การจีบคนหนึ่งคน ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาเลย แต่การจีบคน ‘โลกส่วนตัวสูง’ ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นยอดเขาเอเวอร์เรส โดยที่ครกเป็นทรงสี่เหลี่ยม แล้วก็มีเสี้ยนหนามอยู่รอบๆ อีกที
“เพราะมันโคตรยากเลยว่ะ”
บนโลกนี้ไม่ได้มีประชากรแค่สิบกว่าคนสักหน่อย แต่ทำไม๊…ทำไม คนที่เราชอบต้องเป็นเขาหรือเธอคนนั้น ที่มีพฤติกรรมชอบเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงใคร เลิกงานก็รีบกลับบ้าน แถมหวงแหนพื้นที่ของตัวเองมากซะจนเราไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จัก เหมือนกับที่มีคนเคยบอกว่า “คนที่จีบยากที่สุด คือคนที่มีความสุขกับชีวิตตัวเองอยู่แล้วต่างหาก” แต่ยังไงก็เถอะ ดันรู้สึกกับคนนี้ไปแล้วนี่นา เดินหน้าลุยต่ออีกสักนิดจะเป็นไรไป
เชื่อว่ามีหลายคนกำลังประสบปัญหาการตกหลุมรักคนโลกส่วนตัวสูง ซึ่งยิ่งโตขึ้นมากเท่าไหร่ การจีบใครสักคนก็ดูเหมือนเพิ่มเลเวลความยากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้น ดันส่งผลให้ประตูที่ใช้เปิดรับใครเข้ามาในชีวิตเปิดยากขึ้นด้วยเช่นกัน และอาจเพราะถึงจุดที่พอใจกับชีวิตของตัวเองแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือความสงบและความเป็นส่วนตัว จึงดูเหมือนโอกาสที่จะชนะใจคนประเภทนี้ แทบจะเป็นศูนย์
แต่จริงๆ ก็ไม่เสมอไป ถ้าลองได้เรียนรู้และทำความเข้าใจธรรมชาติของพวกเขา เราก็จะเข้าใจเองว่าสิ่งที่เราควรทำ และสิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นคืออะไร
ถ้าคนที่เราชอบ หรืออยู่ในความสัมพันธ์ด้วย เป็นคนโลกส่วนตัวสูง รักสันโดษ หรือเข้าข่ายมนุษย์อินโทรเวิร์ท อย่างแรกก็คงต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติของพวกเขาเสียก่อน เพราะพวกเขามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่ชอบตัดขาดจากสังคม ชนิดที่ว่าไม่มีเพื่อน ไม่ยอมพูดคุยกับใคร ไม่ยอมออกไปข้างนอก หรือเอาแต่กักขังตัวเองอยู่ในบ้าน แต่ความจริงก็คือ พวกเขาแค่ ‘เอ็นจอย’ กับการทำอะไรเงียบๆ คนเดียวมากกว่าก็เท่านั้นเอง เพราะที่ที่คนเยอะหรือเสียงดัง บางครั้งก็ทำให้พวกเขาเหมือนถูกดูดพลัง อาจด้วยความที่พวกเขาเป็นคนประเภทที่รับสิ่งเร้ารอบตัวได้ดี ดีจนรู้สึกเหนื่อยเกินไปที่จะต้องอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานๆ
การอยู่คนเดียวจึงดูเหมือนการชาร์จแบตให้กับพวกเขามากกว่า และความเงียบก็เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้ใช้เวลาคิดทบทวนอะไรในหัวอย่างสงบ เราจะเห็นได้ว่าพวกเขามีงานอดิเรกส่วนตัวที่ทำเงียบๆ คนเดียว อย่างการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง จัดห้อง เขียนหนังสือ เพียงเท่านี้ก็มีความสุขอยู่ในห้องเล็กๆ ได้เหมือนกัน อาจจะแตกต่างจากมนุษย์เอ็กซ์โทรเวิร์ท หรือสายสังคม ที่เวลารู้สึกเบื่อๆ เฉาๆ จะต้องออกไปสังสรรค์ เดินเล่น พบปะเพื่อนฝูงเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง
ทฤษฎีตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก
อาจใช้ไม่ได้กับครั้งนี้
น้ำลงหินทุกวัน หินเดินหนี มีอยู่จริง เพราะวิธีตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน บางครั้งการพยายามมีตัวตนในชีวิตของใครบางคนมากเกินไป พาลแต่จะสร้างความรำคาญให้มากกว่า โดยเฉพาะกับคนที่ขีดเส้นแบ่งไว้แล้วว่า ‘นี่คือพื้นที่ของฉัน’ และถ้าคุณก้าวเข้ามา คุณกำลังทำให้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ การจีบพวกเขาจึงไม่ใช่วิธีที่เราคุ้นเคยกัน อย่างการเดินเข้าไปหาโต้งๆ ในงานสังสรรค์ หรือการชวนคุยแบบ small talk หยอดๆ จีบๆ ทั่วไป
ดังนั้น การเข้าหาที่ดูง่ายและไม่รุกล้ำ ก็คือ ‘การรับฟัง’ เพราะจริงๆ แล้ว ที่คนประเภทนี้ไม่ค่อยได้พูดจาอะไรกับใครมากนัก ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากพูด หรือไม่มีอะไรจะพูด กลับกันพวกเขามีสิ่งที่อยู่ในหัวเต็มไปหมด จากการคิดอะไรอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน แต่เลือกที่จะเก็บไว้คุยกับตัวเองในหัวมากกว่า ซึ่งการที่เขายอมเปิดใจพูดอะไรให้เราฟัง ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะแสดงความใส่ใจด้วยการตั้งใจฟังอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่พยายามขัด หรือพูดแทรก ให้เวลาพวกเขาได้สะท้อนความคิดและสิ่งที่อยู่ในหัวทั้งหมดออกมาอย่างเต็มที่ เท่านี้ก็น่าจะสร้างความสบายใจ ความประทับใจ และความเชื่อใจได้ไม่น้อย
ค่อยๆ เรียนรู้ไปอย่างช้าๆ อย่าเร่งรีบที่จะเข้าไปอยู่ในโลกของพวกเขามากเกินไป ปล่อยให้พวกเขามีเวลากับงานอดิเรกของตัวเอง เพราะคนประเภทนี้มีความสุขกับการอยู่แบบสันโดษมาทั้งชีวิต ซึ่งการพยายามพุ่งพรวดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาทันที หรือรีบขอความชัดเจนในความสัมพันธ์ อาจทำให้พวกเขารับมือหรือตั้งตัวไม่ทัน แล้วเกิดเป็นภาระทางความรู้สึกได้
เมื่อกลายเป็นความสัมพันธ์ในฐานะคนรัก
เราจะต้องรับมือกับความสันโดษของเขาในระยะยาวมากขึ้น
ฉะนั้น ความเข้าใจคือสิ่งที่จะทำให้เราได้ไปต่อ
ดูเหมือนจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก แต่เชื่อเถอะว่าท้ายที่สุดแล้วมันคุ้มค่า เพราะคนประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงมากทีเดียว เพราะถ้าพวกเขาเปิดใจรับใครเข้ามาในชีวิตแล้ว แสดงว่าคนคนนั้นจะต้องมีพื้นฐานในเรื่องของความอดทนมากพอสมควร ที่รอให้กำแพงน้ำแข็งค่อยๆ ละลายหายไปโดยที่ไม่ท้อถอยไปเสียก่อน แล้วพวกเขายังมั่นใจได้ว่า คนที่เลือกนั้นจะมีความจริงจังและพร้อมที่จะเข้าใจความเป็นพวกเขาจริงๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งบางครั้งมันอาจจะหมายถึงการขออยู่เงียบๆ คนเดียว โดยไม่มีอีกคนก็ตาม
ที่สำคัญ ความรักของคนประเภทนี้ยังเคารพในการเป็นปัจเจกด้วยเช่นกัน เนื่องจากคนที่รักสันโดษมักจะมีเส้นทางชีวิตที่แน่ชัดเป็นของตัวเอง ซึ่งพวกเขาจะไม่ยอมสูญเสียตัวตนของตัวเองง่ายๆ และก็ไม่ยอมให้คนรักของพวกเขาสูญเสียไปเช่นกัน เพราะพวกเขามองว่า ความรักและความสัมพันธ์ คือเรื่องของการเติมเต็มกันและกันให้สมดุล ไม่ใช่การหล่อหลอมคนทั้งสองให้กลายเป็นหนึ่งเดียว
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นคนประเภทไหน สิ่งสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ก็คือ ‘การสื่อสารที่ชัดเจน’ เพราะไม่ว่าพฤติกรรมของเราและเขายากที่จะเข้าใจแค่ไหนก็ตาม การเปิดอกพูดคุยถึงความชอบ ความไม่ชอบ ความต้องการ หรือความอึดอัดใจ จะช่วยให้ทั้งสองได้ ‘หาตรงกลาง’ ร่วมกัน และช่วยกันจูนให้ทุกอย่างราบรื่นมากขึ้น
แม้เป็นเรื่องยากสำหรับการก้าวข้ามกำแพงของคนโลกส่วนตัวสูง แต่เราก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากความสัมพันธ์นี้ อย่างน้อยๆ ก็ความอดทน ความพยายาม การให้เกียรติ และการเคารพพื้นที่ของอีกฝ่าย
อ้างอิงข้อมูลจาก