจริง เพื่อที่จะให้สังคมมันเดินหน้าไปได้ และให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจริงๆ
เราไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่เราพูดออกไปมันคือการเรียกร้องประชาธิปไตยในตอนนั้น แต่มันเป็นความรู้สึก เป็นคอมมอนเซนต์ส่วนตัว เรารู้ว่าสิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก ถ้าให้เราไปพูดว่า “ทหารไม่ได้ฆ่าประชาชน คนเสื้อแดงฆ่ากันเอง” อันนี้เราไม่มีความเป็นคนแล้ว เป็นคนที่มองคนไม่เท่าเทียมแล้ว และหลังจากนั้นคำว่าปกติในชีวิตเรามันก็ไม่เคยมีมาอีกเลย
สิ่งที่ผิดปกติในคดีหลายๆ คดี คือการต่อรอง และพยายามที่จะให้เราหายไปจากโลกนี้ เพื่อที่จะไม่ให้มีพยานในการบ่งชี้ว่า ทหารมาจากสังกัดไหน กรม กองใด ในการเข่นฆ่าประชาชน และพยาบาลอาสา ซึ่งมีการเสนอเงิน เพื่อที่จะให้เราไปอยู่ฝ่ายนู้น ถ้าเรารับเงินป่านนี้เราไม่มาลำบากขนาดนี้หรอก แต่ค่าของความเป็นคนมันอยู่ที่ไหน
และความจริงเราต้องให้ลูกหลานมาประสบพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้อีกหรอ แบบ 6 ตุลา พฤษภาทมิฬ และต้องมาเจอล้อมฆ่าปี 53 หรือเราต้องให้ลูกเรามาเจอแบบนี้ในอนาคตหรอ เรามาทบทวนแล้ว เราคิดว่ามันไม่ถูกต้อง และเราไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงในเมืองไทย ให้เกิดขึ้นอีก
ช่วงชีวิต 3 ปี 6 เดือนที่ถูกจองจำเป็นอย่างไรบ้าง
มันมีหลายอารมณ์ หลากหลายเรื่องราว ตอน 6 เดือนแรกที่เข้าไป เราปรับตัวไม่ได้ คิดแต่ว่าตัวเองเดี๋ยวก็ได้ประกันตัว เดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน การใช้ชีวิต การกินอยู่หลับนอน บอกได้เลยว่าลำบากมาก เราอยู่ในฐานะผู้ฝากขัง เราสมควรได้รับการประกันตัวเพื่อมาต่อสู้คดีข้างนอก เราไม่ใช่นักโทษ เรามองว่ามันไม่มีความยุติธรรม และมันทำให้เราถูกกลั่นแกล้งสารพัดเลย เพื่อที่จะไม่ให้มีการประกันตัว
อีกอย่างมันเป็นการจับพลเรือนขึ้นศาลทหาร ทุกอย่างอำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ทหารหมดเลย ยิ่งเราไปมีปัญหากับทหาร เขายิ่งไม่ปล่อยเรา ทุกคนในเรือนจำบอกเลยว่า ไม่เคยได้ยินคำว่าศาลทหาร พอเราออกศาลที ปลอกแขนเราจะสีเขียว ซึ่งมันหมายความว่าประหาร และโทษตลอดชีวิต อัตราโทษสูงมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ทุกคนก็จะบอกเราว่านี่คือโทษรุนแรง
การใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ความหวังของเราคือการได้รับการประกันตัว จากประกันตัวผลัดที่ 1 ไม่ผ่าน เพราะกลัวเราไปทำลายหลักฐาน เราก็เข้าใจ ให้เขาสืบคดีไปก่อน พอมาครั้งที่ 2 ก็ให้เหตุผลเดิมๆ ว่ากลัวเราไปยุ่ง และไปทำลายพยานหลักฐาน ขอเก็บหลักฐานให้เรียบร้อยก่อน เราก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงหลักฐานอะไร เพราะเขาก็ยึดของเราไปหมดแล้ว หนังสือที่เราเขียน รูปคนตายก็ยึดไป เขายึด internal card ขนาด 500gb ของเราไป
ข้อมูลที่เรามีในนั้น ทั้งวิดีโอ รูป บทความ ดีเทล แฟ้มที่จะไปขึ้นศาล อยู่ในนั้นหมดเลย พยานหลักฐานของเรามันก็คือชิ้นนั้น ที่ตอนนี้ไม่มีหลักฐานเหลือเลย ที่มีโพสต์อยู่ในโซเชียล ก็มาจากโซเชียล หรือข่าวทั้งนั้นเลย และเหลือแค่ความทรงจำ รูปภาพ และสิ่งที่ติดอยู่ในใจ ไม่ว่าชื่อ นามสกุล เวลาตาย สถานที่ตายมันอยู่ในใจเราหมดแล้ว ซึ่งเราไม่ต้องใช้ความพยายามในการจำ แค่กล้าพูดว่าคนเสื้อแดง หรือหน่วยพยาบาล เขาตายอย่างไร ตายที่ไหน นี่คือความจริง
เราบอกตรงๆ ว่าเราไม่ใช่แกนนำ เป็นเพียงแค่พยานคนนึงที่อยากจะบอกเล่าความเจ็บปวด ความอยุติธรรม และไม่อยากให้เกิดเหตุความรุนแรงแบบนี้อีก
แต่ถึงวันนี้ สุดท้ายแล้วคดีนี้ถูกย้ายไปศาลทหาร แล้วก็ไม่มีการส่งถึงอัยการ
เรื่องไปถูกดองไว้ที่ DSI แล้ว เรื่องต้องส่งไปที่อัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ห่างจาก DSI ก็ประมาณ 2 วา มีการรื้อคดีขึ้นมาใหม่ สืบพยานใหม่ หาหลักฐานใหม่ เพื่อที่จะหาความชอบธรรมให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ สุเทพ แล้วคนที่ทำให้คดีของ 99 ศพหายไปก็คือ คณะรัฐประหาร
แม้ว่าศาลพลเรือนจะตัดสินแล้วว่าการตายของคนเสื้อแดง แล้วก็มวลชน ทั้งอาสาพยาบาล มาจากการยิงของฝั่งทหารโดยกระสุนอาวุธสงครามนี้ แล้วทุกศพไม่มีเขม่าดินปืน ทั้งในร่างกาย และก็ในเสื้อผ้า ซึ่งพิสูจน์ชัดออกมาแล้วว่า เขาไม่มีอาวุธสงครามในมือ แล้วเราคิดว่าเราได้รับความยุติธรรมแล้ว แต่ไม่คิดว่าศาลทหารจะไปรื้อคดีนี้ขึ้นมา แล้วก็มาไต่สวนในชั้นอุทธรณ์ที่ศาลทหารอุทธรณ์เอง รื้อคดีเอง ไต่สวนเอง ยกฟ้องเอง บอกว่าหาคนยิงไม่เจอ
วันที่เราเคยมั่นใจว่าเพื่อนๆ ของเรา อาสาเราได้รับความยุติธรรมแล้ว จนเหตุการณ์นี้ มันทำให้เราเห็นกระบวนการยุติธรรมอย่างไรบ้าง
เราเห็นกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว ตราชั่งมันไม่ได้เอียง แต่ตราชั่งมันหายไปอันหนึ่ง ตราชูมันขาดไป ตราชั่งมันขาดไปตัวหนึ่ง แล้วมันหล่นตุ้บมีอยู่ข้างเดียว แล้วอีกข้างหนึ่งกระดกขึ้นฟ้าเลย ทำอะไรก็ไม่ผิด แล้วคนที่เผยอหน้าออกมาเป็นพยาน และไม่ยอมทำตามเงื่อนไขที่เขาวางไว้ ก็จะโดนกดขี่ข่มเหงแบบนี้เรื่อยๆ
พี่แหวนไม่ได้เป็นคนที่มีอุดมการณ์อะไรใดๆ หรอก แต่พี่แหวนมีความตั้งใจว่า ขอแค่น้องๆ ได้รับความเป็นธรรม ความเป็นธรรมที่มีความเป็นธรรมที่แท้จริง แค่นั้นแหละ เราพอใจแล้ว แล้วเราก็ใช้ชีวิตของเราปกติเรื่อยมา ไม่คิดว่าจะมาโดนตามล่า โดนเอาคืน โดนแค้นฝังหุ่นอะไรมากมายขนาดนี้ และเราไม่ได้มีความแค้นกับตำรวจ ไม่ได้มีความแค้นกับทหาร ไม่ได้รู้จักพวกเขา แล้วเราก็ไม่ได้เป็นนักต่อสู้ที่มาจากขบวนการรากหญ้านู่นนี่ เกี่ยวกับคนเสื้อแดง
จากพี่แหวนเป็นพยาบาลอาสาในการชุมนุมคนเสื้อแดง วันนี้ก็ยังมาเป็นพยาบาลอาสาในการชุมนุมอีก คิดว่า 10 ปีนี้ ที่เราเจอเหตุการณ์ทั้งหมดมันเปลี่ยนชีวิตเราไปอย่างไรบ้าง
เยอะมาก เยอะจนมันอธิบายไม่ถูก แต่สิ่งที่อธิบายได้ก็คือ ไม่ว่าจะเกิดม็อบนักศึกษาหรือประชาชนอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่เราอยากทำเลยก็คือการเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือเรื่องการปฐมพยาบาล เพราะเรารู้ว่า ไม่ว่าเด็กๆ เขาจะเคลื่อน ไม่ว่าประชาชนเขาจะเคลื่อน ไม่ว่าเรื่องอะไร ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยใช้คำขู่กับพวกเรานะ ในสิ่งที่เขาพูด ไม่ว่าจะเป็นแก๊สน้ำตา กระสุนจริง กระสุนยาง อะไรต่างๆ เนี่ย เขายิงพวกเรามาโดยตลอด
อันนี้เป็นสิ่งที่เราห่วงคนรุ่นใหม่ เราเป็นห่วงสังคมตรงนี้ เพราะว่าคนรุ่นใหม่เนี่ย อย่าลืมนะว่า 10 ปีที่แล้ว คนเสื้อแดงมอดไหม้ไปหมดแล้ว ถูกลืมไปหมดแล้ว แล้วก็มาโผล่อีกทีปุ๊บก็มาเป็นม็อบนักศึกษาเลย ซึ่งม็อบนักศึกษาเนี่ยก็มาจากการถูกกดขี่ข่มเหงในช่วงที่ประกาศกฎอัยการศึก ยุค คสช. แล้วเด็กๆ รุ่นนี้เป็นเด็กๆ ที่กำลังจะมีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่เขาก็ถูกตัดสิทธิ มันเป็นอารมณ์ของเด็กที่แบบว่า เฮ้ย อะไรวะ กูไม่ใช่เสื้อแดง ไม่ใช่เสื้อเหลือง กูมีสิทธิเลือกตั้ง แต่ทำไมกูไม่มีสิทธิได้เลือกตั้ง อะไรประมาณนั้น
แล้วก็มีความรู้สึกว่าการใช้กฎอัยการศึกในยุค คสช. มันทำลายชีวิตพวกเขา และพวกเขาก็เลยลุกขึ้นมาต่อต้าน เรียกร้องสิทธิของพวกเขา แต่พวกเขาขาดประสบการณ์จริงว่า ในสนามจริงๆ ที่คุณออกมารวมตัวกันเยอะๆ เนี่ย การสลายการชุมนุม สิ่งที่เขาจะใช้กับพวกคุณจริงๆ คือสิ่งที่พวกเขาประกาศไว้นั่นแหละ ไม่มีคำว่าขู่หรืออะไรใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้คือสิ่งที่เราห่วงสังคม และเราก็กระโดดมา และก็มาตั้งแต่แรกด้วย
เราเห็นสิ่งที่ถูกกระทำจากรัฐมาตั้งแต่ตอนนู้นจนถึงตอนนี้ รัฐมีการตอบสนองในแต่ละครั้งอย่างไรบ้าง
รัฐไม่เคยตอบสนองอะไรเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ถูกกระทำเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่เคสเดียว แต่รัฐพยายามที่จะบ่งบอกถึงคุณงามความดีของตัวเองว่า ตัวเองกระทำไปด้วยหน้าที่ที่จะต้องปกป้อง แต่ปกป้องอะไรล่ะ ? ทำตามหน้าที่ แล้วประชาชนล่ะ คุณควรจะให้ความเท่าเทียม ควรจะให้การปกป้องเด็กๆ ควรจะให้ความปลอดภัยเกี่ยวกับประชาชนที่เขาออกมาชุมนุม แล้วก็เรียกร้องสิทธิของเขาภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญมากกว่า แต่สิ่งที่รัฐทำก็คือ ออก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ความมั่นคงนู่นนั่นนี่ต่างๆ ซึ่งมันเป็นการจำกัดสิทธิ มันทำให้เด็กรุ่นใหม่เขาไม่ได้มีสิทธิมีเสียงอะไรในอนาคตเลย
ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ เราเคยเห็นคดีนี้ถูกไม่ได้รับความสนใจ เสื้อแดงถูกลืม ไปถึงมีวาทกรรมกับเสื้อแดงไม่ดี แต่มาถึงวันนี้เปลี่ยนไปยังไงบ้าง
พี่แหวนเห็นในความเปลี่ยนแปลง เราดีใจที่เราเห็นคนรุ่นใหม่สนใจ ดีใจที่เห็นคนรุ่นใหม่ให้การตั้งคำถาม แล้วก็ขอบคุณ เขาเดินมาขอบคุณเราเลยนะว่า แม่เขาเป็นเสื้อแดง พ่อเขาเป็นเสื้อแดง ถูกลืมไปแล้ว และเขาเป็นลูกเสื้อแดงที่ไม่สามารถพูดได้ คนเสื้อแดงมันถูกกระทำมาก แล้วเราไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เรามีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนพวกเขา พอมองย้อนกลับไปแล้ว คุณจะเห็นความเป็นคนที่ไม่ใช่คน จะเห็นว่าคนเสื้อแดงนี่แม่งถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมมาก ทั้งโดนทำร้าย โดนยิง
รวมถึงวาทกรรมต่างๆ ของคนเสื้อแดง เรารู้สึกแย่มาก แล้วเรามีความรู้สึกว่า คนที่พูดน่ะไม่รู้ความจริงอะไรเลย ทั้งวาทกรรมคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งในความเป็นจริง คนเสื้อแดงเข้าไปดับไฟ แต่มันถูกยิงตาย ซึ่งพอศาลตัดสินออกมาแล้วว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เผา คำขอโทษคำเดียวมันไม่เคยมีเลย เราจึงอยากลุกขึ้นมาตะโกนดังๆ แล้วบอกว่า พวกคุณได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นจริง
แต่ในการเดินทางนี้ เราเห็นไฟของคนรุ่นใหม่ เราเชื่อว่าพวกเขาจะช่วยเรา เราเชื่อว่าเราขอความช่วยเหลือจากเขาได้ จะร่วมกันบอกได้ว่า ที่นี่มีคนตาย ทหารเคยฆ่าประชาชน อย่าได้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกได้ไหม ขอให้เอาคนที่ผิดจริงๆ มาลงโทษ ใครคือคนสั่งฆ่า ใครคือหน่วยที่ฆ่าประชาชนแล้วหาไม่เจอ ทั้งที่มันเจอ ทั้งที่มันมี
เรียกได้ว่า 10 ปีนี้ เราถูกรัฐกระทำหลายอย่าง และเราก็สูญเสียไปหลายอย่างมาก
สูญเสียมาก ลูกไม่มีแม่ แม่ไม่มีงานทำ ตอนนี้ก็ไม่มีครอบครัวแล้ว เราก็ตัดตัวเอง ก็เรียกว่าเฟดตัวเองจากครอบครัว ญาติๆ เลยก็ว่าได้ อีกทั้งพวกเขาก็หวาดกลัว เราก็กลัวไปเป็นตัวปัญหาให้เขาได้รับความเดือดร้อน ทั้งในตอนถูกฝากขังไร้สิทธิในการประกันตัวนาน 3 ปี 6 เดือน ออกมายังจำหน้าลูกไม่ได้เลย แต่พอเราได้กอดลูก มันดีใจมาก แต่เราไม่สามารถเอาลูกมาอยู่ด้วยและมาเลี้ยงดูได้ ด้วยวุฒิภาวะต่างๆ ในด้านคดีที่ถูกดำเนินการ ในด้านหน้าที่การงาน ซึ่งครอบครัวของพ่อเขาเนี่ย พร้อมที่จะดูแล แม้ว่าจะลำบากและฉุกละหุกบ้างในบางครั้ง แต่เขาก็พร้อมมากกว่าเรา
ถ้าเรามองย้อนกลับไป 10 ปีที่ผ่านมา เราเห็นการต่อสู้ของตัวเองอย่างไรบ้าง
เห็นในความบ้า เห็นในสิ่งที่มันไม่เหมือนคนอื่น เราเห็นโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่โลกที่เราอยู่ แค่นั้น มันมีความรู้สึกว่าเราต้องต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ขึ้นมาหายใจได้
แต่ก็ไม่เคยเสียดายเลย…
ไม่เคย จากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่เคยเสียดาย และไม่เคยเสียใจที่ต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไม่เสียใจที่ต้องอยู่อย่างไม่มีใครเข้าใจหลายๆ ครั้ง แต่ภูมิใจที่เรายังยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงได้มาจนทุกวันนี้
อย่างทุกวันนี้ที่พี่แหวนก็ออกมาร่วมช่วยเหลือน้องๆ มาต่อสู้กับน้องๆ เรามองว่าภาพอนาคต เราเห็นความหวังว่าชีวิตเราจะได้ความยุติธรรม หรือคดี 6 ศพนี้จะได้ความยุติธรรมกลับมาอย่างไรบ้าง
เรามองเห็นความหวังมากในเด็กรุ่นนี้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่เราพูดไป จากความรู้สึก จากใจ จากความจริงเนี่ย เด็กๆ ให้ความสนใจ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้รับความจริงว่า มีพยาบาลที่ถูกยิงตาย เขาไม่รู้ อันนี้คือความจริงที่เราเปิดเผยต่อสังคม แล้วได้รับความสนใจ เรามองว่ามันคือความหวัง ความหวังของการต่อสู่ในไฟต์สุดท้าย ในศาลฎีกา ในอัยการสูงสุดตรงนี้
ในเรื่องที่ส่งไปของ 6 ศพ เรามีความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมอยู่ ถ้าความเป็นธรรมนั้นมีอยู่จริง แล้วสิ่งที่เป็นกำลังใจให้มีแรงบันดาลใจในการต่อสู้ทุกวันนี้ก็คือ การต่อสู้ ความกล้าหาญของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่ไอเดียแบบคนเสื้อแดง ที่ไม่ใช่การจัดจ้างมาเหมือนทุกๆ ครั้ง มันคือแฟลชม็อบจริงๆ ที่เราเห็นแล้วเรามีพลัง เรามีความหวัง